ตอนที่ 765
ถึงขนาดช่วยราชินีไว้ได้
สองคนนี้คนหนึ่งเรียกกันว่า ‘ราชินี’ อีกคนก็เรียก ‘องค์ชาย’ เห็นได้ชัดเจนถึงฐานะพวกเขาในเผ่าภูติภูเขา
มู่ชิงเกอมองโห่วด้วยความงุนงง นางนึกไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวภูติภูเขาที่โห่วช่วยไว้ครั้งนั้นถึงขนาดเป็นราชินีเผ่าภูติภูเขา แน่นอนว่าครั้งนั้นนางยังไม่ได้รับสืบทอดราชสมบัติ
‘มิน่าเล่า ตอนที่โห่วบอกชื่ออินเล่อ ท่าทางของเหล่าภูติภูเขาจึงเปลี่ยนแปลงไปมากมายเช่นนี้ ที่แท้คนที่โห่วช่วยไว้ก็ไม่ได้เป็นเพียงพลเมืองเผ่าภูติภูเขา แต่เป็นราชินีของพวกเขานี่เอง’ มู่ชิงเกอคิดในใจ
ท่าทางโห่วเองก็ผิดคาดกับฐานะของอินเล่อ เขาพูดอย่างงงๆ ว่า “อินเล่อ ที่แท้เจ้าก็เป็นราชินีเผ่าภูติภูเขา”
ใบหน้าแสนงามของราชินีภูติภูเขาผุดความเขินอายขึ้นมานิดหนึ่งจากคำพูดโห่ว
นี่ทำให้มู่ชิงเกอมองดูตาปริบๆ
องค์ชายภูติภูเขาพูดว่า “องค์ราชินี ยืนคุยที่นี่ก็พอแล้ว ไม่ควรเข้าใกล้นัก”
นํ้าเสียงเขาน่าฟังมาก ถึงแม้ความหมายซ่อนความระแวดระวัง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสบายใจไม่ทำให้คนอึดอัด
อินเล่อกลับพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ท่านพี่ข่งไม่ทำร้ายข้าหรอก”
พูดจบ นางก็อ้อมผ่านมือที่ขวางอยู่ขององค์ชายเดินไปถึงเบื้องหน้าโห่ว
ขณะที่อินเล่อเดินมาถึงเบื้องหน้าโห่ว เขาก็ตกตะลึง กลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยเข้ามาแตะจมูกทำให้ เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เขาพึมพำว่า “ผ่านไปแล้วหลายหมื่นปีเจ้ายังคงเหมือนเมื่อก่อน”
อินเล่อยิ้ม เขินอายจนหลุบตาลงจากคำพูดของโห่ว
มู่ชิงเกอที่เป็นผู้ชม รู้สึกว่าราชินีเผ่าภูติภูเขายังคงมีจิตใจเช่นหญิงสาว จากคำพูดของโห่วนั้นนางไม่รู้ว่ามีอายุตั้งเท่าไรแล้ว แต่ยังคงมีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์อยู่
ไม่แน่ว่าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของเผ่าภูติภูเขา มู่ชิงเกอแอบคิดในใจ
โห่วกับอินเล่อพูดคุยเรื่องความหลังกัน มู่ชิงเกอกับหยินเฉินยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงสายตาสำรวจตรวจตราที่มองมา
มู่ชิงเกอมองไปก็พบกับสายตาขององค์ชายภูติภูเขา
แสงบริเวณนี้ค่อนข้างสว่างทั้งพวกเขาก็อยู่ใกล้กันมาก จนเวลานี้มู่ชิงเกอจึงสังเกตเห็นว่า ดวงตาของเผ่าภูติภูเขาก็เป็นสีหมึกเขียวเช่นกัน เพียงแต่เกือบดำสนิท ดังนั้นหากไม่พิจารณาละเอียดจะดูไม่ออกแม้แต่นิด
จนนางได้สติจึงพบว่าองค์ชายภูติภูเขาคนนั้นกำลังยิ้มให้กับตัวเอง
รอยยิ้มนั้นจางมาก ให้ความรู้สึกราวกับแสงอาทิตย์ส่องผ่าน
‘องค์ชายภูติภูเขาคนนี้ดูเป็นคนอบอุ่นนุ่มนวล’ นี่เป็นความรู้สึกแรกของมู่ชิงเกอที่มีต่อเขา
เมื่อสบตากับนาง องค์ชายภูติภูเขาก็ไม่ได้ละสายตาคืน แต่ผงกศีรษะนิดๆ อย่างมีมารยาท ในเมื่อเขายังมีท่าทางเปิดเผย มู่ชิงเกอย่อมทำเคอะเขินไม่ได้
ดังนั้นนางจึงยิ้มตอบอย่างมีมารยาท
เพียงแต่ใจนางออกจะสงสัย สงสัยว่าสายตาที่องค์ชายมองนางนั้นหมายถึงสิ่งใด
ยังไม่ทันที่นางจะนึกอะไรได้ การพูดคุยของโห่วกับอินเล่อก็ผ่านไปช่วงหนึ่งแล้ว
รอยยิ้มที่มุมปากอินเล่อลดลงเล็กน้อย มองโห่วอย่างจริงจังว่า “พูดเช่นนี้แล้ว ท่านพี่ข่งคงเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”
โห่วยิ้มแยกเขี้ยว “ไม่นับว่ายุ่งยากอะไร เพียงแต่ครั้งนี้ทำให้เพื่อนสองคนเดือดร้อนไปด้วยจึงต้องมาหลบที่นี่ หากมีข้าเพียงคนเดียวข้าก็คงไม่มาหรอก”
เขาพูดอย่างไม่ตั้งใจ แต่อินเล่อได้ยินแล้ว นัยน์ตาก็ผุดแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย “ท่านพี่ข่งไม่คิดมาเยี่ยมเยียนข้าบ้างหรือ”
เอ่อ
โห่วชะงัก ทำอะไรไม่ถูก
เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดของอินเล่อหมายความว่าอะไร อีกทั้งตัวเองจะต้องตอบอย่างไร
“อะแฮ่ม” มู่ชิงเกอกระแอมไอครั้งหนึ่ง
โห่วจึงรู้ตัวรีบพูดว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้ารู้กฎระเบียบภูติภูเขาของเจ้าจึงไม่อยากมารบกวนสร้างความยุ่งยากให้เจ้า ข้ายิ่งไม่ได้นึกถึงเลยว่า หญิงสาวภูติภูเขาที่ข้าช่วยไว้จะเป็นถึงราชินีภูติภูเขา”
อินเล่อยิ้มอย่างเขินอายอีกครั้งให้กับโห่ว
นางในเวลานี้จึงได้หันมองดมู่ชิงเกอกับหยินเฉินแล้วยิ้มให้พวกเขา เพียงแต่รอยยิ้มนี้ต่างกับที่ยิ้มให้โห่ว เป็นเพียงยิ้มตามมารยาทเท่านั้น
“พวกท่านเป็นเพื่อนท่านพี่โห่วจึงเป็นเพื่อนข้าด้วย พักที่นี่ให้สบายใจเถอะ” อินเล่อบอก
องค์ชายภูติภูเขากลับเอ่ยขึ้นในเวลานี้ว่า “องค์ราชินี จะถามหรือไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรหรือเกิดปัญหาอะไร หากปัญหามีไม่มาก พวกเราภูติภูเขาอาจจะออกหน้าเจรจาได้”
‘องค์ชายภูติภูเขาผู้นี้ฉลาดเฉลียวกว่าราชินีเสียอีก’ มู่ชิงเกอกวาดสายตาอย่างรวดเร็วแล้วคิดอยู่ในใจ
ล้วนเป็นราชินีเหมือนกัน ขณะที่มองดูอินเล่อ มู่ชิงเกอจึงนึกถึงเจียงหลี เมื่อเปรียบกับคนแรกแล้ว เจียงหลีมีความเป็นราชินี มีความสามารถในการควบคุมทุกอย่างมากกว่า
นิสัยใจกล้าห้าวหาญ สง่างามเด็ดขาด เกิดจากความสามารถและความเชื่อมั่นในตัวเอง
หากเปรียบเจียงหลีเป็นกุหลาบสีแดงที่งดงามเฉิดฉาย ราชินีภูติภูเขาเบื้องหน้าก็คือกุหลาบสีขาวที่งามบริสุทธิ์ผุดผ่อง
‘เจียงหลี เจ้ายังอยู่ดีหรือไม่’ มู่ชิงเกอถอนหายใจพลางนึกถึงเพื่อนเก่า
เจียงหลีนับว่าเป็นเพื่อนที่นางคบหาอย่างใกล้ชิดสนิทสนมมากที่สุด ไม่มีใครเทียบได้ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้
“ท่านพี่ข่ง…” ได้ยินคำพูดองค์ชายแล้ว อินเล่อก็ส่งสายตาถามโห่ว
ราวกับว่าหากเขาปฏิเสธ นางก็จะไม่ฝืนใจ ให้เขาบอกว่าใครเป็นคู่แค้นหรือมีเรื่องด้วยสาเหตุใด
“เรื่องนี้…,” โห่วลังเลเล็กน้อย มองมู่ชิงเกอโดยไม่ตั้งใจ
สายตาที่เขาคิดเองว่าแนบเนียนนี้กลับโดนอินเล่อและองค์ชายเห็นเข้า ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปที่มู่ชิงเกอโดยทันที มู่ชิงเกอจึงกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งหมดในตำหนัก
มู่ชิงเกอยิ้มนิดๆ ตอบด้วยท่าทีปกติว่า “ความจริงก็ไม่มีอะไรที่บอกไม่ได้ หลายปีก่อนพี่โห่วถูกเผ่ามังกรวางแผนทำร้ายจนแทบสิ้นชีวิต พวกเราสองคนเป็นเพื่อนสนิทของพี่โห่ว ได้ยินเรื่องนี้แล้วย่อมไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงจะช่วยพี่โห่วแก้แค้น ผู้สังหารคนอื่นย่อมต้องถูกสังหาร พวกเราเพียงแค่สังหารมังกรที่วางแผนฆ่าพี่โห่ว ไม่คิดว่าจะถูกเผ่ามังกรตามสังหารพวกเราเพื่อแก้แค้น พี่โห่วเกรงว่าจะทำให้พวกเราสองคนพลอยติดร่างแหไปด้วย พอดีนึกถึงเผ่าภูติภูเขาจึงจำใจต้องมาขอความช่วยเหลือ”
นางเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างง่ายดายจนจบ
แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ยิ่งเห็นถึงการที่โห่วเป็นผู้ถูกกระทำ เขาเพียงแค่ต้องการแก้แค้นเท่านั้นทำให้เห็นได้ชัดถึงความตํ่าช้าของเผ่ามังกร
อินเล่อได้ยินแล้วเกิดเคืองแค้นทันที ถามโห่วว่า “อะไรกัน เผ่ามังกรเกือบสังหารท่านเลยหรือ พวกมันกล้าขนาดนี้เชียว”
คำพูดแฝงด้วยความดุดัน มีท่าทีห้าวหาญของราชินีขึ้นบ้างแล้ว
“ข้าหายสนิทดีแล้วเพราะได้ชิงเกอช่วย” โห่วบอกอินเล่อแล้วถือโอกาสแนะนำมู่ชิงเกอ “ใช่แล้ว พวกเขาคือมู่ชิงเกอกับหยินเฉิน เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของข้า”
อินเล่อมองมู่ชิงเกอกับหยินเฉินด้วยความซาบซึ้งแล้วผงกศีรษะว่า “ขอบคุณพวกท่านที่ช่วยดูแลท่านพี่ข่ง ทั้งขอบคุณที่ช่วยเขาแก้แค้น”
คำพูดนั้นดูไม่เหมือนเป็นเพียงความสัมพันธ์ธรรมดาทั่วไป
“เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์’ องค์ชายมองมู่ชิงเกอแล้วพูดขึ้นมา