ตอนที่ 663
เก้าชั้นฟ้า
สายตามู่ชิงเกอมองไปที่เขาแล้วยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
“โธ่เอ๋ย ราชาเทวะน้อยอย่าได้เกรงใจ” ลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงคนนั้นพอได้ยินมู่ชิงเกอยินยอมก็ดีอกดีใจทันที เขารีบหันไปสั่งงานแล้วเดินเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอ พูด ประจบประแจงอย่างผู้รับใช้ว่า “เชิญราชาเทวะน้อย”
มู่ชิงเกอแอบยิ้มเชิดคางขึ้นบอกเขาว่า “นำทางด้วย”
“ขอรับ” ลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงยืดตัวตรงทันที นำทางให้คนทั้งสามด้วยอาการยินดีปรีดา ลักษณะนั้นก็เหมือนสุนัขที่แกว่งหาง แลบลิ้น พยายามทำท่าเอาใจ เจ้านาย
เขาเดินอยู่ข้างหน้าอย่างยินดีปรีดาและหันมายิ้มให้มู่ชิงเกอ หน้าตาเขาถือว่าปกติธรรมดา ไม่น่าเกลียดไม่น่าดู
แต่พอยิ้มเช่นนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยับย่นดูน่าเกลียดขึ้นอีกหลายส่วน ยิ่งรอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มชนิดแสร้งทำเพื่อเอาใจก็ชวนให้คนเห็นแล้วคลื่นไส้หนัก หนา
เพียงแต่ เขาไม่รู้ว่าใบหน้าตัวเองน่ารังเกียจแค่ไหน ยังคงปั้นหน้าเอาอกเอาใจบอกมู่ชิงเกอว่า “ราชาเทวะน้อย ข้าชื่ออินผิง มีอะไรเชิญสั่งได้เลย”
พูดจบ เขาก็หันหน้ากลับไปนำทางที่ด้านหน้าต่อไป
ขณะที่ผ่านพวกด่านเหล่านั้น พอมีคนจะมาขัดขวางเขาก็ยืดคอร้องเสียงดังว่า “หลบไปหลบไปทั้งหมด ราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยจะไปหาประสบการณ์ที่เก้าชั้น
ฟ้า อย่าได้ขวางทาง”
พอได้ยินคำพูดเขา ทั้งดูอากัปกิริยามู่ชิงเกอทั้งสามคนพวกที่จะขวางทางต่างก็ลังเลไปเล็กน้อยแล้ว ถอยออกไปด้านข้างแสดงท่าทีเคารพต่อมู่ชิงเกอ
พอมีอินผิงคนนี้นำทางการเดินทางของพวกเขาก็เป็นไปอย่างสะดวกสบายเป็นพิเศษ
แน่นอน ระหว่างทางก็ทำให้มู่ชิงเกอเห็นดินแดนเทพของแผ่นดินเทพตะวันตกว่ามีการควบคุมเก้าชั้นฟ้าเข้มงวดแค่ไหน
ในสี่ทิศมีการแบ่งให้สี่ดินแดนเทพส่งคนมาเฝ้าระวัง ด้านที่พวกเขาไปเป็นบริเวณที่ดินแดนจื่อกวงรับผิดชอบ เรื่องของตระกูลมู่ครั้งนั้นพูดได้ว่าดินแดนเทพทั้งสี่ของแผ่นดินเทพตะวันตกล้วนได้เข้าร่วมด้วย
“ชิงเกอ เหตุใดพวกเขาจึงเคารพเจ้ามากเช่นนี้ เจ้าเป็นราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ย ไม่ได้เป็นราชาเทวะน้อยดินแดนจื่อกวงเสียหน่อย” หยินเฉินกระซิบถาม
ในฐานะที่เป็นเผ่าอสูรถึงแม้จะเป็นเผ่าสุนัขจิ้งจอกที่มองความเจ้าเล่ห์เพทุบายของมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เขาก็ยังเข้าใจความคิดของคนบางกลุ่ม
ได้ยากอยู่ดี
มู่ชิงเกอยิ้มไม่พูด
ราชครูช่วยคลายข้อสงสัยให้เขาว่า “เพราะในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ราชาเทวะน้อยก็คือคนรุ่นเยาว์ที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะเข้าไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ สามารถเป็นราชาเทวะได้ไม่ว่าราชาเทวะน้อยของดินแดนเทพไหน ฐานะในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรย่อมสูงส่งกว่าคนทั่วไป เป็นที่เคารพยกย่อง ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นดินแดนเทพนี้หรือไม่ แต่เกี่ยวกับฐานะ วันหลังเมื่อราชาเทวะน้อยทะลวงขอบเขตขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ได้รับตำแหน่งเป็นราชาเทวะก็เป็นเจ้าแห่งดินแดนหนึ่ง เป็นเทพเหนือเทพ การที่พวกเขาเอาใจก่อนในเวลานี้ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งโอกาส
วาสนาจะมาถึง”
หยินเฉินฟังจบก็ยิ้มเย้ยว่า “ก็แค่ยกยอเพราะผลประโยชน์จะมีสักกี่คนกันที่มีความจริงใจ”
“พูดได้ถูกต้อง” มู่ชิงเกอมองเขา พยักหน้ายิ้ม “แผ่นดินใต้ฟ้าล้วนมาเพื่อผลประโยชน์ แผ่นดินใต้ฟ้าล้วนไปเพื่อผลประโยชน์ คำว่าผลประโยชน์บางครั้ง ถูกวางอยู่ก่อนความจริงใจ ข้าจริงใจต่อคนอื่น แต่คนอื่นไม่จริงใจต่อข้า หลายครั้งที่รู้สึกเหลือทนจนปัญญา แต่พอชินแล้ว มองให้ทะลุ ไม่ใส่ใจก็รู้สึกดีแล้ว”
หยินเฉินมองนางอย่างจริงจังพูดว่า “เจ้ายังมีพวกข้า”
มู่ชิงเกออึ้งไปแล้วยิ้มออกมา นางพยักหน้าว่า “ถูกต้อง ข้ายังมีพวกเจ้า คนบนโลกมากหลายมีไม่กี่คนที่จริงใจต่อข้าก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว”
มู่ชิงเกอหัวเราะชอบใจอยู่ข้างหลัง หยินเฉินเห็นนางดีใจก็ย่อมยินดีด้วย
อินผิงเดินอยู่หน้าสุด เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างหลังก็อดไม่ได้มองกลับไปด้วยความสงสัย และเห็นมู่ชิงเกอหัวเราะชอบใจ
นี่ทำให้เขาสงสัยหนักขึ้น แต่ก็ไม่กล้าถาม ทำได้เพียงยิ้มผสมโรงโดยไม่สนใจว่ามู่ชิงเกอจะเห็นหรือไม่
“ราชาเทวะน้อย ข้างหน้าเป็นเก้าชั้นฟ้าแล้ว” อินผิงค้อมตัว ยิ้มอย่างประจบประแจงบอกมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเดินผ่านตัวเขาไป เงยหน้าเล็กน้อยมองไปยังเศษหินที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า…
เหล่านั้นเคยเป็นแผ่นดิน ปัจจุบันแตกสลายเป็นชิ้นๆ นับไม่ล้วนล่องลอยอยู่ระหว่างฟ้าดิน
สายตามู่ชิงเกอมองจากพื้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดสายตาก็ยังไม่สามารถมองก้อนหินที่แตกสลายได้จนหมด
“ราชาเทวะน้อย เก้าชั้นฟ้าแตกสลายไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้นแล้ว เวลาท่านขึ้นไปต้องระวังใต้เท้าไว้ หินที่ล่องลอยอยู่นี้สามารถเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา บางครั้งก็อาจจะกระแทกกันเอง” อินผิงเตือนไว้
มู่ชิงเกอพยักหน้าช้าๆ เก็บสายตา ควักหยกเทพก้อนหนึ่งโยนใส่มืออินผิง “ขอบใจมาก เจ้ากลับไปได้”
อินผิงยิ้มสดชื่นรับหยกเทพไว้ที่เขาใส่ใจไม่ใช่หยกเทพก้อนนี้ แต่คือการที่มู่ชิงเกอสามารถจดจำเขาได้ต่างหากเล่า “ขอรับ ราชาเทวะน้อย ข้าไปก่อนแล้ว”
พูดจบ เขาก็ไม่โอ้เอ้เดินห่างออกไปจากเก้าชั้นฟ้าอย่างเร็ว
หลังจากเขาไปแล้ว ราชครูจึงค่อยๆ เดินมาที่ข้างกายมู่ชิงเกอ เขาเงยหน้าดวงตาผุดอารมณ์ยากจะบรรยายออกมา
“ที่นั่น เคยเป็นสนามฝึกซ้อมของเหล่าลูกศิษย์ตระกูลมู่…ที่นั่นราวกับเป็นห้องปรุงโอสถ…ที่นั่น เป็นเวทีประลองของเหล่าลูกศิษย์…ที่นั่น ข้าจำได้ว่าเคยมี
แอ่งนํ้าใหญ่ ในนั้นเลี้ยงปลามังกรไว้มากมาย… ที่นั่น…” ปากของราชครูพึมพำไม่หยุด เขากำลังรำลึกถึงอดีตเก้าชั้นฟ้าก่อนที่จะแหลกสลาย
คำพูดของเขาทำให้เกิดภาพฉายขึ้นในสมองของมู่ชิงเกอทีละภาพ…ทีละภาพ
เก้าชั้นฟ้าเมื่อหมื่นปีก่อน
ทันใดนั้น เสียงไม้เท้าหล่นลงพื้นก็ดังขึ้นทำให้มู่ชิงเกอกับหยินเฉินต่างหันไปมอง
ราชครูกลับไม่ได้ใส่ใจ แต่งอเข่าคุกเข่าลงบนพื้น ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขานํ้าตานองหน้า “ครั้งนั้น ขณะที่ข้าจากไปยังไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย”
มู่ชิงเกอมองเขาเงียบๆ ไม่ได้เข้าไปรบกวน
นางไม่เคยอยู่ในยุคตระกูลมู่ ย่อมไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ แต่ราชครูนั้นต่างออกไป เขาเคยผ่านเรื่องพวกนั้นมาด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกปวดร้าวในใจ เศร้าสลดยิ่งนัก
“ใครกันแน่ เหตุใดจึงทำลายเก้าชั้นฟ้าถึงเพียงนี้” ราชครูถามเสียงดุดัน
น่าเสียดาย ที่ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้
ทางเข้าที่อินผิงนำพวกเขามาไม่มีคนอยู่มากนัก ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็นอาการผิดปกติ มู่ชิงเกอยืนอยู่เงียบๆ ใต้เท้าเหยียบเศษอิฐกระเบื้องของซาก ปรักหักพัง ในสายตาก็มีแต่ก้อนหินที่แตกสลาย
ในพริบตานั้น นางราวกับรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าและความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินนี้
การเข่นฆ่ากันในครั้งนั้น ทารุณรุนแรงมากมายขนาดไหนกันนะ
นางไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสถึงอย่างชัดเจน แต่วันนี้นางอยู่ที่นี่ นางกลับสัมผัสได้แล้ว
“คนที่ทำลายเก้าชั้นฟ้านั้นคือบรรพชนตระกูลมู่” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากบนท้องฟ้า
มู่ชิงเกอกับหยินเฉินตกใจมองไปทางผู้มาทันที
ส่วนราชครูราวกับยังคงจมอยู่กับความโศกเศร้า จึงไม่ได้สนใจคนที่ปรากฎตัวแม้แต่นิด