Skip to content

พลิกปฐพี 640

ตอนที่ 640

งานเลี้ยงวันเกิดเริ่มแล้ว เข้าวัง

“ดื่มไหม” มู่ชิงเกอยื่นมือส่งถุงสุราในมือให้ชูเนี่ยนโดยไม่รู้ตัว

พอยื่นมือออกไปแล้ว นางจึงรู้ตัวว่าการทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม แต่จะชักมือกลับก็ช้าเกินไปแล้วจึง ทำได้เพียงรอชูเนี่ยนปฏิเสธ

แต่ขณะที่นางคิดว่าชูเนี่ยนจะปฏิเสธนั้น ชูเนี่ยนกลับได้สติคืนมา ยื่นมือไปรับถุงสุราที่นางยื่นให้โดยไม่รังเกียจว่านางดื่มแล้วพร้อมยกถุงสุราขึ้นมาเทใส่ปากที่อ้าออกเล็กน้อยจนเต็มปาก

เมื่อกลืนสุราลงไปแล้ว ความร้อนแรงของสุราทำให้นางรู้สึกแสบร้อนจนคิ้วขมวด ผิวขาวใสไร้ราคีนั้นผุดสีแดงเรื่อขึ้นมาทันที

“สุราช่างหอมและรสแรงนัก” ชูเนี่ยนยื่นสุราคืนให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอชะงักแล้วรับไป

จากนั้นก็เห็นชูเนี่ยนพลิกฝ่ามือ ในมือมีกาสุราที่ทำอย่างประณีตสวยงาม นางยกมือชูกาสุราไปทางมู่ชิงเกอแล้วยิ้มว่า “ข้าดื่มสุราผลไม้ของข้าดีกว่า”

มู่ชิงเกอหัวเราะ คุยเล่นว่า “ที่แท้องค์หญิงชูเนี่ยนก็เป็นนักดื่มด้วย”

ชูเนี่ยนว่า “สุราเป็นสิ่งปรุงขึ้นอย่างเยี่ยมยอด เป็นของรางวัลจากฟากฟ้า ข้าย่อมต้องชอบ เพียงแต่ ข้าดื่มสุราแรงขนาดแผดเผาตับไตใส้ล้พุงของเจ้าไม่ไหว ข้าชอบสุราผลไม้ที่ดื่มแล้วอบอุ่นมึนเมาบ้างเล็กน้อย เหมาะสมกับข้ามากกว่า”

“ยากที่จะมีเพื่อนร่วมดื่ม วันนี้ภายใต้ทิวทัศน์งดงาม พวกเราก็มาดื่มกันให้เต็มที่เถิด” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วโบกมือ ระหว่างนางกับชูเนี่ยนปรากฎไหสุราแถวหนึ่ง

เมื่อเห็นไหสุราเหล่านี้ ดวงตาชูเนี่ยนก็เป็นประกาย นางเองก็โบกมือ ปรากฎกระปุกสุราขนาดเล็กขึ้นที่ข้างไหสุราของมู่ชิงเกออีกแถวหนึ่ง

นางยิ้มว่า “สุรารสแรงของเจ้าข้าดื่มไม่ไหว ขอใช้สุราผลไม้เป็นเพื่อนดื่มกับเจ้าแล้วกัน”

“ได้ทั้งนั้น” มู่ชิงเกอพยักหน้า ไม่ได้ฝืน เพราะสุราของนางนั้นรสชาติแรงจริง คน

ธรรมดารับไม่ไหว

เพียงแต่นางชินกับรสเผ็ดร้อนเช่นนี้ นางชอบความรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน เลือดทั้งร่างแผดเผาหลังจากดื่มมัน

การที่องค์หญิงชูเนี่ยนเองก็เป็นนักดื่มด้วย เป็นเรื่องเหนือคาดอย่างยิ่ง

อาจเพราะมีความชอบเหมือนกัน ทั้งคู่จึงดื่มสุราและพูดคุยกันไปเรื่อยเพิ่มความสนิทสนมกันมากขึ้น โดยเฉพาะชูเนี่ยน ความประทับใจที่มีต่อมู่ชิงเกอเมื่อเทียบกับที่เจอกันครั้งแรกแล้วเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมมากนัก

ช่วงเวลาห้าพันปีนี้ของนางได้พบเจอคนหนุ่มที่เก่งกาจ งามพร้อม ชาติตระกูลสูงส่งมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนหยิ่งยโสจากการที่ถูกคนนับหมื่นยกย่องเชิดชู แต่มู่ชิงเกอกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่หยิ่งยโส แต่เป็นความหยิ่งยโสที่แตกต่างออกไป

ความหยิ่งยโสของมู่ชิงเกอไม่ใช่แบบที่เห็นว่าตัวเองสูงส่งกว่าผู้ใด ไม่ใช่พวกถือตัวอวดดี

แต่เป็นความหยิ่งผยองที่มีมาแต่กำเนิด แสดงออกลึกซึ้งถึงกระดูก ความหยิ่งผยองที่ไม่ยอมสยบแม้กระทั่งฟ้าดิน สิ่งที่เขาไม่ยอม สิ่งที่เขาแย่งชิง อยู่เหนือไปกว่าสิ่งที่พวกตนแย่งชิงมานานแล้ว

ใช่แล้ว นางมีความรู้สึกต่อมู่ชิงเกอเช่นนี้จริงๆ

ชูเนี่ยนดื่มสุราผลไม้ไปพลางคิดในใจไปพลางว่า ทำไมนางจึงรู้สึกว่ามู่ชิงเกอต่างกับคนทั่วไป อาจเป็นเพราะบนตัวเขาดูมีความอิสรเสรีอย่างที่คนจำนวนมากคิดหวัง แต่ไม่อาจมีก็เป็นได้

ทั้งคู่นั่งอย่างสบายอารมณ์ในพงหญ้าสูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกระปุกสุราข้างกายหมดเกลี้ยง ตะวันชิงพลบ เมืองอู๋หวาก็มาถึงแล้ว

อาบอยู่ใต้แสงอาทิตย์อัสดง สองตาที่ค่อนข้างมึนเมาของมู่ชิงเกอค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น มองดูภาพที่อยู่เบื้องหน้า

นางเข้าใจแล้วว่าทำไมชูเนี่ยนจึงบอกว่าทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของวังอู๋หวาก็คือตะวันชิงพลบ

นางลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อยมองดูทิวทัศน์แสนงามเบื้องหน้า

ชูเนี่ยนเองก็วางกาสุราลงแล้วลุกขึ้นมายืนคู่กับนาง

“สวยไหม” นางถาม

มู่ชิงเกอพยักหน้าพูดอย่างจริงใจว่า “สวย”

ตะวันชิงพลบของดินแดนอู๋หวา ถึงขนาดมีแสงแวววับ รุ้งเจ็ดสีเป็นสายๆ พาดผ่านหอสูงศาลาลอยต่างๆ ราวกับภาพแห่งความฝัน

กระทั่งในเวลาที่กลางวันกลางคืนกำลังบรรจบกันนี้ ดวงดาวบนท้องฟ้าถึงขนาดส่องสว่างขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

มู่ชิงเกอแหงนหน้า สายตาของนางเลื่อนจากวังอู๋หวาขึ้นไปบนท้องฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับราวกับเพชรในเวลากลางวัน

และเป็นครั้งแรกที่เห็นชัดเจนถึงการกระจายตัวของดวงดาว

ราวกับว่า เพียงนางยื่นมือก็จะสามารถเอื้อมคว้าไว้ได้

ตะวันชิงพลบของดินแดนอู๋หวายาวนานต่อเนื่องถึงสองชั่วยาม

จนกระทั่งแสงสว่างจากตะวันหายไปจนหมดสิ้น มู่ชิงเกอกับชูเนี่ยนจึงเดินทางกลับ ชูเนี่ยนส่งมู่ชิงเกอจนถึงนอกตำหนักข้างที่นางพักอยู่

มู่ชิงเกอบอกนางว่า “วันนี้ เจ้าดื่มสุราไปไม่น้อย พรุ่งนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงวันเกิด ราชาเทวะอู๋หวา เจ้าคงจะยุ่งมาก รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“ได้ เจ้าก็รีบพักผ่อนด้วย พรุ่งนี้ข้าจะมาพาเจ้าไปยังวังราชาเทวะ” ระหว่างที่ชูเนี่ยนกำลังพูดอยู่ ตำหนักข้างหลังของพวกนางมีคนคนหนึ่งเดินมา

ผมเงินนัยน์ตาสีเลือดนั้นจดจำได้ง่ายมาก

ชูเนี่ยนมองหยินเฉิน ผงกศีรษะนิดๆ แล้วหันกายจากไป

จนนางจากไปไกลแล้ว มู่ชิงเกอจึงขับเคลื่อนพลังเทพ ขับสุราออกจากร่างกายจนหมดสิ้น

นางมองไปยังหยินเฉินแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”

หยินเฉินผงกศีรษะนิดๆ บอกนางว่า “พวกเราเข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะและกลับเข้าไปในตำหนักข้างพร้อมหยินเฉิน

“ข้าใช้อาคมลวงตาสร้างภาพลวงตาในตำหนักข้าง ให้สองผู้รับใช้ในตำหนักนี้นึกว่าข้าอยู่ภายในตลอดเวลา ไม่ได้ออกไปไหน ส่วนเมื่อครู่นี้ องค์หญิงชูเนี่ยนเห็นข้าเดินออกมาจากตำหนัก คิดว่าต่อไปแม้จะมีเรื่องก็คงไม่สงสัยมาถึงพวกเรา” หยินเฉินบอกมู่ชิงเกอ

“อืม” มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ ดวงตากลับคืนประกายกระจ่างใสอีกครั้ง

ทั้งคู่เข้าไปในห้องของตำหนัก มู่ชิงเกอลงอาคมป้องกันการแอบฟัง หยินเฉินเองก็เพิ่มอาคมลวงตา คนที่เดินผ่านไปมาจะเห็นมู่ชิงเกอนั่งสมาธิอยู่ในห้อง แต่ไม่

สามารถเห็นตัวเขาได้

หยินเฉินนำภาพภาพหนึ่งออกมาคลี่ออกตรงหน้ามู่ชิงเกอ

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าตรวจสอบมาได้จากวังราชาเทวะ” หยินเฉินบอก

สายตามู่ชิงเกอมองที่แผนที่ บนนั้นมีลายเส้นส่วนต่างๆ ของวังราชาเทวะ ทั้งเวลาที่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม

“วังราชาเทวะกว้างใหญ่มาก แต่ด้านหน้าไม่มีอะไรน่าสงสัย ข้าอ้อมไปด้านหลัง เข้าไปยังส่วนลึกก็ได้พบเขาวงกตนั่น”

พูดจบ เขาก็หลับตาลง ใช้นิ้วแตะที่หว่างคิ้ว ความจำในสมองผุดเป็นภาพออกมาตรงหน้ามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเพ่งดูอย่างสนใจเต็มที่ ผ่านความจำของหยินเฉินนางมองเห็นเขาวงกตในวังราชาเทวะแล้ว

“เขาวงกตนี้เต็มไปด้วยอาคม มีหลุมพรางทุกแห่ง” มู่ชิงเกอพูด

หยินเฉินผงกศีรษะ เก็บความจำกลับคืน ความจำของเขาปล่อยออกมาด้านนอกนานนักไม่ได้ มู่ชิงเกอเพียงเห็นก็จำได้หมดแล้ว เขาย่อมต้องเก็บกลับคืน

“ข้าไม่สามารถเข้าไปในเขาวงกตได้ ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงอันตรายของศาลาอีเยี่ย แต่จากการเฝ้าสังเกตอยู่นาน พบว่าภายในเขาวงกตนอกจากมีอาคมและกับดักหลุม พรางแล้ว ยังมีลูกศิษย์ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นสองขึ้นไปผลัดเวรเฝ้ายาม พวกเขาทุกชุดเพียงเฝ้าในที่ที่กำหนดไว้ ไม่สามารถไปไหนได้ ดังนั้นคนพวกนี้ก็คงไม่รู้ความลับของเขาวงกต พอถึงเวลาเปลี่ยนเวรยามจะมีคนเข้าไปโดยใช้เส้นทางชั่วคราว ว่ากันว่า ยามที่ผลัดเปลี่ยนเหล่านี้ ครึ่งปีจึงเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ชุดนี้มายังไม่ทันครบเดือน หากจะลอบเข้าไปโดยอาศัยเวลาเปลี่ยนเวรยามคงทำไม่ได้” หยินเฉินบอกผลการตรวจค้นของตัวเองให้มู่ชิงเกอได้ฟังโดยละเอียด

การลอบเข้าไปครั้งนี้ ยังหาศาลาอีเยี่ยไม่พบ ทำให้ตัวเขาเองไม่พอใจนัก

แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็ยังทำให้มู่ชิงเกอมีความมั่นใจขึ้นบ้าง

นางหรี่สองตาแล้วพูดเนิบช้าว่า “ข้าไม่ได้ห่วงอาคม ความจริงการที่พวกเขาเฝ้าหนาแน่นเช่นนี้ กลับให้ข้อมูลแก่ข้า”

“อะไรหรือ” หยินเฉินถาม

มู่ชิงเกอยิ้มพูดอย่างนึกสนุกว่า “ศาลาอีเยี่ยจะต้องมีความลับ ไม่เช่นนั้นทำไมต้องสิ้นเปลืองความคิดมากมายไปเฝ้ากัน”

“จะเป็นเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างไหม” หยินเฉินพูดอย่างตื่นเต้น

มู่ชิงเกอกลับสั่นศีรษะอย่างใจเย็น “ใช่หรือไม่ใช่ ต้องไปดูเองจึงจะรู้”

“เช่นนั้น…” หยินเฉินขมวดคิ้วนิดๆ

มู่ชิงเกอหันมองเขา สั่งเขาว่า “พรุ่งนี้เป็นวันจัดงานเลี้ยงวันเกิดราชาเทวะอู๋หวา เวลานั้นผู้คนพลุกพล่าน ราชาเทวะอู๋หวาต้องต้อนรับแขกเหรื่อ เป็นเวลาที่เขาจะ หละหลวมมากที่สุด หลังเที่ยงคืนข้าจะกลับก่อน เวลานั้นเจ้าก็สร้างภาพลวงตาทำให้คนคิดว่าข้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลา จากนั้นข้าจะลอบเข้าไปศาลาอีเยี่ย สืบดูให้แน่ ชัด”

“แล้วด้านราชาเทวะอู๋หวาเล่า” หยินเฉินถาม

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจลึกๆ “หากศาลาอีเยี่ยไม่มีเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง การที่จะตรวจสอบว่าอยู่กับตัวราชาเทวะอู๋หวาหรือไม่นั้นข้าคิดวิธีได้แล้ว ไม่ต้องกังวล”

“ดี” พอเห็นมู่ชิงเกอเตรียมการไว้ครบถ้วนแล้ว หยินเฉินก็ไม่ได้ถามมากอีก

ค่ำคืนอันเงียบสงบผ่านไป รุ่งขึ้นของวันถัดมา คนที่จะมาร่วมงานวันเกิดราชาเทวะอู๋หวาต่างทยอยกันขึ้นมาบนเขา

มู่เทียนอินนำมู่หลินกับมู่ซานปะปนมาในกลุ่มคน เดินทางกันอย่างเงียบเชียบ

ที่เหลือสองคนคอยหลบในที่ลับตาคนเพื่อระวังหลัง พอนึกว่าหลังเข้าวังอู๋หวาแล้วก็จะมีโอกาสได้พบองค์หญิงชูเนี่ยนอีก อารมณ์ของมู่เทียนอินก็ดีขึ้นอย่างมาก ในบางขณะเขาแทบลืมวัตถุประสงค์ของการดิ้นรนเข้ามายังวังอู๋หวาครั้งนี้ไปด้วยซํ้า

พอถึงทางเข้าประตูวังอู๋หวา ทุกคนต่างเข้าแถวยาวเหยียด เริ่มนำเทียบเชิญออกมาตรวจสอบกับป้ายแสดงฐานะ

มู่หลินกับมู่ซานยืนอยู่ข้างหลังมู่เทียนอินเพื่อคอยเฝ้าระวัง

แถวยาวอยู่มาก เห็นได้ว่างานวันเกิดราชาเทวะครั้งนี้จัดอย่างใหญ่โต

ในที่สุดก็ถึงตาพวกมู่เทียนอินสามคน พวกเขาเอาเทียบเชิญที่เตรียมไว้แล้วกับป้ายแสดงฐานะที่ได้มาออกมา หลังการตรวจสอบจากทหารยามวังอู๋หวาแล้วก็ผ่านไปอย่างปลอดภัย เข้ามายืนอยู่ในวังอู๋หวาได้สำเร็จ

“ทุกท่าน เวลานี้ข้าจะนำพวกท่านเข้าไปยังวังราชาเทวะ แต่มีจุดหนึ่งที่จะต้องเตือนทุกท่าน วังราชาเทวะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งอย่างยิ่ง หลังเข้าไปในวังราชาเทวะแล้ว ขอให้ทุกท่านสำรวมกิริยา อย่าได้เที่ยวบุกรุก หรือทำผิดข้อห้าม” ลู่เยี่ยยืนบนที่สูงบอกทุกคนด้วยนํ้าเสียงจริงจัง

นํ้าเสียงเขาไม่ได้เย็นชา แต่ให้ความรู้สึกทรงอำนาจ

นี่ทำให้มู่เทียนอินที่อยู่ในกลุ่มคนไม่พอใจอย่างยิ่งและรังเกียจการที่จะต้องเข้าแถวอย่างตํ่าด้อย เช่นเดียวกับคนอื่นจึงจะสามารถเข้าไปได้

เขามีสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพ สมควรเป็นผู้สูงศักดิ์ในกลุ่มคนสูงศักดิ์ เวลานี้กลับตํ่าต้อยเช่นนี้

สองตาของมู่เทียนอินเริ่ม เย็นเฉียบขึ้นมา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version