ตอนที่ 620
การตายของจี้หลุน
จักรวาลยุคบุกเบิก กำเนิดสิ่งมีชีวิต ต้นกำเนิดแห่งวิถี
มู่ชิงเกอดื่มดํ่าอยู่ท่ามกลางแสงแห่งวิถี รู้สึกว่าปัญญาเทวะของตัวเองราวกับถูกดึงออกจากร่าง ถูกแสงแห่งวิถีนำนางไปยังแม่นํ้าแห่งกาลเวลากลับไปสู่ยุคกำเนิดจักรวาล
ในเวลานั้นจักรวาลยังไม่มีอยู่ ทุกสิ่งยังไม่ปรากฎ ฟ้าดินยังไม่แยกจากกัน ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าและเหล่าสัตว์ทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้ราวกับกลุ่มอากาศธาตุ ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นความมืดดำและสีเทาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ความไร้ขอบเขตนั้นทำให้ปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอ รู้สึกได้ถึงความกระจิริดของตัวเอง ความรู้สึกของฝุ่นผงผุดขึ้นมาจากหัวใจ ชะล้างโลกทัศน์ของนางไปจนสิ้น
นางไม่รู้ว่าล่องลอยอยู่นานเท่าไร ถูกแสงแห่งวิถีนำไปถึงไหน รู้สึกเพียงว่าช่วงสะลืมสะลือนั้น มองเห็นแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งกะพริบไม่หยุดหย่อนท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด
มองเห็นแสงสีแดงนั้นแล้วจิตใต้สำนึกมู่ชิงเกอก็พุ่งเข้าไปหามันเอง ยิ่งเข้าใกล้แสงสีแดงนั้นเท่าไหร่นางก็ยิ่งรู้สึกว่าความเร็วตัวเองมีมากขึ้นทุกที
ขณะที่นางเกือบถึงแสงสีแดงนั้น ทันใดนั้น แสงสีแดงประหลาดที่กะพริบอยู่ก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง การระเบิดชนิดนั้นเป็นการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างโดยแท้จริง สะเทือนจนนางรู้สึกว่าปัญญาเทวะของนางถูกสั่นสะเทือนจนแตกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
นางไม่ได้ตาย นางยังมีความรู้สึก รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบริเวณรอบๆ
อีกทั้ง การรับรู้นั้นมีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ลึกซึ้งจนนางเกิดหลอนราวกับว่านางก็คือการเปลี่ยนแปลงนั้นเอง ทุกอย่างเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของนาง
มู่ชิงเกอในเวลานี้ยังไม่รู้ว่าบันไดเหล่านั้นเป็นตัวแทนถึงสิ่งใด
ความจริง บันไดเหล่านั้นหมายถึงระยะห่างจากแสงสีแดงประหลาดนั้น ยิ่งขึ้นไปสูงมากก็ยิ่งเข้าใกล้แสงสีแดงมากขึ้น ผลลัพธ์จากการรับรู้ก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ความรู้สึกรับรู้ของ ร่างกายก็จะชัดเจนมากขึ้น
แสงสีแดงระเบิดออก จักรวาลไม่ได้ถูกทำลาย แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงหมื่นแสนพันชนิด การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก็คือ ต้นกำเนิดแห่งวิถี
มู่ชิงเกอรับรู้การกำเนิดของฟ้าดินด้วยตัวเอง ความหลากหลายของสารพัดสิ่ง นางกลายเป็นฝุ่นดิน กลายเป็นหยดนํ้า กลายเป็นต้นหญ้า กลายเป็นสายลม ก้อนหิน ดอกไม้ ปุยเมฆ พื้นดิน ต้นไม้ภูเขา ปลา กวาง เสือดาว สิงโต…
นางกลายเป็นสรรพสิ่งและราวกับสรรพสิ่งก็เป็นนาง นางสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจน ในวงจรเช่นนั้น การหมุนเวียนกลับกลายเริ่มต้น สืบเสาะได้ถึง หนทางแห่งธรรม
การรับรู้นี้ทำให้นางสั่นสะท้าน
เป็นการรับรู้ที่ไม่เหมือนแต่ก่อนที่มีตลอดมา ภายใต้การรับรู้เช่นนี้ นางราวกับสามารถสัมผัสได้ว่าวิถีคืออะไร วิถีไม่ใช่สิ่งที่ล่องลอยไม่มีตัวตน แต่เป็นสิ่งที่นางรับรู้ได้ เข้าใจได้
‘วิถียิ่งใหญ่หมื่นแสน แต่ไม่สามารถรอดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด’ มู่ชิงเกอสรุปสิ่งที่นางเข้าใจ
เกิดและตาย
คนมีชีวิต สรรพสิ่งล้วนมีชีวิต แม้แต่ภูเขา ทะเล ต่างก็ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องสูญหาย ต้องเกิดใหม่ กลายเป็นทิวทัศน์ใหม่
นี่คือวงจรชีวิต วงจรที่ทำให้ชีวิตไม่สูญสลายไป
การสิ้นไปทุกครั้งก็เพื่อการเกิด
การเกิดทุกครั้งก็หนีไม่พ้นต้องสิ้นไป
มู่ชิงเกอนั่งอยู่อย่างสงบนิ่งบนขั้นบันได ราวกับสงฆ์ชราที่เข้ากำลังฌานใบหน้าที่งดงามสุดแสนไม่มีอาการใดๆ ราวกับสรรพสิ่งที่นางเปลี่ยนแปลงไปนั้นต่างอยู่ในวงจรชีวิตที่ หมุนเวียนไม่สิ้น ทำให้นางมองทะลุถึงความเป็นความตาย มองเห็นว่าทุกสิ่งล้วนอนิจจัง
เวลาสามวันเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป
สามวันแล้ว คนอันดับที่สี่ถึงหนึ่งร้อยต่างต้องออกจากแสงแห่งวิถีและจากไปอย่างสุดแสนเสียดาย
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถนั่งได้สูงถึงปานนั้น กระทั่งสูงกว่าเป่ยเหยียนในครั้งนั้นมากมายนัก แต่โอกาสที่หายากเช่นนี้พวกเขาก็อยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น
ก่อนออกไป พวกเขาต่างมองคนที่เหลือสามคนในแสงแห่งวิถีด้วยความอาลัยอาวรณ์
ที่ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ต้องดูแล้วดูอีกนั้นก็คือเงาร่างชุดแดงเพลิงที่นั่งอยู่บนชั้นที่ 52 ในกลุ่มผู้ชายเขาอาจไม่นับว่าสูงใหญ่ แต่ในสายตาพวกเขาเวลานี้กลับสูงใหญ่บึกบึนยิ่งนัก
ในเมืองใบไม้ผลิ ณ ที่อยู่ชั่วคราวของแดนจั๋วอวี่ เหล่าลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ที่ถูกคัดออกต่างกลับมาแล้ว เหล่าผู้อาวุโสที่ตามพวกเขามาก็กลับมาด้วยกัน
พวกเขาอยู่ที่นี่รอให้พวกลูกศิษย์ที่อาบแสงแห่งวิถีกลับมา แล้วค่อยกลับแดนจั๋วอวี่ด้วยกัน
เกี่ยวกับความผิดปกติของเหล่าผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ เหล่าลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่แม้จะสงสัยในใจแต่ก็ไม่กล้าถาม
จี้หลุนที่ถูกมู่ชิงเกอซ้อมจนปางตายฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสล เมื่อลืมตาที่หายบวมแล้วก็เห็นเงาร่างพร่าเลือนในห้อง กำลังเดินไปมาราวกับกำลังวุ่นวายอะไรอยู่
“แค่กๆ” จี้หลุนไอเบาๆ ยันขอบเตียงลุกขึ้นมา
การเคลื่อนไหวของเขาทำให้อีกคนในห้องได้ยินและหันกลับมามองจึงได้เห็นใบหน้าอึมครึมของจี้หลุนที่กำลังมองตัวเองอยู่
“ศิษย์พี่จี้หลุน ท่านตื่นแล้ว รีบดื่มนํ้าเถอะ” คนในห้องรีบยกถ้วยนํ้ามาเบื้องหน้าจี้หลุน
จี้หลุนจ้องมองเขาแต่กลับไม่รู้ว่าใบหน้าตัวเองที่ยังไม่หายบวมในสายตาคนอื่นนั้นช่างน่าตลกขบขันเพียงใด
เขารับถ้วยนํ้ามาดื่มนํ้าจนหมดแล้วโยนถ้วยกลับไปให้คนคนนั้นและพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้ว การถกวิถีเป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียนได้ฆ่าเจ้าชั่วแซ่มู่คน นั้นแก้แค้นให้ข้าหรือไม่”
พอเอ่ยถึงเยี่ยนเฉวียน ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ในห้องก็เกิดสะท้านไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเผือด “ศิษย์พี่…เยี่ยน…เยี่ยน เฉวียน… เขา…เขา…”
อาการอึกอักของเขาเช่นนี้ทำให้จี้หลุนขมวดคิ้ว รู้สึกสังหรณ์ใจ “หืม อย่าเอาแต่อึกอัก”
“ศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียนเขาตายแล้วขอรับ” ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่กัดฟันบอกความจริงให้จี้หลุนฟัง
“อะไรนะ! เจ้าพูดอะไรนะ” จี้หลุนตกใจจนกระโดดขึ้นมา สองมือดึงคอเสื้อลูกศิษย์เข้ามาตรงหน้าตัวเองโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ
“ศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียนเขา…เขาตายแล้ว” ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ จำเป็นต้องพูดทวนอีกครั้ง
จี้หลุนตกใจจนตะลึงงัน
เขาสลบไปเพียงครู่เดียวทำไมพอฟื้นขึ้นมาเยี่ยนเฉวียนก็ตายแล้วเล่า
“เขาตายอย่างไร” จี้หลุนกัดฟันถาม
ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่เล่าเรื่องทั้งหมดบนเวทีประลองให้จี้หลุนฟัง
หลังจากฟังจบแล้ว ใบหน้าจี้หลุนที่บวมเป่งก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวสุดแสนจะน่าเกลียดแววตาโหดเหี้ยมแฝงด้วยความแค้นอย่างลํ้าลึก
เยี่ยนเฉวียนจะฆ่ามู่ชิงเกอ แต่กลับถูกมู่ชิงเกอฆ่าตาย
“ผู้อาวุโสในแดนเล่า ทำไมพวกเขาจึงปล่อยคนแซ่มู่ไปอย่างง่ายดายนัก” จี้หลุนถามอย่างแค้นหนัก
พอเอ่ยถึงเหล่าผู้อาวุโสในแดน ลูกศิษย์คนนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ฮึ ไม่รู้ว่าเหล่าผู้อาวุโสในแดนคิดอะไรกันอยู่ ศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียนตายอย่างอนาถ พวกเขานอกจากไม่ได้แก้ แค้นให้ศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียนแล้วยังพูดว่าศิษย์พี่เยี่ยนเฉวียน ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ต่อหน้าราชาเทวะจงซาน ไม่โทษคนอื่น ปล่อยมู่ชิงเกอไปเฉยๆ ไม่ได้ถูกลงโทษแม้แต่นิด”
“เป็นไปได้อย่างไร” จี้หลุนถลึงทั้งสองตา ไม่อยากจะเชื่อ
อุปนิสัยเหล่าผู้อาวุโสในแดนเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ทำไมจึงปล่อยมู่ชิงเกอไปได้
“แต่เรื่องเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเราเองก็สงสัยกันมาก” ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่คนนั้นยกสองมือผายออก แล้วพูดอย่างหมดหนทาง
จี้หลุนคิดแล้วก็ส่ายหน้าดิ้นรนจะลงจากเตียง “ไม่ได้! ข้าจะไปหาเหล่าผู้อาวุโสถามให้ชัดเจน”
“ศิษย์พี่จี้หลุน ท่านบาดเจ็บหนักยังไม่หาย พักฟื้นก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ลูกศิษย์คนนั้นพยายามห้าม
แต่จี้หลุนไม่ฟังแม้แต่นิด เขาผืนลงมาจากบนเตียงแล้วพุ่งออกไปที่ประตู อาการโซซัดโซเซของเขาเช่นนี้ราวกับสามารถหกล้มหรือชนกับสิ่งต่างๆ ในห้องได้ตลอดเวลา
ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่เห็นท่าทางเขาเช่นนี้ก็คิดจะขึ้นไปประคอง
แต่การกระทำของเขาทำให้จี้หลุนนึกว่าอีกฝ่ายจะห้ามไม่ให้เขาไปหาเหล่าผู้อาวุโส แววตาเขาเย็นเฉียบแล้วใช้พลังเทพฟาดไปที่ลูกศิษย์คนนั้นทันที
ขณะที่เขาใช้พลังเทพฟาดไปนั้นสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ พลังเทพเล็กบางราวเส้นผมสิบกว่าสายซึ่งมู่ชิงเกอแอบใส่เข้าไปในร่างกายเขาและแอบแฝงตัวอยู่เกิดปั่นป่วนขึ้นมาในขณะที่เขาใช้พลังเทพของตัวเอง
พวกมันราวกับเป็นชนวนที่ถูกจุดขึ้นมาและเผาไหม้ต่อไปอย่างรุนแรง
ส่วนวัตถุระเบิดนั้นก็คือพลังเทพในร่างของจี้หลุนนั้นเอง
ลูกศิษย์คนนั้นถูกซัดไปโดยไม่ทันตั้งตัวก็กระเด็นออกไปชนกับผนังห้องและกระอักโลหิตออกมา
ส่วนจี้หลุนก็โซเซออกนอกประตูไป แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็รู้สึกแน่นหน้าอก อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น มึนงงไปทั้งตัว ราวกับถูกย่างอยู่กลางแดดจัด
เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกว่าร่างกายบวมพองขึ้นมาทั้งตัว
เขาเดินโซเซ อึดอัดจนพูดไม่ออก ดวงตาเห็นเป็นภาพซ้อน จี้หลุนก้มศีรษะมองดูร่างตัวเอง เห็นร่างตัวเองบวมกลมเป็นลูกบอลราวกับพองลม แต่…มันยังคงขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้เขาตกใจจนตาดำหดเล็กลง
ความหวาดกลัวนั้นพริบตาเดียวก็ห่อหุ้มเขาจนมิด เขาอ้าปากร้องออกมาราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่ร่างกายก็ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ที่ถูกเขาฟาดจนบาดเจ็บอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงร้องที่น่ากลัวของเขาก็เอามือกุมหน้าอกแล้วโซเซพุ่งออกมา เสียงของจี้หลุนนั้นดังเสียจนลูกศิษย์คนอื่นล้วนได้ยินกันทั่วและวิ่งมาหาเขา
ร่างกายจี้หลุนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตามีแต่ความหวาดหวั่น
เมื่อเขาเห็นคนวิ่งมาทางเขาก็เหมือนมองเห็นความหวัง แต่ไม่ทันที่ความหวังจะมาถึง ร่างกายเขาก็เกิดเสียง
ปัง!
ระเบิดอยู่ตรงนั้น พลังเทพในร่างกายทะลักออกมากระแทกจนเรือนที่พักพังไปทั้งแถบ รวมทั้งเหล่าลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ที่วิ่งมาหาเขาด้วย
ขณะนั้น ในเมืองใบไม้ผลิแดนจงซานเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน ที่พักแดนจั๋วอวี่ถล่มราบเป็นหน้ากลอง คนในเมืองทั้งหมดต่างหวาดผวา ข่าวแพร่อย่างรวดเร็วไปยังเมืองหิมะ…
เกิดเหตุยิ่งใหญ่เช่นนี้กับที่พักแดนจั๋วอวี่ในเมืองใบไม้ผลิ ข่าวจึงมาถึงหูราชาเทวะจงซานอย่างรวดเร็ว
แต่ขณะที่เขาได้ฟังข่าวนี้กลับมีสีหน้าปกติ ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่นิด กระทั้งไม่ห่วงด้วยซํ้าว่าอาจมีเรื่องยุ่งยากตามมาจากสาเหตุนี้ เขาบอกผู้ดูแลที่มาแจ้งข่าวว่า “อืม ก็บอกความจริงให้ราชาเทวะจั๋วอวี่ได้รู้ ทั้งดูด้วยว่ายังมีผู้รอดชีวิตหรือไม่ บอกเขาไปทั้งหมด”
“ราชา…ราชาเทวะ…หมดเท่านี้หรือขอรับ” ผู้ดูแลถามอย่างแปลกใจ
ดวงตาสีฟ้าของราชาเทวะจงซานมองไปที่ร่างเขาแล้วถามยิ้มๆ ว่า “แล้วยังจะมีอะไรอีกเล่า”
“ขอรับ” เมื่อถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ ผู้ดูแลก็สะท้านไปทั้งร่าง หลุบตาลงแล้วถอยออกไป