ตอนที่ 672
การทดสอบครั้งสุดท้าย
“ท่านทำอะไรไป!” ราชครูแผดเสียงถามผู้เฝ้ามอง
เขารู้จักศิษย์พี่ตัวเองเป็นอย่างดี รู้ดีว่าการที่มนุษย์เทพแห่กันมาที่นี่โดยไม่ได้นัดหมายย่อมไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน
ท่าทีเรียบเฉยของผู้เฝ้ามองราวกับได้ให้คำตอบแก่เขาแล้ว
“ท่านเองที่เป็นคนเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ของนายน้อย” ราชครูร้องเสียงหลง
แต่ผู้เฝ้ามองกลับเปิดปากพูดช้าๆ “นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้าย การเป็นนายน้อยตระกูลมู่ ชนะฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า พลิกผันเหตุการณ์ คลี่คลายภัยร้ายของตัวเองได้ พวกเขาถูกข้าใช้คนไปล่อมาจริง วันนี้ไม่ว่ามู่ชิงเกอจะชนะ หรือมู่เทียนอินชนะ ล้วนต้องพบกับเหตุการณ์เดียวกันนี้”
“ท่านทำอะไรลงไปแน่!” ราชครูเค้นถาม
เขากลัว กลัวว่าด้วยความบ้าคลั่งของศิษย์พี่ตนเองจะเปิดเผยฐานะแท้จริงของมู่ชิงเกอต่อแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรแล้ว
“ข้าเพียงส่งข่าวให้ดินแดนเทพทั้งสี่ในแผ่นดินเทพตะวันตกว่า วันนี้นายน้อยของตระกูลมู่จะปรากฎตัวที่เก้าชั้นฟ้าเท่านั้น” ผู้เฝ้ามองพูดช้าๆ
“ท่านบ้าไปแล้ว!” ราชครูมองเขาอย่างเหลือเชื่อ
ผู้เฝ้ามองกลับส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เคยมีสติแจ่มชัดเท่านี้มาก่อน”
“ไม่ ข้าว่าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ท่านไม่ได้คิดไว้หรือว่ามนุษย์เทพมากันมากมายเช่นนี้หากนายน้อยพลาดพลั้งเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร ท่านสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้หรือ หรือว่าพวกเราจะต้องรอไปอีกหมื่นปี” ราชครูตำหนิอย่างโกรธแค้น
ในสายตาของเขา ศิษย์พี่ตัวเองเวลานี้เป็นคนบ้าที่เกินเยียวยาแล้ว
“หากนายน้อยมีคุณสมบัติไม่ผ่าน รออีกหมื่นปีจะเป็นไรไป” ผู้เฝ้ามองพูดอย่างไม่อินังขังขอบ
“ท่านบ้าแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ” ราชครูส่ายหน้าไม่หยุด
เขาหันหลังเดินไปทางเก้าชั้นฟ้าทันที
เขาจะขึ้นไปยังเก้าชั้นฟ้าเพื่อบอกมู่ชิงเกอถึงสถานการณ์ปัจจุบัน จะต้องถอนตัวก่อนที่มนุษย์เทพหลายพันคนมาถึง นายน้อยเขาไม่ง่ายนักกว่าจะมีฐานะที่สามารถเดินเหินได้อย่างสง่าผ่าเผยในแผ่นดินเทพ จะให้ถูกทำลายลงในวันเดียวได้อย่างไร
เขาจะต้องหยุดยั้งทุกอย่าง ให้มู่ชิงเกอรีบจากไปก่อน
แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ถูกมัดไว้ บนร่างมีเชือกสีทองมัดเขาเอาไว้ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้
“เชือกสกัดเทพ!” ราชครูดิ้นพักหนึ่งแล้วก้มหน้าดู จึงพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ
เชือกสกัดเทพเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นอาคมของตระกูลมู่ที่ใช้ลงโทษคนในตระกูลที่ฝืนกฎและข้อห้ามของตระกูล ทำนองเดียวกัน คนที่เป็นบริวารตระกูลมู่ เชือกสกัดเทพก็มีผลด้วย
ขอเพียงเป็นคนตระกูลมู่ ทาสตระกูลมู่ บริวารตระกูลมู่ เมื่อถูกเชือกสกัดเทพมัดไว้แล้ว ตบะบำเพ็ญก็จะถูกตราผนึกไปด้วย ไม่มีพลังต่อต้านได้อีก
ราชครูมองศิษย์พี่ตัวเองอย่างตกตะลึงตะโกนว่า “ปล่อยข้า!”
ผู้เฝ้ามองส่ายหน้าช้าๆ “ให้เจ้าขัดขวางแผนการของข้าไม่ได้”
“ท่าน!” ราชครูจ้องเขม็งที่เขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
ผู้เฝ้ามองค่อยๆ เดินไปข้างตัวเขา ไม่ได้มองเขา แต่มองก้อนหินลอยเหล่านั้นอดีตของเก้าชั้นฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง เขาบอกราชครูว่า “รออีกชั่วหนึ่งก้านธูป คนเหล่านั้นก็จะมาถึงที่นี่”
ราชครูสีหน้าเคร่งเครียด มองผู้เฝ้ามองด้วยแววตาเคืองแค้น ใช้น้ำเสียงข่มขู่ว่า “หากนายน้อยข้าเป็นอะไรไปข้าจะไม่ยอมปล่อยท่านไว้แน่ ต่อให้ข้าต้องสิ้นชีวิตก็จะขอจบสิ้นไปพร้อมกับท่าน”
ท่าทางที่เคืองแค้นสุดขีดนั้นทำให้ผู้เฝ้ามองเกิดสนใจขึ้นมา
แววตาเขาผุดแววสงสัย ถามว่า “เจ้ากับข้าติดตามบรรพชนตระกูลมู่มาหลายปี มีคนเก่งกาจขนาดไหนที่ไม่เคยพบเห็น มู่ชิงเกอคนนี้มีส่วนทำให้ข้าเกินคาดก็จริง แต่ที่ข้านึกไม่ถึงก็คือเจ้าจะใส่ใจเขาถึงเพียงนี้”
ราชครูแค่นหัวเราะ “เพราะนายน้อยข้ามีค่าคู่ควร ข้าจะบอกท่านให้นะชีวิตที่เหลืออยู่ของข้าจะไม่ยอมรับใครเป็นนายอีก นายของข้า นายน้อยที่ข้ายอมรับ นายในอนาคตของตระกูลมู่คือมู่ชิงเกอ มีเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้น!”
“เพราะอะไร” ผู้เผ้ามองขมวดคิ้วถาม
“ท่านไม่มีวันเข้าใจ เพราะท่านไม่ยอมจะเข้าใจมัน” ราชครูแค่นเสียงออกจมูก
ผู้เฝ้ามองมองเขาอยู่นานจึงถอนสายตาคืน ตั้งกระจกขึ้นมาใหม่ สายตามองไปที่กระจก “ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ ไม่แน่ว่า สักวันหนึ่งข้าอาจจะเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงเชื่อถือเขาเขามากมายเช่นนี้ไม่แน่ว่าข้าอาจไม่มีวันเข้าใจ แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องรอดวันนี้ไปให้ได้ก่อน”
เก้าชั้นฟ้า บนหินลอย
มู่เทียนอินมองแขนกิเลนของตัวเองที่ถูกมู่ชิงเกอใช้ไฟเผาทิ้งด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ความแค้นที่มีต่อเขาไปถึงขั้นที่ไม่สามารถเพิ่มพูนไปได้มากกว่านี้อีก
ความแค้นนั้นกระทั้งทำให้เขาลืมบาดแผลบนตัวไปชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นของเขามองมู่ชิงเกอด้วยความแค้น แต่เวลานี้ความสนใจของมู่ชิงเกอไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเลย แววตานางมีแต่ความยินดี ตอบในใจว่า ‘หยวนหยวน
เป็นเจ้าหรือ’
หยวนหยวนตื่นแล้ว ในที่สุดหยวนหยวนก็ตื่นขึ้นมาแล้ว มู่ชิงเกอถูกห่อหุ้มด้วยกระแสความยินดีที่ยิ่งใหญ่กะทันหัน นางแน่ใจว่าคนที่ใช้ปัญญาเทวะติดต่อกับ นางเมื่อครู่นี้จะต้องเป็นหยวนหยวน
‘ใช่แล้ว ลูกพี่ท่านแม่ ข้าคือหยวนหยวน เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหลับไปนานมากๆ เลย’ เสียงหยวนหยวนออกจะงงงัน
‘อีกทั้งเวลานี้ข้าอยู่ที่ไหน’ หยวนหยวนถามอีก
มู่ชิงเกอได้ยินคำพูดเขาชัดเจนอะไรเช่นนี้ใกล้ชิดอะไรเช่นนี้ แววตานางอดไม่ได้ที่จะนุ่มนวลลง สายตาตกอยู่กับทวนหลิงหลงที่กำแน่นในมือ ภายในนั้น มีช่องว่างจิตวิญญาณอาวุธ หยวนหยวนอยู่ที่นั้นเอง
ในช่องว่างจิตวิญญาณอาวุธ หนุ่มน้อยหน้าตางดงาม จนเกินที่จะบรรยายได้นั่งกึ่งคุกเข่าอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า ที่สำคัญที่สุดคือบนตัวเขาว่างเปล่า ร่างกายที่ขาวผ่อง ลํ่าสันเปิดเผยให้เห็นทั้งหมด ยังดีที่ในนี้ไม่มีใครอยู่ด้วย จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีอะไรไม่สะดวก
‘เจ้าอยู่ในทวนหลิงหลง’ ขณะที่หยวนหยวนกะพริบตาที่สวยงามมองดูร่างล่อน จ้อนของตัวเองอย่างเคอะเขินมู่ชิงเกอก็ส่งเสียงมาอีก
‘ข้าอยู่ในทวนหลิงหลงหรือ’ หยวนหยวนสะดุ้งตกใจ
ใบหน้าที่สวยงามมีอาการตกใจ ชวนให้คนอยากเข้าไปบีบสักที
เสียงตกใจของหยวนหยวนทำให้ใจมู่ชิงเกอเจ็บปวด นางบอกหยวนหยวนว่า ‘หยวนหยวน เวลานี้เจ้าเป็นจิตวิญญาณอาวุธของทวนหลิงหลง รวมเป็นหนึ่งเดียวกับทวนหลิงหลง’
‘ข้าเป็นจิตวิญญาณอาวุธของทวนหลิงหลง!’ เสียงของหยวนหยวนสูงขึ้นอีกแปดส่วนท่าทางเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจยิ่งนัก
ความตื่นตกใจของเขาทำให้มู่ชิงเกอค่อนข้างกังวล กังวลว่าเขาจะยอมรับสภาพใหม่ไม่ได้
แต่หลังจากหยวนหยวนชะงักไปแล้วก็หัวเราะขึ้นมา พูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ‘จิตวิญญาณอาวุธก็จิตวิญญาณอาวุธ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างลูกพี่ จะให้หยวน
หยวนเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้’
หยวนหยวน…
คำพูดหยวนหยวนทำให้มู่ชิงเกอซึ้งใจนัก
สำหรับหยวนหยวน นางมีทั้งความเสียใจความซาบซึ้ง ทั้งยังมีความรู้สึกผูกพันที่ แนบแน่น
‘ลูกพี่ พวกเรากำลังทำอะไรอยู่หรือ’ ขณะที่มู่ชิงเกอผุดความรู้สึกขึ้นมาสารพัด หยวนหยวนก็ถามขึ้นทันที ตามด้วยเกาศีรษะพูดอย่างเขินๆ ว่า ‘เอ่อ ลูกพี่ ช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้ข้าสักชุดได้ไหม’
‘พวกเรากำลังทำอะไรน่ะหรือ’ มู่ชิงเกอแค่นยิ้มมองอย่างเย้ยหยันไปที่มู่เทียนอิน