ตอนที่ 721
คู่เป็น คู่ตาย
ฟ้าดินเริ่มเปิดทุกอย่างล้วนปั่นป่วน ไร้ที่สิ้นสุด ไร้ที่สิ้นสุดเกิดไท่จี๋*[1] ไท่จี๋เกิดสองขั้ว สองขั้วคือหยินและหยาง
หยินหยางสามารถเรียกได้ว่าเป็นหรือตาย!
สองตาของมู่ชิงเกอจ้องดูแสงเพลิงเบื้องหน้า เปลวเพลิงสีดำขาวเป็นสิ่งที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
นางไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ ราวกับว่าแสงเพลิงเหล่านี้ทั้งมีอยู่และไม่ได้มีอยู่
เมื่อยืนอยู่ภายใน ความคิดของมู่ชิงเกอก็ราวกับถูกดึงดูดโดยแสงเพลิงเบื้องหน้า แม้กระทั้งสิ่งที่ซ่อนเร้นในเมฆหมอกบนท้องฟ้านั้น นางก็ลืมไปจนหมดสิ้น
ในความเคลิบเคลิ้มนั้น นางเดินไปหาแสงเพลิงดำขาว
ส่วนหยินเฉินกับหยวนหยวนยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับถูกสะกดไว้ให้แน่นิ่ง ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดอยู่ดีๆ เพลิงจึงลุกขึ้นได้!” สองมือถงเถิงแกว่งไกวไม่หยุด เดินขึ้นหน้าไปไม่ได้
เบื้องหน้าเขากับเซียนสุ่ยมีกำแพงเพลิงปิดทางไปทำให้พวกเขาไม่สามารถไปต่อได้อีก กำแพงเพลิงนี้เปล่งแสงสีส้มแดงระยิบระยับ เปลวเพลิงลุกโชน แลบออกมาตลอดเวลา น่ากลัวอย่างยิ่ง
เซียนสุ่ยก็ยกแขนขึ้นเช่นเดียวกัน แขนเสื้อกว้างใหญ่ ห้อยลงมาปิดปากปิดจมูกเขา ป้องกันการรุกลํ้าของพิษควันไฟ
เขาขมวดคิ้วแน่นบอกถงเถิงว่า “พวกเราอ้อมไป”
ถงเถิงพยักหน้าวิ่งไปทางซ้าย เซียนสุ่ยก็วิ่งตามไปทางซ้ายด้วยเช่นกัน
แต่พวกเขาวิ่งอยู่พักหนึ่งกลับพบว่ากำแพงเพลิงราวกับขยายไปเรื่อยๆ มองไม่เห็นที่สิ้นสุด และพวกเขาราวกับวิ่งอยู่ที่เดิม
“เพลิงนี้ประหลาดนัก!” เซียนสุ่ยดึงถงเถิงไว้บอกเขาเช่นนั้น
ถงเถิงรีบบอกว่า “ข้าก็รู้ว่ามีอะไรแปลกประหลาด แต่พวกลูกพี่ยังอยู่ข้างใน พวกเราทิ้งเขาไว้เฉยๆไม่ได้!”
เซียนสุ่ยว่า “ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องใจร้อน ให้ข้าคิดหาวิธีก่อน”
พูดจบ เขาก็เม้มริมฝีปาก โบกมือระดมกฎบัญญัติแห่งนํ้ารอบบริเวณนั้นมา แต่บริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเพลิงเผาผลาญ นํ้าที่เรียกระดมมาได้จึงมีเพียงน้อยนิด
กฎบัญญัติแห่งนํ้าควบแน่นอยู่รอบตัวเซียนสุ่ยอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันพุ่งเข้าไปในกำแพงเพลิงทันที
ที่เขาคิดไว้แต่แรกคือจะอาศัยแรงต้านทานของกฎบัญญัติแห่งนํ้า หลังจากฝ่าเข้ากำแพงเพลิงแล้ว ก็ไปหาพวกมู่ชิงเกอแล้วใช้วิธีเดิมนำพวกเขาออกมา
แต่ขณะที่เขาใช้กำลังทั้งหมดพุ่งชนไปที่กำแพงเพลิงนั้น กลับพบว่าตัวเองถูกพลังที่รุนแรงมหาศาลดีดกลับออกมา
เซียนสุ่ยกระเด็นกลับออกมาต่อหน้าต่อตาถงเถิงและชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง
ลำต้นใหญ่โตของต้นไม้โดนเขาชนหักสะบั้นแล้วล้มลงกับพื้น ฝุ่นพุ่งตลบ กฎบัญญัติแห่งน้ำที่ควบแน่นรอบตัวเซียนสุ่ยก็แตกสลายหายไปหมดสิ้น
ถงเถิงตกใจรีบวิ่งไปเบื้องหน้าเซียนสุ่ยแล้วถามว่า “เป็นอะไรไหม”
เซียนสุ่ยส่ายหน้า หน้าตาซีดขาว ยืนขึ้นจากการช่วยพยุงของถงเถิง เขามองไปทางกำแพงเพลิงด้วยแววตาสิ้นหวัง
“ดูแล้ว กำแพงเพลิงนี้พวกเราคงฝืนเข้าไปไม่ได้ จะต้องหาวิธีอื่น” เซียนสุ่ยเอามือกุมหน้าอกพลางพูดกับถงเถิง
ภาพเมื่อครู่นี้ ถงเถิงเองก็เห็นแล้ว รู้ว่าฝืนเข้าไปไม่ได้ เขาย่อมไม่เอาแต่ใจตัวเองจึงผงกศีรษะแล้วพยุงเซียนสุ่ยนั่งลง บอกเขาว่า “ท่านพักผ่อนสักครู่ ข้าจะไปดูว่ามีวิธี
อะไรที่จะผ่านกำแพงเพลิงนี้ไปได้บ้าง”
เซียนสุ่ยพยักหน้าแล้วกำชับเขาว่า “ได้ แต่อย่าได้ฝืนชน กำแพงเพลิงนี้ประหลาดนัก ไม่ใช่กำแพงเพลิงทั่วไป ในกำแพงเพลิงราวกับมีตราผนึกขวางกั้นไม่ให้เราเข้าไป”
ถงเถิงพยักหน้า
ทันใดนั้น เขาก็หันบอกเซียนสุ่ยว่า “พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกที่โดนเราอัดจนน่วมพวกนั้นน่าจะรู้เรื่อง!” พูดแล้วสองตาเขาก็แวววาวขึ้นมา
เซียนสุ่ยชะงักยิ้มว่า ”ข้าก็ดันลืมไปเสียได้’’’
ถงเถิงรีบบอกว่า “ท่านพักอยู่ที่นี่ คอยสังเกตเหตุการณ์ข้างใน ข้าจะไปลากพวกเขามา”
พูดจบ เขาก็หายไปจากสายตาเซียนสุ่ย
ภายในกำแพงเพลิง ทุกอย่างนิ่งสงบ ไม่แสบร้อนแม้แต่นิด มีเพียงท้องฟ้าที่ดำมืด ทั้งเมฆหมอกพลิกผันกับเพลิงสีดำขาวในทุ่งหญ้าประหลาดเท่านั้น
หยินเฉินกับหยวนหยวนยืนเรียงกัน ที่ว่างตรงกลางเป็นที่ยืนก่อนหน้านี้ของมู่ชิงเกอ
เพียงแต่ นางเวลานี้ราวกับถูกอะไรชักจูง ทั้งราวกับตกอยู่ในความลี้ลับจนเดินไปถึงภายในทุ่งหญ้าประหลาดนั่น
นางยืนอยู่ระหว่างแสงเพลิงสีดำสีขาวพอดี เส้นแบ่งเขตของแสงเพลิงสองขั้วนั้นแบ่งฝั่งละครึ่งผ่านร่างกายนางพอดี
แม้จะยืนอยู่ตรงกลางนางก็ยังคงไม่รู้สึกถึงความร้อนของเปลวเพลิง เพียงแต่รู้สึกว่า ร่างกายตัวเองฝั่งที่อยู่ภายใต้แสงสีขาวนั้น มีกำลังแข็งแกร่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้แสงสีดำนั้นราวกับกำลังเหี่ยวเฉา แห้งเหี่ยว ร่วงโรย
นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่คิดไปเอง!
มู่ชิงเกอฟื้นขึ้นมาจากอาการสะสึมสะลือ นางยกมือขวาของตัวเองขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ครึ่งฝั่งขวาของนางอยู่ภายใต้แสงสีดำ นางได้แต่มองมือตัวเองที่ผิวหนังค่อยๆ เหี่ยวแห้ง แก่ชรา เหี่ยวเฉาจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและค่อยๆ เน่าหลุด สุดท้ายแล้วเหลือเพียงโครงกระดูก ครึ่งหนึ่งของร่างกายก็เช่นเดียวกัน…
ราวกับว่า ครึ่งหนึ่งของนางได้ก้าวเข้าสู่ความตาย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับยังมีชีวิตชีวา สายตามู่ชิงเกอเปล่งประกายหวาดหวั่น นางมองดูกระดูกนิ้วตัวเองที่ชราภาพแล้วร่วงหล่นลงแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่นิด ในพริบตานั้นนางพลันแยกไม่ออกว่านี่เป็นความจริงหรือความฝันกันแน่
“หยินหยาง…เป็นตาย…เป็นตายพึ่งพากัน…นิ้วหนึ่งจิต…จิตหนึ่งเป็นจิตหนึ่งตาย…ชั่วหนึ่งจิตคำนึง…,” ปากมู่ชิงเกอท่องบ่น ภายใต้แสงเพลิงที่แปลกประหลาดนี้ นางพลันเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาในทันใด เพียงแต่ความรู้สึกนี้พร่าเลือนไม่ชัดเจน ยากที่นางจะจับต้องให้อยู่ได้
นางคิดแล้วก็หันกายไปยังทางที่หยินเฉินกับหยวนหยวนอยู่เพื่อให้ร่างกายของนางเปลี่ยนทิศทาง ให้ครึ่งหนึ่งที่เหี่ยวเฉาเข้าไปอยู่ใต้แสงสีขาว รับรู้ถึงความมีชีวิต
มองดูหยินเฉินกับหยวนหยวนที่แน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกราวกับรูปปั้น เมื่อพิจารณาละเอียดแล้ว มู่ชิงเกอก็แน่ใจว่าพวกเขาไม่มีอันตรายจึงนั่งขัดสมาธิระหว่างเปลวเพลิงสีขาวและสีดำนั้น
นางนั่งขัดสมาธิและค่อยๆ หลับตา เวลานี้ครึ่งหนึ่งของนางที่แห้งเหี่ยว เน่าเปื่อย กระทั้งสูญหายไปก็เริ่มกลับฟื้นคืนความมีชีวิตชีวา กระดูกที่ผุกร่อน เริ่มกลับคืนความแข็งแกร่ง ส่วนที่แตกหักก็เริ่มงอกคืนกลับมา
หลังจากนั้น บนกระดูกก็เริ่มมีเลือดเนื้อ ทั้งมีหนังหุ้มที่ไร้ตำหนิ ทุกสิ่งกลับคืนเหมือนเดิม แม้กระทั้งเสื้อผ้าที่เปื่อยป่นเป็นฝุ่นผงก็กลับคืนเหมือนใหม่พร้อมสีสันสดใส
ส่วนอีกครึ่งที่เคยอยู่ในแสงสีขาวก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉา จนกลายเป็นสูญสลายคล้ายครั้งก่อน…
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายนี้ มู่ชิงเกอราวกับไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิด
นางดื่มด่ำอยู่ในการรับรู้ชนิดใหม่ อีกทั้งการรับรู้ชนิดนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับนิ้วหนึ่งจิตที่นางบำเพ็ญนั้นอย่างแยกกันไม่ออก…
*ไท่จี๋ คือ สภาพแรกเริ่มก่อนที่จักรวาลจะถือกำเนิดหยินและหยาง