ตอนที่ 683
ข้อสงสัยของราชาเทวะจื่อกวง
สถานการณ์ชุลมุนยิ่งนัก มู่หลินกับมู่ซานต่อสู้ไปมาก็กลายเป็นต่อสู้กับคนดินแดนจื่อกวง หลังจากสังหารลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงไปหลายคนแล้ว ทั้งสามคนจึงถอนตัวกลับไปตามคำสั่งผู้เฝ้ามอง
“พวกเขาหนีไปแล้ว!”
“เลวมาก! ฆ่าลูกศิษย์เราไปหลายคนแล้วหนีไปเฉยๆ เช่นนี้หรือ”
อินผิงรีบวิ่งไปเบื้องหน้ามู่ชิงเกอก้มศีรษะ ค้อมเอว พูดประจบด้วยใบหน้าตื่นเต้นว่า “ราชาเทวะน้อย ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ พวกตระกูลมู่เหลือเดนใจกล้ามากเกินไปแล้วถึงขนาดลอบเข้ามาถึงที่นี่ คิดจะสังหารท่านปิดปาก”
ขณะที่เขาพูดผู้ที่เป็นหัวหน้าก็เดินมาที่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ เขาตื่นเต้นเสียจนมองเขาขึ้นลงทั้งร่าง หลังจากฟังอินผิงพูดจบ เขาก็พูดอย่างเห็นด้วยว่า “ดูจากท่าทีของคนตระกูลมู่เหลือเดนแล้วคนที่ราชาเทวะน้อยสังหารไปนั้นต้องเป็นนายน้อยของพวกเขาแน่แล้ว”
“ถูกต้อง ใช่แน่นอน” อินผิงพูดเสริมอย่างเห็นด้วย
มู่ชิงเกอมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ดูตกใจเกินไป ไม่มีอาการหวาดกลัว ท่าทางนั้นเป็นท่าทีที่ราชาเทวะน้อยพึงมี
หลังจากทั้งคู่พูดจบนางจึงพูดว่า “โชคดีที่พวกเจ้าดินแดนจื่อกวงมาได้ทันท่วงที”
“ราชาเทวะน้อยเกรงใจแล้ว ในเมื่อท่านอยู่ในดินแดนจื่อกวงของพวกเรา การรักษาความปลอดภัยให้ท่านย่อมเป็นสิ่งที่พวกเราสมควรทำ” หัวหน้ารีบบอก
นํ้าเสียงแฝงด้วยคุณธรรมความถูกต้อง
อินผิงเห็นคำที่จะพูดโดนแย่งพูดไปแล้วจึงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ราชาเทวะน้อย ดูแล้วพวกคนตระกูลมู่เหลือเดนจ้องเอาเรื่องท่านแน่แล้ว การลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลว พวกเขาคงไม่ยอมเลิกรา ไม่สู้ให้พวกเราคอยรับใช้ใกล้ชิด จะได้ป้องกันการลอบสังหารได้”
ข้อเสนอของเขาทำให้มู่ชิงเกอมองเขาแล้ว ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าไม่เลวเลยนะ”
คำพูดนี้ของนางมีความหมายที่คลุมเครือ อินผิงกับหัวหน้าคนนั้นต่างชะงักไป
ไม่ทันรอให้พวกเขาเข้าใจ นางก็ผงกศีรษะให้ผู้เป็นหัวหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
พูดจบ นางไม่สนใจว่าพวกเขาจะฟังเข้าใจหรือรับรู้ความหมายของคำพูดนั้นหรือไม่ก็หันกายนำราชครูกับหยินเฉินกลับเข้าห้องไป
จนนางไปแล้ว อินผิงจึงพึมพำถามว่า “ราชาเทวะน้อยบอกว่าข้าไม่เลว หมายความว่าอะไรหรือ”
ผู้เป็นหัวหน้ายิ้มเยาะ นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน อินผิงฟังคำพูดมู่ชิงเกอไม่เข้าใจเขากลับฟังเข้าใจ เขาพูดเยาะๆ ว่า “เจ้าไม่ใช่ถนัดเรื่องประจบประแจง เอาใจคนนักหรือ เหตุใดตอนนี้กลับไม่เข้าใจ ยินดีด้วยนะ สามารถสร้างความประทับใจให้กับราชาเทวะน้อยได้ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ราชาเทวะน้อยแผ่นดินเทพ ตะวันตกของพวกเรา แต่หากวันใดเจ้าหมดหนทางในแผ่นดินเทพตะวันตกก็ไปขออาศัยเขาในแผ่นดินเทพตะวันออกได้”
พูดจบ เขาก็ยิ้มเยาะแล้วหันกายจากไป
ถึงแม้เขาจะไม่ชอบหน้าอินผิง แต่สิ่งที่ต้องทำก็ยังคงต้องทำ เช่นส่งคนไปติดตามคนตระกูลมู่เหลือเดนที่เหิมเกริมมาลอบสังหาร ถึงแม้โอกาสที่จะไล่ตามทันมีน้อยมากก็ตาม เช่นส่งคนไปสืบค้นบริเวณรอบๆ เพื่อป้องกันคนมาลอบสังหารอีก และเช่นทำตามที่อินผิงบอกส่งคนมาคุ้มกันราชาเทวะน้อยแผ่นดิน
เทพตะวันออกเพิ่มขึ้น
กลับถึงห้องแล้ว ราชครูกับหยินเฉินดูจะเข้าใจแล้วว่าผู้เฝ้ามองเล่นอะไรในคืนนี้
พวกเขาเล่นละครลอบสังหารเพื่อขจัดข้อสงสัยในตัวมู่ชิงเกอให้หมดจดมากยิ่งขึ้น ต่อให้ภายหลังพวกเขาจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอก็เพียงทำให้คนคิดว่าพวกเขาต้องการแก้แค้น แต่ไม่มีทางคิดว่ามู่ชิงเกอต่างหากจึงเป็นนายน้อยตระกูลมู่ตัวจริง
เช่นนี้แล้ว ฐานะของมู่ชิงเกอในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรก็จะยิ่งไร้ข้อสงสัย
ไหนๆ นางก็เป็นผู้ทำความชอบในการสังหาร ‘นายน้อยตระกูลมู่’
นี่คือผลลัพธ์ที่มู่ชิงเกอต้องการ เวลานี้มีผู้เฝ้ามองมาช่วย ก็ทำให้ผลที่ได้รับสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
“นายน้อยรู้ตัวตอนไหนหรือ” ราชครูยิ้มถาม
มู่ชิงเกอใช้หางตามองเขาแล้วพูดเรียบๆ ว่า “เจ้าเคยเห็นศิษย์พี่เจ้าเคยเอ่ยคำที่บ่งบอกชัดเจนขนาดนั้นหรือ”
คำนั้นก็คือการแสดงออกให้นางรู้ เขาเล่นละครเพื่อนาง นางก็เล่นละครผสมโรงไปกับเขาด้วยก็เท่านั้น
ราชครูชะงักยิ้มออกมา “นึกไม่ถึงว่านายน้อยพบหน้าศิษย์พี่ไม่กี่ครั้งก็สามารถรู้ใจศิษย์พี่ดีถึงเพียงนี้”
รู้ใจ?
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว หากราชครูจะใช้คำนี้มาเปรียบเทียบนางก็ไม่มีความคิดเห็นใด ไม่มีการปรึกษาหารือก็กระทำการร่วมกันจนเป้าหมายสำเร็จลงได้ก็คงนับว่ารู้ใจกันได้กระมัง
อีกทั้ง นางเองยังมีความรู้สึกว่า เมื่อนางขจัดข้อสงสัยในตัวจนหมดสิ้น อยู่รอดปลอดภัยโดยสมบูรณ์แล้ว ผู้เฝ้ามองที่เคยสนับสนุนมู่เทียนอินก็จะมาหานางอีก
นางไม่สนใจอิทธิพลที่ตระกูลมู่เหลืออยู่ในแผ่นดินเทพมารหรือ
นางสนใจแน่นอน
เพียงแต่ที่นางต้องการคือการยอมรับเป็นนายโดยสมบูรณ์ แต่ไม่ใช่การยอมรับแบบที่พวกเขาเป็นผู้หยิบยื่นมาให้
การลอบสังหารในคืนนั้นทำให้คนดินแดนจื่อกวงไม่กล้าประมาทอีก
พอฟ้าสาง หลังจากได้รับความเห็นชอบจากมู่ชิงเกอแล้วพวกเขาก็ส่งคนคุ้มกันตลอดทางเพื่อนำพวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนรวมทั้งศีรษะของมู่เทียนอินมุ่งหน้าไปยังดินแดนจื่อกวง
ดินแดนจื่อกวงเป็นดินแดนเทพที่อยู่ใกล้เก้าชั้นฟ้ามากที่สุด ในเมื่อมู่ชิงเกอต้องเล่ารายละเอียดต่างๆ ที่ผ่านมา ย่อมต้องไปที่นั้น
อีกทั้ง ดินแดนจื่อกวงได้รับรู้เรื่องนี้เป็นแห่งแรก ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปดินแดนเทพอื่น ผ่านมาหลายวัน มู่ชิงเกอก็มาถึงดินแดนจื่อกวงแผ่นดินเทพตะวันตก
ท่ามกลางหน้าผาสูงชันอันตราย มีภูเขาที่ราวกับหล่อหลอมมาจากแก้วผลึกสีม่วงสวยงามทอดตัวยาวต่อเนื่อง ส่องประกายแวววับภายใต้แสงอาทิตย์
กระทั่งแม้แต่แม่นํ้าลำคลองก็ราวกับเศษแก้วผลึกเป็นชั้นๆ ก็ไม่ปาน งดงามจนคล้ายกับภาพมายาในฝัน
เมืองล่างของดินแดนจื่อกวงถูกเรียกว่าเกาะจื่อหลิน เกาะจื่อหลินไม่เล็ก แต่ไม่ได้มีความงามชนิดสะท้านใจเช่นเดียวกับดินแดนจื่อกวง
มู่ชิงเกอถูกส่งตรงขึ้นไปยังดินแดนจื่อกวง เข้าไปในวังเทพ
นางยืนอยู่ในตำหนักใหญ่รอคอยการมาของราชาเทวะจื่อกวง
ว่ากันว่า ความแข็งแกร่งของราชาเทวะจื่อกวงคนนี้อยู่ในระดับที่นับว่าอ่อนที่สุดในบรรดาราชาเทวะทั้งหมดของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ต่อหน้าเขา มู่ชิงเกอยังคงอ่อนแอนัก เบื้องหน้ามู่ชิงเกอมีถาดใบหนึ่งวางอยู่ สิ่งที่อยู่บนถาดนั้นก็คือศีรษะของมู่เทียนอิน ตำหนักใหญ่ของวังเทพมีนางเพียงคนเดียว นอกประตูมีลูกศิษย์รักษาการของดินแดนจื่อกวงอยู่ ดูเหมือนหละหลวมแต่ความจริงเข้มงวด มู่ชิงเกอกวาดสายตาไปรอบ หนึ่งก็ละลายตากลับมา
“เจ้าคือมู่ชิงเกอหรือ” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
มู่ชิงเกอปรับสีหน้าแล้วมองขึ้นไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรบัลลังก์ที่สูงเด่นของราชาเทวะก็ปรากฎชายสวมชุดสีม่วงนั่งอยู่ …ตามจริงแล้ว ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ชอบชุดสีม่วง แต่เมื่อเทียบกันกับคนผู้นี้แล้วราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกลับดูงดงามชวนตะลึงกว่า
ราชาเทวะจื่อกวงตรงเบื้องหน้านี้ถึงแม้จะดูหล่อเหลางดงามยิ่งนัก แต่กลับให้ความรู้สึกอึดอัดใจแก่ผู้ที่พบเห็น ราวกับว่าสีม่วงที่สูงส่งลี้ลับนั้นกำลังถูกเขายํ่ายีอยู่ก็ไม่ปาน
โดยเฉพาะแววตาของเขานั้นยังเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
ถึงแม้จะรู้ว่าฐานะมู่ชิงเกอไม่ธรรมดา แต่แววตาที่มองนางนั้นก็ราวกับกำลังมองมดปลวกเท่านั้น
“เจ้าสังหารนายน้อยตระกูลมู่หรือ” ราชาเทวะจื่อกวง ถามทันที
มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ
มีเสียงฮึดังออกมาทันที “เจ้าอาศัยอะไรมายืนยันว่าเขาเป็นนายน้อยตระกูลมู่”