ตอนที่ 675
เบิกตาสุนัขดูให้ชัดเจน
บนเก้าชั้นฟ้า ก้อนหินลอยนับพันก้อนใหญ่เล็กไม่เท่ากันต่างอยู่ที่นี่ เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า
ที่นี่รกร้างเปล่าเปลี่ยว มีแต่ความวังเวงและกลิ่นอายของความตาย
แต่เวลานี้หลังจากพวกผู้ฝึกซ้อมบำเพ็ญและผู้ผจญภัยหนีไปหมดแล้วกลับมีคนหลายพันคนพร้อมทีท่าเอาเรื่องแต่งกายต่างกันไปกระจายตัวอยู่บนก้อนหินลอยนับพันก้อน พวกเขาต่างมองมายังก้อนหินยักษ์ตรงใจกลาง หินลอยก้อนนั้นเองก็มีคนยืนอยู่หลายร้อยคน
ด้านหน้าพวกเขามีคนใส่ชุดนักรบและเสื้อเกราะเปลวเพลิงสว่างจับตาราวแสงอาทิตย์ผมดำสนิทของเขาตัดกับเสื้อคลุมนักรบอย่างเด่นชัดน่าจับตามองอย่างยิ่ง
ร่างของเขามีความน่าเกรงขามอย่างหนึ่งที่ต่อให้ประจันหน้ากับคนหลายพันคนก็ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนข้อแม้แต่นิด ทำให้คนทั้งตกตะลึง ทั้งสะท้านใจ
มู่ชิงเกอใช้หางตากวาดมองรอบๆ มองดูทีท่าของคนหลายพันคนที่ตั้งหลักต่อสู้โดยไม่มีความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
“ตระกูลมู่เหลือเดน ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนได้” มีคนหนึ่งยกอาวุธในมือขึ้นมาชี้ไปยังมู่ชิงเกอ
พอเขาเปิดปาก คนหลายพันนั้นก็ดูดุดันขึ้นมาทันที
ท่าทางดุร้ายของคนหลายพันนี้น่าตกตะลึงนัก ภาพนั้นดูน่าหวาดหวั่นมาก มู่ชิงเกอยิ้มที่มุมปากอย่างนึกสนุกพูดช้าๆ ว่า “หูเจ้าหนวกหรือข้าพูดไม่ชัดเจน ข้าบอกว่าข้าเป็นคนดินแดนฮ่วนเยวี่ยแผ่นดินเทพตะวันออกอย่างไรเล่า”
นางพูดอย่างยโสโอหัง นํ้าเสียงแฝงด้วยความเหิมเกริม เหนือชั้น ไม่ได้รู้สึกใจฝ่อหรือขลาดกลัวเพราะคนหมู่มากแม้แต่นิด
ถึงแม้ว่าใจนางเวลานี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ตามที
นางข้องใจว่าคนเหล่านี้มาจากไหนกัน เหตุใดพอปรากฎตัวก็บอกว่านางเป็นตระกูลมู่เหลือเดน หรือว่าฐานะตัวเองถูกเปิดโปงไปแล้ว
แววตามู่ชิงเกอเครียดลง
สาเหตุที่นางต้องฆ่ามู่เทียนอินทันทีที่รู้สึกว่ามีคนมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เขาปากโป้งในขณะที่สิ้นหวังใกล้ตาย
แต่ไม่นึกว่า คนเหล่านี้จะมาเพราะเรื่องตระกูลมู่เหลือเดนจริงๆ
เป็นใครกัน
ใครเปิดเผยข่าวเรื่องทายาทตระกูลมู่มาที่นี่ออกไป
เปลือกนอกมู่ชิงเกอยังคงเยือกเย็นยโสโอหังเหมือนเดิม แต่สมองกลับใคร่ครวญสารพัดอย่างรวดเร็ว ‘ฝั่งข้านั้นมีเพียงราชครูกับหยินเฉินที่รู้เรื่องนี้พวกเขาไม่เปิดโปงข้าแน่นอน เช่นนั้นก็เหลือเพียงฝั่งมู่เทียนอินเท่านั้นแล้ว’
ทันใดนั้น สมองมีแสงแวบขึ้น เงาร่างคนคนหนึ่งผุดออกมา ‘หรือว่าเป็นเขา’
แต่มู่ชิงเกอก็ยังไม่เข้าใจ เขาจะทำเช่นนี้ทำไม
แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร นางจะต้องจัดการคนเหล่านี้ไปก่อน แก้ต่างข้อสงสัยของตัวเองแล้วค่อยสืบสาวเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อไป
แววตามู่ชิงเกอเปลี่ยนแปลงไปมาหลายครั้ง ความคิดเหล่านี้ของนางใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
ในสายตาคนอื่นแล้ว นางเพียงพูดอย่างยโสโอหังไปคำหนึ่งเท่านั้น
“เหิมเกริม! ถึงขนาดกล้าพูดกับพวกเราสี่ดินแดนเทพแผ่นดินเทพตะวันตกเช่นนี้” กลุ่มคนที่อยู่ใกล้มู่ชิงเกอมากที่สุด มีอีกคนหนึ่งกระโดดออกมา
สายตามู่ชิงเกอสาดประกายเย้ยหยันพูดเยาะเย้ยว่า “หรือว่า ต่อหน้าคนสี่ดินแดนเทพแผ่นดินเทพตะวันตก ข้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยแผ่นดินเทพตะวันออกจะต้องก้มศีรษะให้หรือ”
“กับอีแค่ลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยคนหนึ่งก็กล้าเหิมเกริมในแผ่นดินเทพตะวันตกของเรา ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อให้เจ้าตายที่นี่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยของพวกเจ้า ก็ไม่มีทางเอ่ยปากว่าแม้สักครึ่งคำแน่” มีอีกคนกระโดดออกมาชี้ปลายจมูกมู่ชิงเกอพูดด้วยอาการหยิ่งผยอง
มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ มุมปากยิ้มอย่างสนุก “กับอีแค่? ตายที่นี่?”
“ไม่ต้องไปเสียเวลาต่อล้อต่อเถียง ข้าว่าเขาเป็นตระกูลมู่เหลือเดนแน่นอน มาทำเป็นพูดเรื่องดินแดนฮ่วนเยวี่ยเพราะจะแกล้งทำให้พวกเราสับสน” มีคนโวยวายขึ้นมา
“ถูกต้อง! เป็นตระกูลมู่เหลือเดนแน่นอน”
“ตระกูลมู่เหลือเดนพวกนี้แต่ละคนเจ้าเล่ห์มากนัก หลบหนีเก่งเป็นที่สุด พวกเราอย่าถูกเขาหลอกเอาได้”
“ใช่! ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่ จับตัวไว้ก่อนค่อยว่ากัน”
“จับตัวไว้ จับตัวไว้!”
รอบบริเวณมีแต่เสียงโวยวายดังเข้ามา พวกเขาราวกับเชื่อมั่นแล้วว่ามู่ชิงเกอก็คือเป้าหมายของพวกเขา แต่ละคนล้วนกัดไม่ปล่อย
มู่ชิงเกอยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมพวกเขาด้วยท่าทีเยือกเย็นปกติ ไม่ตื่นเต้นแม้แต่นิด ไม่มีแม้กระทั่งร้อนรน นางยังคงยิ้มที่มุมปากอย่างคุลมเครือ รอให้คำวิพากษ์ วิจารณ์ของพวกเขาจบลง
ในกระจกสามารถฉายให้เห็นทีท่าของมู่ชิงเกอได้อย่างชัดเจน
กระทั้งผู้เฝ้ามองยังสามารถเห็นนัยน์ตามู่ชิงเกอนิ่งสงบใสกระจ่าง ทั้งยังมีแววเย้ยหยันผ่านกระจก
“เวลานี้นายน้อยข้าชนะแล้ว มู่เทียนอินก็ตายแล้ว หรือท่านยังอยากทำให้นายน้อยข้าตายอยู่ที่นี่ด้วย” ราชครูพูดอย่างเคืองแค้น
หากเขาไม่ได้ถูกเชือกสกัดเทพมัดไว้ราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดา ขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นนี้ เขาคงพุ่งขึ้นไปตีเจ้าตัวป่วนนี้ให้ตายไปแล้ว
ผู้เฝ้ามองไม่ได้สนใจคำพูดของเขาแม้แต่นิด เพียงดูทุกอย่างในกระจกอย่างตั้งอกตั้งใจ ค่อยๆ พูดขึ้นว่า “คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ธรรมดา ที่ออกหน้าบางคนก็เป็นแค่ลูกศิษย์ตำหนักหน้า ขั้นบำเพ็ญแค่ราวถํ้าวิญญาณขั้นห้าขั้นหกเท่านั้น”
ราชครูโกรธจนแทบกระอักเลือด
จะเทียบแบบนี้ได้อย่างไร
“นายน้อยข้าอยู่ชั้นถํ้าวิญญาณชั้นเจ็ด แต่ที่นี่มีหลายพันคน สองหมัดสู้สี่มือไม่ได้ ต่อให้เป็นชั้นถํ้าวิญญาณชั้นเก้า คนมากมายขนาดนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเอาตัวรอดได้” ราชครูพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เขาตายหรอก ข้าแค่อยากทดสอบดูว่าเขาจะสามารถผ่านไปได้ด้วยตัวเขาเองไหม มีคุณสมบัติมากพอที่เป็นเจ้านายตระกูลมู่ได้จริงๆ หรือ ไม่” ผู้เฝ้ามองพูดขึ้นมา
ราชครูชะงัก ไม่เข้าใจความหมายของเขา
ก็เพิ่งพูดหยกๆ ว่าหากตายไป รออีกสักหมื่นปีจะเป็นไร เหตุใดตอนนี้กลับมาบอกว่าไม่ให้มู่ชิงเกอตาย ราชครูไม่เข้าใจความคิดศิษย์พี่ตัวเองเลยจริงๆ
บนหินลอยนั้น เมื่อมู่ชิงเกอเผชิญหน้ากับแววตามุ่งร้ายของคนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ พอนางหัวเราะ ทุกคนจึงค่อยๆ เงียบสงบลง
“เหิมเกริมหรือ ข้าว่าพวกเจ้าต่างหากจึงควรเรียกว่าเหิมเกริม” มู่ชิงเกอมองไป แววตาที่เย็นเฉียบ ทำให้ทุกคนตะลึง
ความน่าเกรงขามของคนที่มีฐานะนั้น ไม่ใช่ใครๆ ก็จะสามารถมีได้
“เบิกตาสุนัขของพวกเจ้าดูให้ดีๆ ว่านี่คืออะไร” มู่ชิงเกอยกแขนขึ้นสูง ในมือนางนั้นถือป้ายฐานะราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยอยู่
ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ป้ายราชาเทวะน้อยนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด
และตราบนนั้นก็ยิ่งทำให้คนเห็นได้ชัดเจน ตราที่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ทำปลอมไม่ได้แน่นอน
“ราชาเทวะน้อย”
“นี่เป็นป้ายราชาเทวะน้อย”
“หรือว่าเขาก็คือราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยคนนั้น”
“จริงหรือปลอมกันแน่ ราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยจะมาที่นี่ทำไม”
“หากไม่ใช่ราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยแล้วจะอธิบายป้ายในมือเขาได้อย่างไร”
คนหลายพันหลังจากเห็นชัดเจนถึงป้ายในมือนางแล้วก็เกิดชุลมุนขึ้นมาอีก คนตระกูลมู่เหลือเดนที่พวกเขาเข้าใจนั้นกลับกลายเป็นราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยไปเสียได้
ฐานะที่พลิกผันเช่นนี้ออกจะน่าตกใจมากไปหน่อยแล้ว
“เจ้าเป็นราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยจริงๆ หรือ” คนแรกที่เปิดปากถามมู่ชิงเกอถามอีกด้วยความสงสัยในแววตา