ตอนที่ 622
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเรียกพบ
วันรุ่งขึ้น มู่ชิงเกอกับพวกหลีเฉาขึ้นเรืออากาศกลับไปยังแดนฮ่วนเยวี่ยตามทางเดิม
ซือมั่วบอกนางว่าให้นางวางใจกลับแดนฮ่วนเยวี่ยไปบำเพ็ญ หากได้ข่าวที่แน่ชัดของมู่เทียนอินเขาจะบอกนางให้ตามไปทันที
ที่ว่าข่าวแน่ชัดก็หมายถึงคนของตลาดมืดทำตามความต้องการของผู้เฝ้ามองได้สิทธิ์แห่งเทพของราชาเทวะน้อยแดนเฝินไห่เซิ่งจิ่งมาแล้วกลับไปยังแผ่นดินเทพตะวันตกเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยน
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว พวกเขาก็สามารถตามเบาะแส หาตัวมู่เทียนอินเพื่อจบปัญหาทุกอย่างได้
เมื่อกลับถึงแดนฮ่วนเยวี่ยเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน
ขณะที่พวกมู่ชิงเกอกลับถึงเขาวังน้อยกลับ ถูกราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยออกโองการระงับการไปยังวังราชาเทวะ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยว่า พวกเขากลับมาควรต้องรีบปิดประตูบำเพ็ญนำสิ่งที่พวกเขาได้รับในแสงแห่งวิถีมาประมวลให้ถ้วนถี่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องให้พวกเขากังวล
“ใหญ่น้อย ราชาเทวะทำเช่นนี้ หรือเพราะรู้เรื่องแดนจงซานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น” จวงซานถามหลีเฉา
หลีเฉาคิ้วขมวด สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ในเมื่อราชาเทวะพูดเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่ต้องไปวังราชาเทวะ ต่างคนต่างกลับไปบำเพ็ญที่วังน้อย รอให้ออกจากการปิดประตูบำเพ็ญก่อนค่อยว่ากัน ข้าเชื่อว่าราชาเทวะจงซานได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานั้นให้ราชาเทวะฟังหมดแล้ว อีกอย่างหนึ่ง เรื่องแดนจั๋วอวี่ที่เกิดขึ้นในเมืองใบไม้ผลิก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา พวกเราไม่มีอะไรจะอธิบายได้อยู่แล้ว”
“อืม ถูกต้อง”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“เช่นนั้นพวกเราต่างคนต่างกลับวังน้อยกันเถอะ ครั้งนี้เพราะอาศัยเจ้าสามข้าจึงได้รับประโยชน์มาไม่น้อยเลย”
“ข้าก็เหมือนกัน”
“ครั้งนี้เพราะเจ้าสามจริงๆ”
ทุกคนต่างแสดงทีท่าเป็นมิตรต่อมู่ชิงเกอมากขึ้น
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ ไม่ได้แสดงอาการหยิ่งทะนงใดๆ
“เจ้าสาม เจ้าปิดประตูบำเพ็ญดีๆ ครึ่งปีหลังจากอาบแสงแห่งวิถีนั้นมีความสำคัญอย่างที่สุด คน จำนวนมากต่างทะลวงขอบเขตได้ในครึ่งปีนี้ ข้าหวังอย่างยิ่งว่าหลังจากครึ่งปีแล้ว เจ้าจะได้ทะลวงขั้น” หลีเฉาพูดกับมู่ชิงเกออย่างจริงจัง
“ได้” มู่ชิงเกอผงกศีรษะ แววตายังคงสงบนิ่ง
คุยกันง่ายๆ เพียงไม่กี่คำแล้วต่างคนก็ต่างกลับวังน้อยของตัวเอง รีบทำเวลาปิดประตูบำเพ็ญ
ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมคงเหลือเพียงมู่ชิงเกอกับจวงซาน
มู่ชิงเกอมองเขาแล้วยิ้มถามว่า “ศิษย์พี่จวงซานไม่รีบไปปิดประตูบำเพ็ญหรือ”
“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ” จวงซานยิ้มถามกลับ
ทั้งคู่สบตาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
จากนั้น ทั้งคู่ก็เดินไปยังถํ้าที่อยู่ในแดนฮ่วนเยวี่ยแห่งหนึ่งโดยไม่ต้องกล่าวอะไร
ระหว่างทาง มู่ชิงเกอถามว่า “ข้ายังไม่เคยถามศิษย์พี่จวงซานเลยว่า ในแดนฮ่วนเยวี่ยนั้นมีเหล่าลูกศิษย์มากมาย ทำไมจึงสนิทสนมกับศิษย์พี่เฟิ่งซิ่งเท่านั้น”
จวงซานยิ้มบางๆ บอกนางว่า “เฟิ่งซิ่งเป็น คนที่ข้าได้พบโดยบังเอิญขณะฝึกหาประสบการณ์อยู่ข้างนอกและนำเขาเข้ามาในแดน ในเมื่อข้านำเขาเข้ามาย่อมต้องใส่ใจมากหน่อย”
ระหว่างคุยกัน ทั้งคู่ก็มาถึงนอกประตูถํ้าของถงเถิงกับเฟิ่งซิ่งแล้ว
พอทั้งคู่ลงมาถึง เฟิ่งซิ่งก็วิ่งออกมาอย่างดีอกดีใจ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มขี้อายประดับอยู่
“ศิษย์พี่เฟิ่งซิ่ง ท่านวิ่งทำไมกัน” ตัวถงเถิงยังไม่ถึง เสียงก็มาถึงก่อนแล้ว เมื่อเขามองเห็นมู่ชิงเกอกับจวงซานที่ยืนอยู่นอกประตูก็เกิดอาการตื้นตันอย่างมาก เขาพุ่งตัวมาที่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้เอ่ยว่า “ลูกพี่ ท่านกลับมาแล้ว”
มู่ชิงเกออมยิ้มพยักหน้า “เพิ่งถึง”
อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งซิ่งก็กำลัง ‘คุย’ กับจวงซานอยู่ สายตาที่นิ่มนวลของจวงซาน ทั้งรอยยิ้มอัน อบอุ่นบอกเฟิ่งซิ่งถึงเรื่องราวครั้งนี้อย่างอดทน
“ลูกพี่ ท่านรีบบอกข้าเร็วว่าแดนจงซานเป็นอย่างไร คล้ายแดนฮ่วนเยวี่ยของพวกเราหรือไม่ ยังมี ยังมี ถกวิถีสี่แดนเทพสนุกไหม ลูกพี่ข้าคงได้เปล่งรัศมีใหญ่โต ทุกคนตื่นตาตื่นใจ” ถงเถิงพูดพล่ามลากยาวต่อไปอีกมากมาย แต่ละคำล้วนชื่นชมโลกภายนอก อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับแผ่นดินเทพ
จนเขาพูดจบมู่ชิงเกอก็ยิ้มบอกว่า “ถ้ามีโอกาส เจ้าก็ออกไปฝึกฝนภายนอกได้ ไม่ต้องเฝ้าอยู่แต่ในแดนฮ่วนเยวี่ย”
“เวลานี้ข้ายังคงอ่อนเกินไป” ถงเถิงเกาศีรษะอย่างรู้ตัว
ความจริง พรสวรรค์เขาดีมาก ความเร็วการบำเพ็ญเองก็ถือว่าไวมาก ในหมู่ลูกศิษย์เขาก็นับว่ามีอันดับ เพียงแต่เสียดายที่เขายืนอยู่ข้างมู่ชิงเกอ เมื่อเทียบความเร็วในการบำเพ็ญที่ฝืนกฎสวรรค์ของนางแล้ว ถงเถิงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เศษขยะที่คอยถ่วงนาง ดังนั้นจึงไม่ได้มีความมั่นใจในการบำเพ็ญของตัวเอง
“การบำเพ็ญไม่ใช่เพียงแค่ปิดประตูบำเพ็ญก็สามารถก้าวหน้าขึ้นได้เรื่อยๆ นอกจากต้องยกระดับขั้นบำเพ็ญให้สูงขึ้นแล้ว ยังต้องสนใจยกระดับประสบการณ์ต่อสู้จริงด้วย’’ มู่ชิงเกอเตือน
ถงเถิงชะงัก ผงกศีรษะ “ลูกพี่พูดถูกต้อง อีกสักพัก ข้าจะออกจากแดนเทพไปยังที่ต่างๆ ดู”
พูดจบเขาก็ถามอีก “ลูกพี่ไปไหม” ในแววตาเขามีความคาดหวังให้มู่ชิงเกอพยักหน้า
แต่มู่ชิงเกอจะต้องเริ่มปิดประตูบำเพ็ญทันที จากนั้นก็ต้องรอข่าวมู่เทียนอินจากซือมั่วเพื่อจัดการเรื่อง
ดังนั้น นางจึงสั่นศีรษะบอกถงเถิงว่า “ข้าจะต้องปิดประตูบำเพ็ญแล้ว ออกไปไม่ได้ชั่วคราว เจ้าไม่ต้องรอข้า มีเพื่อนไปด้วยกันก็ไปได้ ไปเองก็สามารถฝึกฝนได้ ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”
พูดจบนางก็หยิบขวดยายื่นให้ถงเถิงแล้วสั่งว่า “นี่เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บ ช่วยรักษาชีวิต จำไว้ว่าหากพบศัตรูที่สู้ไม่ได้ก็อย่าฝืนสู้ ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย”
นางให้ความสำคัญกับถงเถิงเนื่องจากเขามีความซื่อสัตย์ คนเช่นนี้เมื่อต้องใช้สอยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะทรยศ นางมีความรู้สึกว่าถงเถิงจะเป็นกำลังสำคัญของนางในแผ่นดินเทพมารในอนาคต
“รู้แล้ว ลูกพี่” ถงเถิงเองก็ไม่วางท่ารับขวดยาไปทันที
ทั้งสี่คนคุยเล่นกันแล้ว มู่ชิงเกอกับจวงซานก็จากไป
เพียงแต่ ไม่นึกว่าทางกลับไปวังน้อย นางจะได้พบกับคนคุ้นเคย
เห็นคนที่ขวางทางเบื้องหน้า ที่แท้เป็นเซียนสุ่ยที่รอนางอยู่
ทั้งคู่ไม่นับว่าเป็นศัตรู แต่ก็ไม่ได้เป็นเพื่อน
“ได้ยินว่าครั้งนี้เจ้าทำผลงานดีเยี่ยม ได้สร้างสถิติใหม่” ขณะที่นางครุ่นคิดเซียนสุ่ยก็เปิดปากก่อน
มู่ชิงเกอชะงัก ไม่รู้ว่าเขาได้ข่าวมาจากไหน แต่ก็ยังพยักหน้า
เรื่องเหล่านี้ ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“ดูแล้ว ครั้งนี้เมื่อเจ้าปิดประตูบำเพ็ญออกมา ระยะห่างระหว่างเจ้ากับข้าก็คงห่างไกลขึ้นไปอีก” เซียนสุ่ยพูดขึ้นกะทันหัน
มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูด ไม่รู้ว่าเซียนสุ่ยหมายถึงอะไร
เซียนสุ่ยยิ้ม ลักยิ้มที่แก้มปรากฎออกมา “ข้าอยากจะ ติดตามเจ้า”
“ติดตามข้า?” มู่ชิงเกอแปลกใจ
ต่อให้นางฉลาดราวสุนัขจิ้งจอกก็นึกไม่ถึงว่าที่เซียนสุ่ยมาขวางนางไว้ที่นี่ก็เพื่อพูดคำนี้
เซียนสุ่ยผงกศีรษะพูดอย่างจริงจังว่า “ติดตามเจ้าก็เพื่อเอาชนะเจ้า อยู่ข้างกายเจ้าเพื่อสะดวกในการท้าสู้กับเจ้าได้ตลอดเวลา รอจนวันหนึ่ง เมื่อข้าเอาชนะเจ้าได้ข้าก็จะจากไป สิ้นสุดฐานะผู้ติดตามโดยสมบูรณ์ แต่เจ้าวางใจได้ว่า ในเมื่อเป็นผู้ติดตาม ข้าย่อมต้องมีจิตสำนึก ของผู้ติดตาม ขณะที่ข้ายังไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้ ยังไม่ได้สู้ชนะเจ้าจริงๆ ข้าจะทำทุกอย่างที่เจ้าสั่ง ชีวิตข้าก็เป็นของเจ้าด้วย”
“…” มู่ชิงเกอพูดไม่ออก
นางกับเซียนสุ่ยเคยพบกันทั้งหมดเพียงสามครั้ง สองครั้งแรกต่างเพื่อต่อสู้แย่งชิงเขาวังน้อยที่สาม
แต่ครั้งนี้ เขากลับหาหนทางใหม่ ต้องการติดตามนางแทน
ส่วนเหตุผลของการติดตามนาง ก็พูดตามตรงว่าเพื่อสะดวกต่อตัวเอง จะได้สามารถท้าต่อสู้ได้ทุกเวลา
มู่ชิงเกอออกจะปวดศีรษะ ความคิดของเซียนสุ่ยนั้นนางเข้าใจ แต่นางไม่มีเวลาว่างที่จะไปวุ่นวายกับเรื่องแพ้ชนะเช่นนี้ เพียงแต่…
ประกายตามู่ชิงเกอแวบออกมา คำนวณในใจ ‘ความสามารถเซียนสุ่ยทุกคนเองก็ได้เห็นแล้ว ทั้งพรสวรรค์ก็ดีเยี่ยม หากได้เขาเป็นลูกน้องก็เป็นกำลังเสริมที่ดีจริงๆ อนาคตข้ายังต้องนำตระกูลมู่ผงาดขึ้น ศัตรูเบื้องหน้าแข็งแกร่งปานใด ดังนั้นข้าจำเป็นต้องบ่มเพาะขุมกำลังของตัวเอง รวบรวมผูที่มีความสามารถ’
ชั่งน้ำหนักในใจแล้ว มู่ชิงเกอก็มองไปที่เซียนสุ่ยแล้วพยักหน้าช้าๆ ว่า “ได้ ข้าตกลง”
พอนางพูดจบ แสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งมาทางนาง
มู่ชิงเกอยกมือรับไว้ ความรู้สึกในมือนั้นมีความนุ่มหยุ่นคล้ายนํ้าไหล นางแบมือออกพบว่าที่เซียนสุ่ยโยนมาเป็นแผ่นหยกรูปไข่ ขอบกลวง มีความละเอียดสวยงามอย่างยิ่ง
“นี่เป็นป้ายถ่ายทอดเสียง หากมีเรื่องต้องการให้ข้าทำก็สามารถใช้ป้ายนี้สั่งได้” เซียนสุ่ยบอก
ดวงตามู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้น นี่คล้ายป้ายหยกที่นางให้องครักษ์เขี้ยวมังกรใช้ ขณะที่เข้าไปในโลกแห่งยุคกลาง
มีการใช้งานที่คล้ายกัน เพียงแต่ป้ายหยกในมือนางเวลานี้ราวกับทันสมัยขึ้น สามารถส่งผ่านคำพูดได้โดยตรง
เก็บป้ายหยกแล้วมู่ชิงเกอก็ผงกศีรษะ
เมื่อได้ตามเป้าประสงค์แล้ว เซียนสุ่ยก็ไม่รอช้าหันตัวจากไป
ยินยอมติดตามมู่ชิงเกอก็เพื่อสะดวกในการท้าสู้ นี่เป็นหนึ่งในเป้าประสงค์ แต่ยังมีอีกจุดหนึ่งที่เซียนสุ่ยไม่ได้พูดถึงนั่นก็คือ ใจเขาเองมีความรู้สึกว่าการได้อยู่ใกล้มู่ชิงเกอจะทำให้การบำเพ็ญของเขายกระดับได้รวดเร็วขึ้น มีความเข้าใจลึกซึ้งขึ้น
บอกลาเซียนสุ่ยแล้ว มู่ชิงเกอก็กลับมายังเขาวังน้อยของตัวเอง
นางเปิดใช้ค่ายกลปิดผนึกเขา ทั้งเปิดใช้ค่ายกลรวมจิตวิญญาณและเริ่มปิดประตูบำเพ็ญ
ในแสงแห่งวิถี นางกลายเป็นสรรพสิ่ง รับรู้ถึงสรรพสิ่ง ได้รับผลประโยชน์อย่างมาก นางจำเป็นต้องปิดประตูบำเพ็ญจริงๆ เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่ได้มาจากแสงแห่งวิถี
มู่ชิงเกอมาถึงห้องบำเพ็ญ นั่งขัดสมาธิในค่ายกลรวมจิตวิญญาณ รับรู้ถึงพลังเทพที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ นางทำตามคาถาที่ผู้เฒ่าลึกลับสอนไว้ ขับเคลื่อนพลังเทพในกายกดให้แน่นลงไม่หยุดหย่อน สะสมบำเพ็ญ ส่วนจิตเทพของนางก็ไม่ได้ปล่อยว่าง ใส่เข้าไปในสิ่งที่รับรู้ใน แสงแห่งวิถีนั้น
ร่างกายนางบำเพ็ญต่อเนื่องไม่หยุด ปัญญาเทวะของนางรับรู้ต้นกำเนิดแห่งวิถีอย่างต่อเนื่อง เวลาแต่ละวันผันผ่านไป
ระหว่างนี้ ถงเถิงทำตามที่นางว่า ออกจากแดนฮ่วนเยวี่ยและเริ่มต้นการฝึกฝนหาประสบการณ์
ผ่านไปครึ่งปี เขาวังน้อยต่างๆ ทยอยกันยกเลิกค่ายกลปิดเขาลง เมื่อปรากฎตัวอีกครั้ง บารมีบนร่างของแต่ละคนต่างแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
คงเหลือเพียงเขาวังน้อยของมู่ชิงเกอที่ยังคงสงบเงียบ
ในวันนี้ เขาวังน้อยที่สามเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แรงเสียจนเขาทั้งลูกสั่นไหวไม่หยุด อาการเช่นนี้ ทำให้ผู้ครอบครองเขาวังน้อยอีกเก้าแห่งต่างตกอกตกใจ ในส่วนลึกของวังน้อย มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ปากพ่นอากาศเสียออกมา ที่ข้างหูได้ยินเสียงของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยดังแว่วมา…