ตอนที่ 748
ลูกรัก ข้าเป็นบิดาเจ้า
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสียงมู่ชิงเกอเครียดขึ้นมา
ครั้งนั้น โห่วถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสหนีไปโลกแห่งยุคกลางจึงได้พบนาง นางใช้ความพยายามมากมายสิ้นเปลืองโอสถไปไม่รู้เท่าไรจึงขุนโห่วจนอ้วน ท้วนแข็งแรงได้…ไม่ใช่สิ จึงจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขาจนหาย… แต่เหตุใดพอกลับถึงป่าอสูรถึงบาดเจ็บอีก
ใบหน้าที่เย็นเฉียบของมู่ชิงเกอเคลือบด้วยความอึมครึม
ต้นเหตุแห่งความแค้นเคืองมีทั้งโห่วทั้งพวกที่ทำร้ายโห่ว
ถึงอย่างไรโห่วก็เป็นคนไข้ของนาง ในฐานะที่เป็นหมอเห็นคนไข้ที่ตัวเองช่วยกลับมาด้วยความยากลำบากกระทำจนตัวเองหมดสภาพเพราะไม่รักตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่น่าแค้นใจนัก ส่วนพวกที่ทำร้ายคนไข้ตัวเอง สำหรับนางแล้วก็เป็นการไม่เคารพต่อผลงานที่นางสร้างด้วยความเหนื่อยยาก
เอาละ… ที่อธิบายมากมายเช่นนี้ ความจริงแล้วที่มู่ชิงเกอโกรธเคืองก็เพราะเขาเป็นคนที่นางปกป้อง!
แม้นางจะยกเลิกพันธสัญญากับโห่วไปแล้ว แต่ในใจนางได้นับโห่วเป็นครอบครัวของตัวเองไปแล้ว ส่วนโห่วนางก็เชื่อเช่นกันว่าเขาได้นับตัวเองเป็นคนในครอบครัวของนางด้วย
“เจ้าอย่าเพิ่งกังวล เวลานี้เขาไม่เป็นไรแล้ว กำลังปิดประตูบำเพ็ญเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ยังอุตส่าห์สั่งให้ข้ามารอเจ้าที่นี่เพื่อบอกให้เจ้าไม่ต้องรีบไปหาเขา ถึงแม้เจ้าไปแล้ว เขากำลังปิดประตูบำเพ็ญ ก็ไม่เจอเขาอยู่ดี” หยินเฉินถ่ายทอดคำพูดของโห่วให้มู่ชิงเกอฟัง
มู่ชิงเกอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางแสยะยิ้ม “ไม่ใช่เขากลัวข้าจะไปเอาเรื่องเขาจึงแกล้งพูดเช่นนี้หรือ”
หยินเฉินหลุบตาไม่เอ่ยคำ
“ดีจริงๆ เขาคิดว่ารอให้ข้าหายโมโหแล้วก็จะหมดเรื่องหรือ หนี้ที่ตามทวงต่อให้ผ่านไปสิบปีร้อยปีข้าก็ไม่ลืม” มู่ชิงเกอพูดด้วยความแค้นทั้งยังกำหมัดทุบโต๊ะอีกด้วย
ถึงแม้นางจะโมโหแต่ภายในกลับโล่งอก
โห่วไม่ใช่คนที่ดื้อดึง หากทนไม่ไหวจริงๆ เขาคงจะบอกหยินเฉินให้มาขอโอสถ เวลานี้หยินเฉินไม่ได้พูดถึงโอสถ บอกเพียงว่าโห่วปิดประตูบำเพ็ญก็หมายความว่าอาการบาดเจ็บของเขาสามารถควบคุมได้แล้ว ทั้งยังกำลังดีขึ้น
“ข้ายกโอสถระดับมหาเทพที่เจ้าให้ข้าเม็ดนั้นให้เขาไป หากเจ้าว่างเมื่อไรค่อยให้ข้าเพิ่มอีกสักเม็ดเถอะ” หยินเฉินพูดอย่างซื่อตรง
มู่ชิงเกอโกรธจนแทบกระอักโลหิต จดบัญชีโห่วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกระทง ‘เจ้าคนน่าตาย!’
ขณะที่โห่วจากไป นางได้ให้โอสถคุ้มครองชีวิตระดับนี้แก่เขาเม็ดหนึ่งด้วย
เวลานี้เขายังใช้ของหยินเฉินไปอีก แสดงว่าอาการบาดเจ็บของเขาในเวลานั้นไม่เบาจริงๆ
มู่ชิงเกอพลิกฝ่ามือ ในอุ้งมือมีขวดกระเบื้องเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขวด นางโยนให้หยินเฉิน หยินเฉินรับไว้แล้วไม่ทันดูก็เก็บไว้อย่างดี
“ข้าประหลาดใจนัก เขาไม่ใช่ต้นตระกูลเหล่าสัตว์ร้ายหรือ เหตุใดเอะอะก็โดนตีเกือบตายราวกับเป็นลูกไก่อ่อนแออย่างนั้น” มู่ชิงเกอพูดอย่างหัวเสีย
หยินเฉินอธิบายนิ่งๆ “เขาบอกว่าเพราะเขาไม่ระวังตัวเองจึงโดนเล่นงาน รอให้เขาปิดประตูบำเพ็ญออกมาแล้วจะไปแก้แค้นเอง”
“…” มู่ชิงเกอพูดไม่ออก
เจ้าโห่วนี่ ไม่ยอมบอกว่าคู่แค้นที่ทำให้เขาตกลงไปในโลกแห่งยุคกลางเป็นใคร เวลานี้บาดเจ็บก็ยังไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคู่แค้นอีก
“ชิงเกอ เจ้าจะไปที่เผ่าเฟิ่งหวงหรือ” พูดเรื่องของโห่วจบ หยินเฉินก็ย้ายหัวข้อไปที่ตัวมู่ชิงเกอ แสดงว่าแม้เขาอยู่ในห้องแต่ก็ยังได้ยินเรื่องภายนอกห้องจนหมด
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ
หยินเฉินขมวดคิ้วว่า “เผ่าเฟิ่งหวงรังเกียจบุคคลภายนอกมากนัก คงไม่ทันรอเจ้าเปิดปากพูดก็ถูกไล่ออกไปแล้ว เรื่องเจ้าเฟิ่งหวงน้อยไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เจ้าจะไปยุ่งด้วยเหตุใด”
“ไม่เกี่ยวข้องจริงแต่ข้ารับปากนางแล้ว” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ
คิ้วหยินเฉินขมวดขึ้นมา ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาติดตามข้างกายมู่ชิงเกอมานานมากแล้ว ย่อมรู้ว่าเรื่องที่มู่ชิงเกอตัดสินใจแล้วนั้นยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง
“ไม่เช่นนั้น ปล่อยเจ้างูตะกละออกมาดีไหม” หยินเฉินพูด เพียงแต่เขาไม่ทันรู้สึกว่าขณะที่ตัวเองพูดถึงไป๋สี่ สายตาเขาจะหลุบไปด้านข้างนิดหนึ่ง
อาการที่เขาทำโดยไม่รู้ตัว มู่ชิงเกอกลับสังเกตเห็น สายตานางฉงนเล็กน้อย ไม่ทันคิดอะไรก็พูดเพียงว่า “ไป๋สี่ใกล้จะทะลวงขอบเขตแล้ว อย่าไปรบกวนนาง”
“อ้อ ได้” หยินเฉินตอบง่ายๆ
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก วันรุ่งขึ้นสองคนที่เดินออกมาจากห้องทำให้ชูเนี่ยนชะงัก แต่เมื่อนางจำหยินเฉินได้จึงยิ้มออกมาและพูดว่า “หยินเฉิน เจ้าเอง
หรือนี่ มาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ตามด้วยนัยน์ตาหมุนกลอกไปรอบหนึ่งแล้ว ยิ้มออกมา “ชิงเกอว่าจะมาหาคนในป่าอสูรคงเป็นเจ้าแน่เลย”
“ไม่ใช่ข้า” หยินเฉินพูด
มู่ชิงเกอยิ้มพูดว่า “คนที่จะหาพอดีมีธุระไม่ทันได้พบ หยินเฉินตามมาสมทบกับข้าที่นี่”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ชูเนี่ยนผงกศีรษะ
นางมองไปที่มู่ชิงเกอ สายตาบ่งบอกถึงความไม่สบายใจ “เช่นนั้น…เจ้ายังมีเวลาไปกับข้าที่อาณาเขตเฟิ่งหวงหรือไม่”
“มีแน่นอน” มู่ชิงเกอยิ้มตอบ
ชูเนี่ยนได้ยินคำตอบของมู่ชิงเกอแล้วรู้สึกโล่งใจ
ตลาดไป่เซียงห่างจากอาณาเขตเฟิ่งหวง ระยะเดินทางราวห้าหกวัน ถ้าหากมีพาหนะบินได้จะประหยัดเวลาได้ไม่น้อย แต่มู่ชิงเกอไม่รู้ซือมั่วใช้วิธีการอะไรทำให้ได้เสี่ยวไฉ่มา โชคก็เป็นสายเลือดเฟิ่งหวงชนิดหนึ่ง ดังนั้นนางจึงเลิกล้มความคิดที่จะปล่อยเสี่ยวไฉ่ออกมาแทนการเดิน
แค่กแค่ก ควรพูดว่าในป่าอสูรนั้น การใช้เผ่าอสูรเป็นพาหนะเป็นสิ่งต้องห้ามในป่าอสูรทั้งหมด
ดังนั้น สุดท้ายแล้วทั้งสามคนจึงยังคงใช้สองเท้าเดินเข้าใกล้อาณาเขตเฟิ่งหวงไปเรื่อยๆ ระหว่างทางอาจเนื่องจากพลังบารมีของหยินเฉินหรืออาจเพราะโชคดี พวกเขาจึงไม่พบอุปสรรคอะไรก็มาถึงรอบนอกของอาณาเขตเฟิ่งหวงแล้ว
“มีต้นหวูถงมากจริงๆ เลย!” ชูเนี่ยนยืนอยู่รอบนอกของอาณาเขตเฟิ่งหวง มองดูต้นหวูถงที่สูงเสียดฟ้ามากมายแล้วพูดด้วยความตกใจ
นางยืนอยู่กับที่ สองมือวางซ้อนอยู่บนอกโดยไม่ได้ตั้งใจ พึมพำคนเดียว “ไม่รู้เหตุใด ข้ารู้สึกใกล้ชิดกับที่นี่มากทั้งๆ ที่ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เหตุใดข้าจึงมี ความรู้สึกคุ้นเคยมากนักนะ”
คำพูดของชูเนี่ยนทำให้มู่ชิงเกอกับหยินเฉินสบตากัน
หยินเฉินว่า “เข้าใกล้กว่านี้ก็จะชักนำเผ่าเฟิ่งหวงมากันแล้ว”
“แต่ก็จำเป็นต้องเข้าไป” มู่ชิงเกอพูดอย่างแน่วแน่
ขณะที่ทั้งสองคุยกันอยู่ เท้าหนึ่งของชูเนี่ยนก็เหยียบเข้าไปในอาณาเขตเฟิ่งหวงโดยไม่รู้ตัว พอนางเหยียบเข้าไปภายในป่าหวูถงก็มีเสียงกระพือปีกดังมา
พอเท้าของชูเนี่ยนเหยียบลงไปที่อาณาเขตเฟิ่งหวง บนต้นหวูถงที่ใหญ่ที่สุดก็ปรากฎร่างของราชาเฟิ่งคนปัจจุบันขึ้น เขาเบิกตาโต นัยน์ตาเปล่งประกายแวววับออกมา
ทันใดนั้นเขาก็หายไปจากที่เดิม
“หยุด! เป็นใครกัน กล้าบุกรุกอาณาเขตเผ่าเฟิ่งหวง” ภายในป่าหวูถงมีเสียงบริภาษดังออกมา
ทหารเผ่าเฟิ่งหวงซึ่งเป็นทหารนกหลวนลงมาจากท้องฟ้า ชุดเกราะสีเขียวพู่สีเขียวอ่อนมองดูแล้วองอาจสง่างามยิ่งนัก
มือพวกเขาถือทวน ปรากฎตัวที่เบื้องหน้าชูเนี่ยน ขวางทางของพวกนางไว้
ชูเนี่ยนชะงัก กำลังจะชักเท้ากลับก็ได้ยินเสียงทรงพลังดังมาจากที่ไกลออกไป “ลูกรัก ในที่สุด เจ้าก็กลับมาแล้ว! ในที่สุดพ่อก็ได้พบเจ้าจนได้!”