Skip to content

พลิกปฐพี 618

ตอนที่ 618

ขั้นบันไดของแสงแห่งวิถี

คำถามของราชาเทวะจงซานทำให้สายตาของทุกคนต่างไปรวมกันอยู่ที่กลุ่มผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่

เวลานี้พวกเขาจึงค่อยรู้สึกตัวว่าหลังจากที่เยี่ยนเฉวียนตายไปแล้วกลุ่มพวกเขายังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย นี่ดูราวกับไม่สมเหตุสมผลนัก

คนที่ถูกถามเหล่านั้นในที่สุดก็ก้าวออกมา ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน

“แค่ก ราชาเทวะจงซาน เกิดเรื่องเช่นนี้จิตใจพวกข้าเวลานี้ก็วุ่นวายสับสน เฮ้อ…” ผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่คนหนึ่งเปิดปากแล้วถอนหายใจยาว

ดูท่าทางราวกับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

อีกคนหนึ่งก็เอ่ยปากว่า “น่าละอายจริงๆ เรื่องถึงขนาดกลายเป็นเช่นนี้ เยี่ยนเฉวียนไม่ควรใช้เพลิงบรรลัยกัลป์ สุดท้ายจึงกลายเป็นให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว การตายของเขาถือว่าเป็นกรรมที่เขาก่อขึ้นเอง”

“ถูกต้อง หากเยี่ยนเฉวียนไม่คิดจะฆ่าคน เวลานี้เขาก็ยังจะมีชีวิตอยู่” อีกคนพูดแล้วถอนใจ

เอ่อ!

ให้ตายสิ!

เกิดอะไรขึ้น?

ปฏิกิริยาของเหล่าผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ทำให้ทุกคนตกตะลึงไป แม้แต่ราชาเทวะจงซานก็ยังขมวดคิ้วนิดๆ สายตาผุดความประหลาดใจนิดหนึ่ง

แต่ละคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา

“เหล่าผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ยังปกติดีอยู่หรือ เยี่ยนเฉวียนตายแล้วพวกเขายังเฉยได้ขนาดนี้อีก”

“มีอะไรพิลึกชอบกล เยี่ยนเฉวียนตายไป ตามปกติของพวกแดนจั๋วอวี่ไม่ใช่ต้องจับฆาตกรมาลงโทษหรือ ทำไมจึงพูดจาตามเหตุตามผลได้”

“ผิดปกติจริงๆ มีปัญหา มีปัญหา จะต้องมีปัญหาอะไรแน่นอน แต่เป็นปัญหาอะไรกันแน่นะ”

“ปฏิกิริยากลุ่มผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ช่างน่าประหลาดนัก”

แม้แต่คนนอกก็ยังเห็นถึงความผิดปกติ ทำไมมู่ชิงเกอจะไม่สังเกตเห็น

เดิมนางได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วว่าจะต้องปะทะคารมกับกลุ่มผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่อย่างไรบ้าง แต่ไม่นึกว่าผู้อาวุโสจั๋วอวี่กลับ ‘ว่ากันไปตามเหตุผล’ ช่างไม่เหมือนยามปกติแม้แต่นิด

เดิมทีนางไม่คิดจะสังหารเยียนเฉวียน เนื่องจากเป้าหมายของนางนั้นคือแสงแห่งวิถีไม่ใช่ความแค้นเล็กน้อยเหล่านี้

แต่เยี่ยนเฉวียนกลับคิดสังหารนาง

พอกระบวนท่าเพลิงบรรลัยกัลป์ถูกใช้ออกมานางก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันเข้มชันหากไม่ใช่เพราะรากวิญญาณของนางแปลงมาจากพญาเพลิง อีกทั้งนางมีเกราะเปลวเพลิง นางจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกับเยี่ยนเฉวียนตั้งแต่กระบวนท่าแรกนั้นแล้ว

ดังนั้น ในเวลานั้นเอง นางจึงตัดสินใจสังหารเยี่ยนเฉวียน

ในเมื่อคนจะสังหารนาง นางจะงอมืองอเท้าปล่อยให้คู่แค้นอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขหรือ…แน่นอนว่าเมื่อฆ่าได้ก็ต้องฆ่า

หลังจากนั้นนางจึงใช้ปัญญาเทวะที่แข็งแกร่งตระหนักถึงเส้นทางกฎบัญญัติของอาคมเยี่ยนเฉวียน จำลองแบบเพลิงบรรลัยกัลป์ที่คล้ายคลึงอย่างถึงที่สุดออกมา

ความจริงแล้วกระบวนท่านั้นของนางไม่ใช่เพลิงบรรลัยกัลป์แต่อย่างใด เพียงแค่เหมือนเท่านั้น

แต่เนื่องจากรากวิญญาณไฟของนางแปลงมาจากพญาเพลิง ดังนั้นวิญญาณเพลิงที่นางเรียกมา กฎบัญญัติที่นางควบคุมอยู่จึงแข็งแกร่งกว่าคนที่มีรากวิญญาณไฟมากมายนัก

พญาเพลิงที่หยวนหยวนเคยกลืนเข้าไป ความสามารถพิเศษที่ควรมี เปลวเพลิงของนางล้วนมีครบ

นางจึงสามารถลังหารเยี่ยนเฉวียนได้อย่างหมดจด

เรื่องภายหลังจะต้องเก็บกวาดอย่างไรนางได้คิดไว้หมดแล้ว

เพียงแต่ ปฏิกิริยาของเหล่าผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่กลับทำให้นางชะงักไป ทั้งที่ยังสงลัยแต่นางก็คิดว่า ‘ดีเหมือนกัน ลดความยุ่งอยากไปได้ไม่น้อย’

“ทุกท่าน นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของพวกท่านหรือ” ราชาเทวะจงซานกล่าวเรียบๆ เพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ยืนยัน

คนทั้งกลุ่มผงกศีรษะอย่างมั่นใจ ตอบเหมือนกันว่า “ถูกต้อง”

“ผู้ดูแล!”

“ผู้อาวุโสชิว! ผู้อาวุโสไห่!”

“ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านทำไมจึงนิ่งดูดายปล่อยให้ศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียนตายไปเช่นนี้”

เหล่าลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ตกใจจนงงงันหน้าตาเหลอหลากันไปหมด พวกเขาคุยกันว่าจะรอเหล่าผู้อาวุโสออกหน้าให้ช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้พวกเขา

“พวกเจ้าหุบปาก!” ผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่คนหนึ่งบริภาษออกมา

อีกคนพูดว่า “เยี่ยนเฉวียนไม่รักษากฎระเบียบก่อน เวลานี้ตายด้วยอาคมของตัวเอง นับว่าเป็นบทเรียนอย่างหนึ่ง พวกเจ้าอย่าไปเอาอย่างเขา”

ทุกคนฮือฮา

ทันใดนั้น คนทั้งหมดต่างผุดความคิดเดียวกัน นั้นคือ ทำไมคนจั๋วอวี่จึงเปลี่ยนแปลงนิสัยได้!

“คนจั๋วอวี่มีแผนอะไรกัน” จวงซานขมวดคิ้วพูด

สี่น้อยสั่นศีรษะช้าๆ เขาเองก็คาดเดาไม่ถูกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเบนไปตกยังที่ที่ซือมั่วอยู่ เมื่อนางเห็นชัดเจนถึงรอยยิ้มที่มุมปากของคนคนนั้นแล้วแววตาก็เปล่งประกาย เข้าใจทุกอย่างในทันที

“เอาละ ในเมื่อพวกท่านพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็ตามใจพวกท่าน รอบนี้ฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอชนะ ประลองกันต่อเถอะ” ราชาเทวะจงซานพูดเรียบๆ เขายกมือโบกไปเบาๆ เวทีประลองที่มีสภาพยับเยินจากการต่อสู้กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที

‘กฎบัญญัติสายน้ำแข็ง แข็งแกร่งนัก’ นัยน์ตาดำของมู่ชิงเกอหดลงทันที นึกตกตะลึงในใจ

นางชนะแล้ว ส่วนหลีเฉากับอวี้ลี่ว์ยังต้องประลองต่อ

แต่ว่า หลังจากการต่อสู้สั้นๆ ระหว่างมู่ชิงเกอกับเยี่ยนเฉวียนแล้ว พอมาดูการประลองของคนอื่นแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าช่างไร้รสชาติสิ้นดี

สุดท้ายแล้ว รอบนี้ก็จบลงที่หลีเฉาเป็นฝ่ายชนะ เวลานี้มู่ชิงเกอกับหลีเฉาต่างชนะกันคนละครั้ง อวี้ลี่ว์แพ้หนึ่งครั้ง ส่วนเยี่ยนเฉวียนตาย การประลองที่ตามมา…

อืม…” ราชาเทวะจงซานเงียบไปสักครู่ พูดช้าๆ ว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเจ้าสามคนก็แข่งชิงสามอันดับแรกเถอะ”

ความหมายคือ ไม่คิดเพิ่มคนขึ้นมาอีกหนึ่งคน

พอเขาพูดจบเสียงทรงอำนาจก็คงขึ้นอีกครั้ง “มู่ชิงเกอ หลีเฉา อวี้ลี่ว์ สามคนแย่งชิงสามอันดับแรก ใครชนะสองครั้งได้ที่หนึ่ง ที่เหลือสองคนแข่งกันอีกครั้ง เพื่อตัดสินที่สองและที่สาม”

กติกาแน่ชัดแล้ว เวลานี้หลีเฉากับอวี้ลี่วีประลองไปแล้วหนึ่งครั้ง เหลือแค่มู่ชิงเกอแยกกันต่อสู้กับอีกสองคน หากมู่ชิงเกอชนะหมดก็คงเหลือหลีเฉากับอวี้ลี่ว์ประลองอีกครั้ง หากมู่ชิงเกอแพ้หนึ่งครั้ง พวกเขาก็ต้องต่อสู้กันอีกหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตามใครชนะสองครั้งก่อนเป็นที่ หนึ่ง

อวี่ลี่ว์มองไปที่หลีเฉาแล้วยิ้มพลางสั่นศีรษะ “ข้าไม่สามารถสู้เจ้าได้ ต่อสู้อีกกี่ครั้งก็เป็นเช่นเดิม ไม่สู้เอาเช่นนี้ดีกว่า หากข้าชนะสามน้อยฮ่วนเยวี่ยคนนี้ ข้าเป็นที่สอง หากข้าแพ้ก็เป็นที่สาม พวกเราไม่ต้องประลองกันอีก”

คำพูดของเขา ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล

หลีเฉาคิดแล้วก็ผงกศีรษะเห็นด้วย

มู่ชิงเกอยืนระหว่างสองคน ถามว่า “ใครจะเริ่มก่อน”

“ข้าเริ่มก่อน” อวี้ลี่ว์เอ่ยออกมา

อวี้ลี่ว์เปิดปากแล้ว หลีเฉาก็ถอยไปหนึ่งก้าว เปิดสนามต่อสู้ให้

“เชิญ” อวี้ลี่ว์บอกมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ บอกเขาเช่นเดียวกันว่า “เชิญ”

กฎบัญญัติแห่งลมเกิดขึ้นบนเวทีประลองทันที ทันใดนั้น เวทีประลองก็ราวกับมีพายุรุนแรงโหมกระหนํ่าพัดจนพลังกฎบัญญัติที่มู่ชิงเกอเพิ่งรวบรวมมากระจายหายไปจนเกลี้ยง

มู่ชิงเกอมองเขาแววตาเกิดความตกตะลึงและเต็มไปด้วยความฮึกเหิมของการต่อสู้

นางยิ้ม ท่าดาราก่อกำเนิดเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลาภายใต้ลมพายุที่พัดโหม กฎบัญญัติแห่งไม้ก็ใช้ออกมาประสานเข้าไปในกฎบัญญัติแห่งลม เพิ่มน้ำหนักของสายลม ทำให้คาถาอาคมของอวี้ลี่ว์ค่อยๆ ช้าลง

มู่ชิงเกอมือกำทวนหลิงหลงพุ่งเข้าหาอวี้ลี่ว์ นางไม่ประลองคาถาอาคมแต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการรบประชิดตัวแทน อวี้ลี่ว์ตกใจ แต่ก็ไม่เสียกระบวนท่า สามารถตั้งรับได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งคู่ต่างมีความเร็วสูงส่ง เงาร่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

พวกเขาไม่ได้ประลองคาถาอาคม แต่เป็นการรบประชิดตัว

บนเวทีประลอง ทั้งสองเงาร่างวูบวาบไม่หยุด บรรดาผู้ชมต่างค่อยๆ ลืมเรื่องการตายของเยี่ยนเฉวียนและถูกดึงดูดโดยการสู้รบเบื้องหน้า

“อวี้ลี่ว์ว่องไวมาก ไม่นึกว่าสามน้อยฮ่วนเยวี่ยคนนี้จะสามารถตามได้ทัน”

“จริงด้วย สามน้อยฮ่วนเยวี่ยคนนี้การรบประชิดตัวเองก็แข็งแกร่งถึงปานนี้ในแดนฮ่วนเยวี่ยมีต้นกล้าดีๆ ไม่น้อยเลย”

“แดนฮ่วนเยวี่ยแข็งแกร่งที่สุดในสี่แดนเทพอยู่แล้ว มนุษย์เทพที่เข้ามาในแผ่นดินเทพตะวันออกแล้ว สถานที่ที่อยากไปที่สุดย่อมเป็นแดนฮ่วนเยวี่ย พวกเขาย่อมไม่ห่วงว่าจะขาดแคลนคนมีฝีมือ”

ปัง!

การกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ทั้งคู่กระเด็นแยกออกไป

ราชาเทวะจงซานหรี่สองตาลง สีหน้าคงเดิม

“ข้าแพ้แล้ว” อวี้ลี่ว์พูดจอย่างนิ่งสงบ

บนเสื้อบริเวณหน้าอกยังมีรอยเท้าสีดำประทับอยู่ ส่วนเสื้อของมู่ชิงเกอยังคงสะอาดเอี่ยมไม่มีแม้กระทั้งรอยยับย่น

นี่มัน…จบแล้วหรือ

ทุกคนต่างพูดไม่ออก

เสียงทรงอำนาจดังขึ้นอีก “มู่ชิงเกอชนะหนึ่งรอบ”

ดูแล้ว ราชาเทวะจงซานเองก็ยอมรับผลครั้งนี้แล้ว บนเวทีประลอง การประลองต่างๆ ขึ้นกับความพอใจของทั้งสองฝ่าย ในเมื่ออวี้ลี่ว์บอกว่าแพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว เจ้าจะไปสนใจว่าคนเขาประลองอะไรกันไปทำไม

อวี้ลี่ว์ถอยหลังไปหลายก้าวมองไปทางหลีเฉากับมู่ชิงเกอ ประกายตามีแววเจ้าเล่ห์นิดหนึ่ง “ข้าแพ้แล้วก็เป็นอันดับที่สาม ส่วนอันดับที่หนึ่งกับอันดับที่สอง ก็รอให้พวกเจ้าแดนฮ่วนเยวี่ยไปแย่งชิงกันเองเถอะ”

หลีเฉาชะงักได้สติกลับมาทันที

แต่อวี้ลี่ว์ก็ได้หันกายลงจากเวทีประลองไปแล้ว

บนเวทีประลอง คงเหลือมู่ชิงเกอกับหลีเฉาเพียงสองคน

หลีเฉายืนตรงข้ามมู่ชิงเกอ ฝืนยิ้มพูดว่า “ดูแล้ว เจ้าอวี้ลี่ว์ต้องการดูพวกเราขายหน้า”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรชิงเกอเองก็อยากได้รับการชี้แนะเรื่องคาถาอาคมของใหญ่น้อย” มู่ชิงเกอยิ้มพูด

หลีเฉาเป็นรากวิญญาณทอง มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อกฏบัญญัติสายทอง รากวิญญาณของนางก็มีสายทองอยู่ด้วย ดังนั้นในระหว่างต่อสู้ นางคงจะเข้าใจอะไรได้ไม่น้อยเลย

ขอแค่ได้รับผลประโยชน์บ้างก็ถือว่าไม่ลำบากไปเปล่าๆ

แต่ขณะที่นางคิดจะต่อสู้หลีเฉากลับสั่นศีรษะ “เจ้าสู้ติดกันมาสองรอบแล้ว ส่วนข้าสู้เพียงรอบเดียว ได้พักผ่อนหนึ่งรอบ ข้าตบะบำเพ็ญสูงกว่าเจ้า ไม่ยุติธรรมที่จะสู้กับเจ้า”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของหลีเฉา

หลีเฉาเก็บสีหน้าถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าอยากได้อันดับหนึ่งมากจริงๆ หรือ”

มู่ชิงเกอชะงัก ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมหลีเฉาจึงถามเช่นนี้ แต่ก็ยังคงผงกศีรษะตามความเป็นจริง ก่อนนั้นเพียงสามอันดับแรกก็พอ แต่พอรู้ถึงความแตกต่างการจัดเรียงของสามอันดับแรกแล้ว นางก็อยากได้อันดับที่หนึ่ง

“เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าขอสละสิทธิ์ในการประลองรอบนี้ให้เจ้าสมหวัง” หลีเฉาพูด

“ทำไมเล่า” มู่ชิงเกอพูดด้วยความแปลกใจ

หลีเฉายิ้มบาง “ยาเม็ดที่เจ้าให้ข้านั้นรักษาอาการบาดเจ็บภายในที่เรื้อรังมาหลายปีได้จนหายขาด ทำให้ขั้นพลังที่หยุดนิ่งมาเนิ่นนานเริ่มมีการเคลื่อนไหว ข้าไม่ต่อสู้ก็เพื่อตอบแทนนํ้าใจเจ้า เจ้าไม่ต้องคิดมาก เจ้ากับข้าต่างก็เป็นลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ย โอกาสที่จะเรียนรู้ ยังมีอีกมาก ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงเอาเป็นเอาตายต่อหน้าคนของแดนเทพอื่นๆ”

คำพูดของเขานั้นประกอบไปด้วยสองความหมาย

หนึ่งคือ ตอบแทนนํ้าใจของมู่ชิงเกอ

อีกหนึ่งคือ เขาไม่อยากให้คนแดนเทพอื่นเห็นเป็นเรื่องตลก

มู่ชิงเกอคิดแล้วก็ผงกศีรษะ

ว่าก็กันตามจริงแล้วกฎบัญญัติสายทองนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ขั้นชั้นของนางก็ยังห่างชั้นกว่าหลีเฉามากมายนัก นางเองเวลานี้ก็ไม่มั่นใจว่าจะสู้ชนะ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเสนอวิธีเช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้ว

“รอบที่สอง ฮ่วนเยวี่ยหลีเฉาสละสิทธิ์ ฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอ ได้ที่หนึ่งในการถกวิถีครั้งนี้”

ผลที่จบลงราวกับเกินความคาดหมายแต่ก็ราวกับสมเหตุสมผล

มู่ชิงเกอได้สมตามที่หวังไว้คือได้อันดับที่หนึ่ง แต่ที่นางสนใจคือนางจะได้รับอะไรจากการปิดประตูบำเพ็ญภายใต้แสงวิถี

พอการประลองเสร็จสิ้น ลูกศิษย์สี่แดนเทพทั้งร้อยคนก็ไปยังสถานที่อาบแสงแห่งวิถีโดยการนำทางของผู้ดูแลแดนจงซาน

ขณะที่เห็นลำแสงเงินทองที่ไม่รู้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด มู่ชิงเกอจึงได้รู้ว่าแสงแห่งวิถีอยู่ในโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินเทพ

แสงแห่งวิถีราวกับนํ้าตกที่ลาดเอียงสีเงินเป็นเส้นตรงจากบนลงล่าง

มู่ชิงเกอแหงนหน้ามองไปที่แสงแห่งวิถีก็พอจะเห็นได้ว่าในนั้นมีขั้นบันไดสูงตํ่าต่างกัน

ผู้ดูแลที่นำทางบอกมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเป็นผู้ได้อันดับที่หนึ่งในครั้งนี้ ความสูงของคนทั้งหมดในการอาบแสงแห่งวิถีจะอยู่ที่เจ้ากำหนด เวลานี้พอเจ้าเข้าไปในแสงแห่งวิถี แล้วเดินไปถึงที่ใดก็จะถือเป็นจุดสิ้นสุด คนอื่นๆ จะใช้ระดับความสูงของเจ้ากำหนดสถานที่ของตัวเอง อันดับที่สองจะตํ่ากว่าเจ้าสองชั้น อันดับที่สามตํ่ากว่าเจ้าห้าชั้น คนที่เหลือจะต้องตํ่ากว่าเจ้าสิบชั้น”

เขาหยุดไปนิดหนึ่งแล้วเพิ่มเติมว่า “หากว่าแม้แต่ชั้นสิบ เจ้ายังเดินไม่ถึง เช่นนั้นแล้ว คนอันดับตํ่ากว่าที่สี่ลงไปก็จะต้องนั่งอยู่ชั้นตํ่าสุดเพื่ออาบแสงวิถีอ่อนจางเท่านั้น”

‘ที่แท้คนอันดับที่หนึ่งยังมีหน้าที่เช่นนี้ด้วย’ มู่ชิงเกอรู้สึกเกินคาด แต่ก็ไม่ได้โต้แย้ง

การที่ให้นางเลือกความสูงโดยอิสระ ผลที่ได้เช่นนี้ทำให้นางตื่นเต้นยินดีนัก

ไม่ต้องพูดให้มากความ มู่ชิงเกอเข้าไปในแสงแห่งวิถี ภายใต้การจับจ้องของคนที่เหลือเก้าสิบเก้าคนนางเริ่มต้นปีนป่ายในแสงแห่งวิถี ที่ควรกล่าวไว้คือ พอเยี่ยนเฉวียนตายไปก็ทำให้มีที่ว่างเหลือหนึ่งอันดับ คนที่ได้รับประโยชน์สุดท้ายคือคนของแดนจงซาน

เข้าไปในแสงแห่งวิถีแล้ว มู่ชิงเกอก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ทุกอย่างรอบๆราวกับอันตรธานไปหมดสิ้นนางราวกับอยู่ในยุคที่เริ่มต้น จักรวาล ฟ้าดินยังไม่เปิดออก เบื้องหน้านางมีเพียงขั้นบันไดเรียงสลับไปมา สูงขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด

มู่ชิงเกอ เริ่มต้นปีนขึ้นไป

ในสายตาคนที่อยู่ข้างนอก พวกเขาเห็นมู่ชิงเกออยู่ในแสงแห่งวิถี ปีนขึ้นไปด้วยอาการสงบนิ่งทีละก้าว ทีละชั้น เพียงแค่ครู่เดียวก็ไปถึงชั้นแปดแล้ว

ผู้ดูแลแดนจงซานที่มาด้วยกันมองดูอยู่เงียบๆ เขารู้ว่าในแสงแห่งวิถีนั้นระหว่างชั้นแต่ละชั้นยิ่งปีนขึ้นสูงก็ยิ่งยาก หลังจากชั้นแปดไปแล้วการขึ้นไปในแต่ละชั้นจะยากเหมือนการปีนขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว

เขาเองก็อยากรู้ว่าม้ามืดในการถกวิถีครั้งนี้จะสามารถขึ้นไปได้จนถึงชั้นไหน

“ชั้นที่เก้า แล้ว!”

“ชั้นที่สิบแล้ว อันตรายนัก อย่างน้อยพวกเราไม่ต้องนั่งอาบอยู่ที่พื้นล่างสุดแล้ว”

ขณะที่มู่ชิงเกอยืนอยู่ชั้นที่สิบเหล่าลูกศิษย์สี่แดนเทพ ด้านนอกแสงแห่งวิถีต่างอดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา

ผู้ดูแลแดนจงซานกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างข้องใจ ราวกับกำลังคิดว่าทำไมมู่ชิงเกอจึงปีนขึ้นไปได้สบายนัก แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือการปีนบันไดเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยปัญญาเทวะ

ส่วนมู่ชิงเกอนั้นได้ใช้เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางบำเพ็ญปัญญาเทวะมาโดยตลอด ปัญญาเทวะของนางแข็งแกร่งระดับราชาเทวะในขั้นศักดิ์สิทธิ์มานานแล้วย่อมปีนขึ้นไปได้อย่างสบายๆ

“ข้าได้ยินมาว่า ในประวัติศาสตร์คนที่ปีนขึ้นไปได้สูงสุดถึงขั้นที่ 23 เชียว”

“ที่นี่มีทั้งหมด 99 ขั้นกระมัง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version