Skip to content

พลิกปฐพี 615

ตอนที่ 615

การจัดสรรเช่นนี้ ถูกใจข้ามาก

สามอันดับแรกหรือ

คำพูดหลีเฉาวนเวียนไปมาอยู่ในสมองมู่ชิงเกอ

ตามความคิดนางก็คือแย่งชิงสามอันดับแรก

ถึงแม้นางจะยังไม่เข้าใจว่า แสงแห่งวิถีคืออะไร ใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่ในเมื่องานถกวิถีสี่แดนเทพเป็นที่นิยมกันขนาดนี้ยังนำออกมาให้เป็นของรางวัลได้ แสดงว่าต้องเป็นของดีแน่นอน

เมื่อเป็นของดีแล้ว สามวันจะพอได้อย่างไร สิบวันจึงเป็นสิ่งที่นางเลือก

ประกายในดวงตาที่ใสกระจ่างของนางเปลี่ยนแปลงไปมา ตลอดมาหากนางไม่ทำก็แล้วไป หากตัดสินใจทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

ดังนั้นนางต้องแย่งชิงสามอันดับแรกเพื่อให้มีคุณสมบัติอาบแสงแห่งวิถีได้สิบวันให้ได้

‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์…’

ทันใดนั้นการถ่ายทอดเสียงของซือมั่วก็เข้ามาในสมองของมู่ชิงเกอ

ร่างของมู่ชิงเกอที่กำลังใช้ความคิดแข็งเกร็งขึ้นมา ตะลึงไปเล็กน้อย เแทบกัดถูกลิ้นตัวเอง ตาดำหดลง แต่ไม่ได้มองไปยังทิศทางของซือมั่ว

ไม่ใช่ไม่คิดจะทำแต่เกรงว่าราชาเทวะจงซานจะผิดสังเกต

ซือมั่วใจกล้าเกินไปแล้ว

‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครได้ยินคำพูดพวกเรา ถึงแม้จะเป็นราชาเทวะจงซานเองก็ทำไม่ได้’ ซือมั่วรู้ถึงความกังวลและหวั่นเกรงของมู่ชิงเกอจึงออกปากอธิบาย

มีการรับประกันของเขาแล้ว มู่ชิงเกอจึงค่อยวางใจได้บ้าง

นางถ่ายทอดเสียงไปว่า ‘เจ้าใจกล้าเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ถูกราชาเทวะจงซานรับรู้ถึงตัวตน แต่แค่ฝีมือเล็กน้อยของข้าถ่ายทอดเลียงให้เจ้านั้นง่ายมากที่เขาจะผิดสังเกตและอาจดึงเจ้าเข้ามาพัวพันด้วย’

ที่นางกังวลคือเมื่อฐานะซือมั่วถูกเปิดเผยจะชักนำให้เผ่าเทพไล่ล่าสังหารหรือการปองร้ายต่างๆ

‘รู้ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์หวงข้า ไม่ต้องกังวล เขาไม่ได้ยินหรอก’ ซือมั่วยิ้มพูด

‘เจ้าไม่ชมการแข่งขันดีๆ มาคุยกับข้าทำไม’ มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ทำให้นางตกใจตายก็จะไม่พอใจหรืออย่างไร

หากเวลานี้นางมีพลังกล้าแกร่งพอ นางย่อมไม่ห่วงว่าคนอื่นจะรู้ฐานะซือมั่วหรือไม่

แต่เวลานี้นางยังแข็งแกร่งไม่พอ หากซือมั่วประสบอันตราย นางจะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้ขจัดภยันตรายพร้อมเขาได้อย่างไร

‘ยังคงอ่อนแอเกินไป’ มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ

‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์’ เสียงซือมั่วดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ‘ข้าไม่อยากให้เจ้าคิดมาก’

เดิมมู่ชิงเกอก็ไม่ใช่คนขี้อ้อนอะไรอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าตัวเองยังแข็งแร่งไม่พอก็ต้องพยายามต่อไป ไม่จำเป็นที่จะต้องมาครํ่าครวญ มาแอบทุกข์ใจ

‘อืม ข้ารู้’ มู่ชิงเกอตอบอย่างหนักแน่น

ซือมั่วยิ้มว่า ‘ข้าอยากถามเจ้า รู้หรือไม่ว่า ถกวิถีสามอันดับแรกมีความแตกต่างอย่างไร’ ประลองยังคงต่อสู้กันอยู่ แต่ไม่ได้ทำให้นางสนใจแม้แต่น้อย การเอ่ยเตือนของซือมั่วทำให้นางนึกขึ้นได้ว่านางไม่รู้ถึงจุดนี้จริงๆ

‘เอ่อ’ มู่ชิงเกอชะงัก

รู้เพียงว่า สามอันดับแรกสามารถอาบแสงวิถีได้สิบวัน

‘ไม่ใช่สิ’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วน้อยๆ มองบนเวที ‘หากสามอันดับแรกได้รางวัลเหมือนกันหมดแล้วจะแย่ง ชิงอันดับกันทำไม จะต้องมีอะไรที่ข้าไม่รู้’

ระยะเวลาที่เข้าสู่แผ่นดินเทพนั้นสั้นเกินไป ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับแผ่นดินเทพอีกมากมายที่นางไม่รู้มู่ชิงเกอจึงถามว่า ‘ข้ารู้เพียงว่าสามอันดับแรกสามารถอาบแสงแห่งวิถีได้สิบวัน แต่มีอะไรแตกต่างกันอีกนั้น ข้าเองก็ไม่รู้’

ซือมั่วว่า ‘ที่ต่างกันคือตำแหน่งที่อาบแสงแห่งวิถี’

‘ตำแหน่งต่างกันหรือ’ มู่ชิงเกอประหลาดใจ

ซือมั่วอธิบายต่อว่า ‘ที่ว่าแสงแห่งวิถีก็คือต้นกำเนิดของวิถี ภายใต้แสงแห่งวิถีนั้นสามารถไล่ตามไปจนถึงต้นกำเนิด สามารถรับรู้เข้าใจและเลื่อนระดับการบำเพ็ญ เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าควรจะรู้หลังจากเข้าถึงขั้นถํ้าวิญญาณแล้วการบำเพ็ญไม่เพียงการสะสมพลังเทพ ฝึกฝนปัญญาเทวะเท่านั้น ที่มากกว่านั้นคือต้องเข้าใจในหลักวิถี การเข้าใจในหลักวิถีจึงจะควบคุมกฎบัญญัติ และใช้อาคมได้’

มู่ชิงเกอเงียบในใจประมวลผลคำพูดของซือมั่ว

นางอยู่ในขั้นถํ้าวิญญาณชั้นสาม ย่อมรับรู้ได้ว่าการบำเพ็ญปัจจุบันแตกต่างกับเมื่อก่อนนี้

การที่แสงแห่งวิถีสามารถเลื่อนชั้นบำเพ็ญได้ กระทั่งสามารถเข้าใจถึงต้นกำเนิดหลักวิถี ผลเช่นนี้ ย่อมทำให้นางตื่นเต้นยินดี

เสียงซือมั่วยังคงดังเข้ามาเรื่อยๆ ‘แสงแห่งวิถีเป็นแสงแห่งวิถีแรก ขณะที่เต๋าปรากฎชั้นและอยู่ มาจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้กี่หมื่นหมื่นปี การตระหนักรู้ภายใต้แสงแห่งวิถี ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูงก็ยิ่งเข้าใจได้มากขึ้น โอกาสทะลวงขอบเขตก็จะยิ่งสูง นี้จึงเป็นโอกาสของเจ้า’

มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว

ที่แท้สามอันดับแรกก็ไม่ได้แย่งชิงเวลาในการอาบแสงแห่งวิถี แต่เป็นอันดับสูงตํ่า ที่หนึ่งนั้นย่อมนั่งอยู่ในที่สูงสุด รองลงมาย่อมเป็นที่สองและที่สาม ที่เหลืออีกเก้าสิบเจ็ดอันดับ เกรงว่าคงทำได้เพียงนั่งในที่ตํ่าที่สุดในการอาบแสงแห่งวิถี

เสียงของซือมั่วไม่ได้ดังขึ้นมาอีก

สิ่งที่เขาควรพูดได้พูดจบแล้ว ที่ควรเตือนก็เตือนจบแล้ว

ที่เหลือจะทำอย่างไร เขาเชื่อมั่นว่ามู่ชิงเกอต้องรู้

“ดูแล้ว อันดับที่หนึ่งจะต้องแย่งชิงมาให้ได้แล้ว” มู่ชิงเกอตัดสินใจแน่วแน่

เพียงแต่…

มู่ชิงเกอมองดูรอบๆ อันดับที่สองคือเยี่ยนเฉวียน อันดับที่สามคือหลีเฉา ส่วนอันดับที่สี่…

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วน้อยๆ ทำไมนางครุ่นคิดอะไรเพียงครู่เดียว ด้านล่างเวทีประลองก็มีคนยืนอยู่เจ็ดสิบแปดสิบคนแล้วเล่า

ส่วนบนเวทีประลองน่ะหรือ

มู่ชิงเกอเลื่อนสายตาไปยังเวทีประลอง พบว่าคนบนเวทีประลองเหลือเพียงไม่กี่คนที่กำลังแย่งชิงอันดับที่เหลืออยู่ราวยี่สิบอันดับ

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ไม่นึกว่าจะเป็นเช่นนี้

มองดูอาคมบนเวทีประลองสั่นไหวระยิบระยับ อีกทั้งพลังอาคมที่กระแทกเข้าใส่กันแล้วนางก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไร

ดึงสายตากลับมามองทั้งซ้ายขวา พบว่าทั้งจวงซาน ซวนเฉียง อีกทั้งน้อยต่างๆ ของแดนฮ่วนเยวี่ย ต่างยืนอยู่นอกเวทีประลอง ดูท่าทางจะเข้ารอบร้อยคนแรกเป็นที่แน่นอนแล้ว

เวลานี้ จวงซานก็เดินเข้ามา เขาประสานหมัดให้นางพลางค้อมตัวน้อยๆ

มู่ชิงเกอพูดอย่างแปลกใจ “ศิษย์พี่จวงซาน ท่านทำอะไร”

จวงซานยิ้มว่า “ขอบคุณแผนชั้นดีของเจ้าทำให้ข้าเข้ามายังรอบร้อยคนได้”

มู่ชิงเกอยิ้ม

“หากไม่ใช่เพราะเจ้าพวกเราคงยังทำตามวิธีเดิม เก็บพลังไว้ก่อน ค่อยๆ เดินทีละก้าว จนขั้นสุดท้าย แล้วค่อยปล่อยพลังชุดใหญ่” จวงซานสะท้อนใจ

ชนะติดก้นสิบครั้ง ไม่ได้ง่ายดายนัก ยิ่งสู้จนถึงช่วงหลังคู่ต่อสู้ก็จะยิ่งตึงมือ เนื่องจากทุกคนต่างคิดจะรักษาพลัง เก็บปัญญาเทวะกับพลังเทพไว้ให้มากที่สุดเพื่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

แต่วิธีนี้ของมู่ชิงเกอกลับทำลายธรรมเนียมนั้นลง ลงมือโดยที่คนอื่นไม่คาดคิดใช้โอกาสเช่นนี้จนได้รับชัยชนะมาโดยง่ายดาย

“วิธีนี้คงใช้ได้เพียงครั้งเดียว การถกวิถีสี่แดนเทพในอีกร้อยปีถัดไปทุกคนต่างก็รู้กันแล้ว ไม่สามารถเล่นทีเผลอได้อีก” มู่ชิงเกอยิ้มพูด

จวงซานผงกศีรษะเห็นด้วย “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ข้าได้อาศัยเจ้าแล้ว ไม่เช่นนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงได้เข้าร้อยอันดับนี้เลย เพียงแค่ต่อสู้สิบครั้งก็เป็นเรื่อง ที่ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว”

“ศิษยพี่จวงซานให้เกียรติเกินไปแล้ว” มู่ชิงเกอว่า

คุยกันสักครู่ มู่ชิงเกอถาม “ศิษย์พี่จวงซาน ท่านรู้หรือไม่ว่าใครได้อันดับที่สี่”

จวงซานผงกศีรษะบอกมู่ชิงเกอว่า “เป็นลูกศิษย์แดนจงซาน ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นห้า เขาก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าตำแหน่งรองน้อยชื่ออวี้ลี่ว์ การประลองครั้งนี้ใหญ่น้อยจงซานมีภารกิจไปข้างนอกไม่ได้เข้าร่วมด้วย กลุ่มของแดนจงซานจึงให้เขาเป็นผู้นำ”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะว่า “ข้าทราบแล้ว”

จวงซานขมวดคิ้วน้อยๆ ถามมู่ชิงเกอว่า “อีกสักครู่ พวกเจ้าจะต้องแย่งชิงสามอันดับแรก พวกเจ้าสี่คน ใหญ่น้อยกับเยี่ยนเฉวียนต่างเป็นขั้นถํ้าวิญญาณขั้นหก อวี้ลี่ว์เป็นขั้นห้า เจ้า…”

“ข้าเพียงแค่ขั้นสาม” มู่ชิงเกอรับอย่างเต็มภาคภูมิ

จวงซานสูดลมหายใจลึก เม้มปากผงกศีรษะ สายตาฉายแววกังวล

ความกังวลนี้คือการกังวลแทนมู่ชิงเกอ

เนื่องจากในสายตาเขา เมื่อมู่ชิงเกออยู่ต่อหน้าทั้งสามคนนี้โอกาสชนะนั้นยากเย็นยิ่งนัก

“ถึงแม้เจ้าเคยชนะเซียนสุ่ย แต่เป็นเพราะพวกเจ้าห่างกันไม่มาก อีกทั้งเจ้ารู้จักเขาก่อน คุ้นเคยกับวิธีต่อสู้ของเขา แต่สามคนในวันนี้..” จวงซานสั่นศีรษะช้าๆ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาสามารถมั่นใจได้ เลยว่าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นมู่ชิงเกอ เป็นคนที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์กติกา สร้างสิ่งมหัศจรรย์ไปแล้วไม่น้อย เขาก็ไม่รู้จะตัดสินอย่างไรแล้ว

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อสู้แล้วค่อยว่ากัน” มู่ชิงเกอพูดด้วยความมั่นใจ

จวงซานผงกศีรษะ “สู้นั้นต้องสู้แน่นอน ถึงอย่างไร ให้รักษาอันดับสามไว้ก็พอ อีกทั้งการประลองรอบแรก เจ้าท่องคัมภีร์ทั้งห้าพันได้หมดสิ้นจะได้เพิ่มคะแนน”

“เยี่ยนเฉวียนก็ได้เพิ่มคะแนน ใหญ่น้อยก็ได้เพิ่มคะแนน ส่วนอวี้ลี่ว์นั้น…” มู่ชิงเกอพูดด้วยดวงตาใสเย็น

“เขาไม่ได้” จวงซานพูดอย่างชัดเจน

มู่ชิงเกอผงกศีรษะ

“ดังนั้น อันดับหนึ่งกับสอง ตามที่ข้าคาดเดา น่าจะเป็นใหญ่น้อยหรือเยี่ยนเฉวียน ส่วนเจ้ามีโอกาสมากที่สุดในการชิงอันดับสามกับอวี้ลี่ว์คะแนนที่เพิ่มจากรอบแรกจะเป็นตัวกำหนด” จวงซานวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วยิ้มพูดอีกว่า “แน่นอน เจ้ามักทำอะไรเกินความคาดหมาย มักทำความเป็นไม่ได้กลับกลายให้เป็นไปได้ไม่แน่ว่าผลสุดท้ายครั้งนี้อาจทำคนตกเก้าอี้ได้”

มู่ชิงเกอหัวเราะออกมาพูดอย่างสบายใจว่า ‘ที่ข้าทำได้คือทุ่มเทสุดกำลัง”

ใช่แล้ว ทุ่มเทสุดกำลัง

นางเดินทางมาจากหลินชวน สามารถมีชีวิตเดินมาจนถึงเวลานี้ มีศึกไหนที่นางไม่ทุ่มเทสุดกำลัง

ดังนั้น ไม่ว่าคู่ต่อสู้เป็นใครก็ตาม ต่อให้คู่ต่อสู้วันนี้เป็นราชาเทวะจงซานนางก็จะไม่ถอยหลบ ยังคงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสู้ศึก

ในขณะที่มู่ชิงเกอคุยกับจวงซาน อันดับร้อยคนที่สามารถอาบแสงแห่งวิถีก็ครบหมดแล้ว คนที่ถูกคัดออกได้เพียงถอยออกไปอย่างผิดหวัง

ขณะที่มู่ชิงเกอยืนบนเวทีประลองอีกครั้ง บนเวทีประลองไม่ใช่ผิวเรียบลื่นดังแต่ก่อน แต่ถูกพลังอาคมทำลายจนขรุขระแตกแยกไม่มีชิ้นดี

ทั้งสี่คนหันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ปริปาก แต่ความรู้สึกของการต่อสู้ปะทะอยู่กลางอากาศ กระเพื่อมจนหิมะที่ตกลงมา ไม่สามารถตกลงถึงพื้น แต่ถูกกระแสอากาศที่เกิดขึ้นจากคนทั้งสี่ทำให้หมุนกลับขึ้นด้านบน พลิกกลับไปมาไม่สามารถตกลงมาได้

“การประลองช่วงสุดท้ายเพื่อแย่งชิงสามอันดับแรก กติกาการแข่งขันเป็นการแข่งแบบหมุนเวียน กำหนดอันดับจากจำนวนครั้งที่แพ้ชนะ” เสียงทรงอำนาจนั้นดังขึ้นอีกครั้ง บอกชัดเจนถึงกติกาการประลอง

มู่ชิงเกอเม้มปากคิด หมายความว่าคนทุกคนในที่นี้จะต้องประมือกับนาง แข่งขันสามครั้งหากมีเพียงนางชนะสามครั้ง นางก็สามารถเป็นอันดับหนึ่ง

หากนางชนะสองแพ้หนึ่ง มีคนชนะสามรวด นางจะเป็นอันดับสอง หากนางชนะหนึ่งแพ้สอง นางจะเป็นอันดับสาม หากแพ้ทั้งสามครั้ง นางจะตกรอบจาก

สามคนแรกกลายเป็นอันดับสี่

อันดับสี่กับอันดับร้อยไม่ได้แตกต่างอะไร เพียงแค่ชวนให้คนรู้สึกเสียดายเท่านั้นเอง

“รอบที่หนึ่ง หลีเฉา แดนฮ่วนเยวี่ย กับอวี้ลี่ว์ แดนจงซาน มู่ชิงเกอ แดนฮ่วนเยวี่ยกับ เยี่ยนเฉวียน แดนจั๋วอวี่”

รายชื่อการต่อสู้ยกแรกออกมา ผู้คนต่างร้องฮือฮากัน

มู่ชิงเกอก็เลิกคิ้ว นางนึกไม่ถึงว่าจะต้องเจอเยี่ยนเฉวียนตั้งแต่รอบแรก หลีเฉาเคยบอกว่าจะช่วยนางผลาญพลังเทพของเยี่ยนเฉวียน ดูแล้วคงไม่มีประโยชน์แล้ว

หลีเฉามองไปที่มู่ชิงเกอ คิ้วที่ขมวดแน่นนั้นแฝงไว้ด้วยความกังวล

อวี้ลี่ว์กลับหน้านิ่งสงบราวกับไม่ใช่เรื่องตัวเอง

เยี่ยนเฉวียนมองมู่ชิงเกอแล้วยิ้มอย่างเย็นเยียบ สายตาที่เหี้ยมโหดมองเห็นได้ชัดเจน เขาพูดว่า “การจัดสรรเช่นนั้นถูกใจข้ามาก”

“มู่ชิงเกอเป็นใครหรือ

“ได้ยินว่าเป็นสามน้อยแดนฮ่วนเยวี่ยที่เพิ่งชนะมา”

“สามน้อยฮ่วนเยวี่ยไม่ใช่เซียนสุ่ยหรือ”

“ปัจจุบันเป็นมู่ชิงเกอย่อมคัดเซียนสุ่ยออกไปแล้ว”

“ข้ายังได้ยินว่า สามน้อยฮ่วนเยวี่ยคนใหม่เพิ่งเข้าอยู่ในวังน้อยไม่นานก็ทำความชอบให้แดนฮ่วนเยวี่ยอย่างใหญ่หลวง ได้รับความชื่นชมและเชื่อถือจากราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย”

“คนเช่นนี้ เวลานี้ก็แสดงฝีมือชัดเจนในงานถกวิถีสี่แดนเทพ ดูแล้วคงต้องเตรียมแสดงอะไรที่วิเศษอีก”

“ใช่นะสิ แดนฮ่วนเยวี่ยเป็นผู้นำสี่แดนเทพในแผ่นดินเทพตะวันออกของพวกเรา คนเก่งมีมากมาย”

“แต่ข้าดูเขาเป็นเพียงขั้นถ้ำวิญญาณชั้นสาม รอบแรกก็เจอเยี่ยนเฉวียน อีกฝ่ายเป็นขั้นถํ้าวิญญาณชั้นหก ห่างกันถึงสามชั้น ความคิดว่าจะมีการแสดงที่วิเศษคงต้องเป็นหมันแน่แล้ว”

“คงเป็นเช่นนั้น น่าเสียดาย ดาวดวงใหม่ต้องเจอใหญ่น้อยของแดนจั๋วอวี่”

“เอ๋ พวกเจ้าว่าเขาแซ่มู่จะเกี่ยวอะไรกับคนแซ่มู่นั้นหรือเปล่า…”

“ไม่น่าเป็นไปได้ หากมีความเกี่ยวข้องจริงแค่จะหลบยังไม่พ้นเลย แดนฮ่วนเยวี่ยจะรับไว้ทำไม ข้าเคยได้ยินมาว่า มู่ชิงเกอเป็นคนที่มาจากข้างล่างบินขึ้นมา แซ่มู่นั้นแค่บังเอิญเท่านั้น”

ผู้ชมทั้งหลายต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน

ต่อหน้าท่าทางเหี้ยมโหดของเยี่ยนเฉวียน มู่ชิงเกอพูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “การจัดสรรเช่นนี้ก็ถูกใจข้ามากเหมือนกัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version