Skip to content

พลิกปฐพี 787

ตอนที่ 787

จะสังหารข้า ไม่ง่ายขนาดนั้น!

ยุทธภัณฑ์ชั้นอาคมได้เตรียมมาพร้อมแล้วจึงลดขั้นตอนการสลักภาพอาคมและตั้งค่ายกลลงไป เพียงแค่จัดวางในทิศทางตำแหน่งตามที่กำหนดก็สามารถตั้งค่ายกลได้แล้ว

ทั้งเจ็ดคนต่างถือยุทธภัณฑ์ชั้นอาคมคนละชิ้นไปยังทิศทางที่ต่างกัน ท่าทางคุ้นเคยกับค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหารนี้ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเรื่องแบบนี้

ทั้งเจ็ดคนแยกกันเคลื่อนไหว แต่ในเวลานั้นเองพลันมีแสงดำมืดตกลงในบริเวณที่พวกเขาเคยยืนอยู่

เขาเพิ่งเข้ามาในนี้ เบื้องหลังก็ปรากฎรัศมีประหลาดของแสงดาวสายหนึ่ง เขาหันหลังมองไป ปีกหมวกที่กว้างใหญ่บดบังสายตาของเขาเอาไว้

บนรัศมีประหลาดนั้นปรากฎเป็นอักขระรูปแบบต่างๆ แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“หึม?” เขาสงสัย

ราวกับไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมากยังคงเดินเข้าไปยังกลางป่า เวลานี้ภายในป่านี้มีคนสองกลุ่มต่างมุ่งหน้า ไปยังถํ้าที่เพิ่งสร้างขึ้นกลางเขาลึกโดยไม่ได้รู้สึกถึงอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ภายในถํ้า เงาร่างสีดำนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนแท่นหินที่นูนขึ้นโดยไม่ได้รู้สึกตัว ยังคงดื่มด่ำอยู่กับการบำเพ็ญของตัวเอง

‘เหตุใดราวกับมองเห็นสิ่งกีดขวางก้าวสุดท้ายแล้ว แต่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถตีให้แตกออกได้’

ท่ามกลางความสับสนนั้น ซือมั่วปัดหมอกควันเบื้องหน้าออกแล้วราวกับเห็นประตูที่ปิดสนิท จิตใต้สำนึกของเขาบอกเขาว่าหากเปิดประตูบานนั้นออก เขา

ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่แดนที่ไม่เคยมีใครเข้าไปได้นานมาแล้ว สามารถเห็นสิ่งใหม่ๆ

ถึงเวลานั้นเขาก็จะสามารถปกป้องคุ้มครองคนที่ตัวเองรักได้ตามใจแล้ว

‘ข้าไม่เชื่อ! ในเมื่อเคยมีคนไปถึงจุดนั้นได้ ข้าก็ต้องทำได้เหมือนกัน! ลองดูอีกครั้ง!’

ซือมั่วรวบรวมกำลัง เรียกพลังในกายมารวมเอาไว้และพุ่งเข้าไปที่ประตูบานนั้น เขาจะพุ่งชนประตูให้เปิด ขอเพียงเปิดได้เขาก็จะได้รับพลังใหม่ พลังที่สุดแสนยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน!

พลังที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานแปลงเป็นมังกรดำดุร้ายขู่คำราม กระแทกที่ประตูบานนั้นอย่างแรง

ปัง!

เสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนจนควันที่ลอยคลุ้ง อยู่รอบๆ กระจายออก

แต่ประตูยักษ์บานนั้นหลังจากสั่นสะเทือนแล้วก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ ประตูที่ปิดสนิทนั้นไม่ มีร่องรอยการแง้มออกเลยแม้แต่นิด

“อกสักครั้ง!”

ปัง!

“อกครั้ง!”

ปัง ปัง!

มังกรดำที่ดุร้าย นำพลังสะเทือนฟ้าสะท้านดินกระแทกไปยังประตูที่ปิดสนิทบานนั้น มันกระแทกประตูเสียงดังไม่ขาดสาย ทำให้ในบริเวณนั้นเกิดเสียงสะท้อนดังจนแสบแก้วหูไม่หยุด

ในที่สุด ด้วยการยืนหยัดไม่ยอมแพ้ของเขา ประตูยักษ์ที่ปิดสนิทก็แง้มช่องออกพอใช้นิ้วสอดเข้าไปได้ แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็ทำให้ซือมั่วดีใจยิ่งนัก อย่างน้อยที่สุด นี่ก็คือความหวัง

แต่ขณะที่เขาเตรียมจะกระแทกต่อจนสุดกำลังให้ประตูบานนั้นเปิดออก ร่างกายของเขา ค่ายกลป้องกันภัยที่เขาวางไว้ภายนอกก็ส่งสัญญาณเตือนให้เขารับรู้

สัญญาณอันตรายที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน รบกวนอยู่ในใจ เขาไม่ทันคิดอะไรมากกว่านั้น กระทั่งไม่คำนึงถึงการถูกแรงสะท้อนกลับเพราะออกจากการบำเพ็ญกะทันหัน เพียงพริบตาเดียวก็ออกจากการปิดประตูบำเพ็ญ!

ภายในถํ้า ซือมั่วเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น รู้สึกได้ถึงพลังโจมตีรุนแรงที่ลงมายังถํ้า

เวลานี้เลือดลมในร่างปั่นป่วน การออกจากการบำเพ็ญกะทันหันทำให้ชีพจรได้รับบาดเจ็บ เขารีบกินยาที่มู่ชิงเกอให้มาเพื่อกดแรงสะท้อนกลับไว้ เพียงแวบเดียวเงาร่างของเขาก็พุ่งออกจากถํ้า

เขาเพิ่งขยับตัวพลังนั้นก็กระแทกลงที่ถํ้าจนถํ้าที่ซือมั่วใช้ปิดประตูบำเพ็ญถล่มลง

เสียงนี้ดังก้องกัมปนาท

แต่ด้วยการคุ้มกันของค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหารจึงไม่ทำให้ภายนอกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่นิด

ริมฝั่งแม่น้ำเมิ่งหลาน ทหารเผ่ามารถูกสิ่งพิสดารโจมตีจนหมดสภาพ สิ่งเหล่านั้นนอกจากไม่สามารถฆ่าได้แล้วยังบั่นทอนกำลังของทหารมาร ทำให้ทหารมารที่ประจำการอยู่ที่นี่ตกอยู่ในสภาพเข้าตาจน

“ท่านแม่ทัพ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคง…” รองแม่ทัพออกแรงต้านสุดกำลัง หันศีรษะมาบอกหยวนฟง

เพียงแต่การเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้ลำคอของเขาเปิดช่องโหว่ หนอนดำตัวหนึ่งได้โอกาสพุ่งไปที่เขาและมุดเข้าไปใต้ผิวหนังลำคอของเขาทันที

“อ๊าก!” หยวนฟงมองดูจนตาแทบถลน เขารีบยกดาบขึ้นฟันไปที่ลำคออีกฝ่ายอย่างแรง ตัดศีรษะรองแม่ทัพที่ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนสี

เขาคิดว่าการกระทำเช่นนี้จะสามารถป้องกันไม่ให้รองแม่ทัพกลายเป็นหุ่นเชิดศพได้ แต่ไม่นึกว่า แม้เขาจะฟันศีรษะรองแม่ทัพจนขาดแล้วก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งหนอนที่เปลี่ยนสภาพมาจากเส้นผมของเขาได้ มันยังคงเข้าโจมตีคนอื่นๆ ต่อไป

บนเขานั้นซือมั่วยืนอยู่กลางอากาศ ลมกลางคืนพัดเสื้อคลุมของเขาพลิ้วขึ้นเพิ่มพลังบารมีให้เขามากขึ้น

ผมสีหมึกของเขาปลิวสะบัด ใบหน้าที่หล่อเหลางดงามแม้ในยามราตรีก็ยังราวกับไข่มุกที่ส่องประกายยามราตรี เปล่งแสงเย็นสงบสว่างไปทั่วหล้าราวกับแสงเดือนเพ็ญ

เบื้องหน้าเขา มีคนที่สวมชุดดำมิดชิดแน่นหนาเจ็ดคนล้อมอยู่

แต่เจ็ดคนเบื้องหน้าเขานั้น ดูช่างต่ำช้าไร้ราคา ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ไร้ซึ่งบารมีแม้แต่นิด

นัยน์ตาสีอำพนของซือมั่วผุดแสงเย็นวาบ ดูไม่ออกถึงอารมณ์สั่นไหวแม้เพียงนิดเดียว จ้องมองกลุ่มผู้บุกรุกที่ล้อมเขาไว้อย่างหนาแน่นด้วยแววตาเย็นเฉียบ

“ค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหาร ความคิดไม่เลว” ซือมั่วพูดเรียบๆ

แต่กลับไม่รู้ว่าคำพูดสบายๆ ของเขานี้ ทำให้ทั้งเจ็ดคนตกตะลึงมากเพียงไหน

เขาไม่เพียงรู้ถึงแผนการของพวกเขาจากการมองเพียงแวบเดียว ทั้งยังสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้

ทั้งเจ็ดคนมองเขา เกิดความรู้สึกว่าเขาต่างหากจึงจะเป็นราชาเพียงหนึ่งเดียวของฟ้าดินที่ก้มมองดูสรรพชีวิต สูงศักดิ์จนไม่ยินยอมให้ผู้ใดล่วงลํ้า พลังบารมีเช่นนี้สูงกว่าพวกเขาไม่รู้ตั้งกี่ส่วน!

“ลำบากลำบนคิดการนี้เพื่อจะมาสังหารข้าหรือ พวกเจ้าเผ่าเทพช่างใส่ใจนัก” ซือมั่วพูดเรียบๆ นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความดูแคลน ไม่ได้เห็นทั้งเจ็ดคนอยู่ในสายตา

เพียงแต่เมื่อเขาพูดประโยคนี้จบ แววตาที่สงบดังน้ำนิ่งใสก็เคร่งเครียดขึ้นกะทันหัน เปล่งประกายเย็นเฉียบและพูดว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าจะถูกสังหารได้ ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ”

พูดจบร่างของซือมั่วก็เปล่งพลังทลายฟ้า ไอมารทั่วทั้งป่าเขาถูกระดมมาอยู่รอบกายเขาในพริบตา ทั่วทั้งบริเวณมีแต่ไอมารหนาแน่น

สีหน้าคนทั้งเจ็ดเปลี่ยนแปลงไปฉับพลัน ราวกับซือมั่วในสภาพการณ์เช่นนี้ยังสามารถสร้างพลังบารมีได้ขนาดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกผิดคาดยิ่งนัก

“ธงมา!” ทันใดนั้นซือมั่วก็ร้องดัง

ธงผ้าไหมสามเหลี่ยมสีดำตกลงมาจากวังวนกลางอากาศ เมื่อสัมผัสอากาศแล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้น ขณะที่ตกลงในมือซือมั่ว ขนาดของมันก็ใหญ่โตขนาดบังฟ้าปิดดวงอาทิตย์ได้

“นี่มัน…”

“ของวิเศษเผ่ามาร ธงวิญญาณมาร!” ราชาเทวะเส้าเทียนพูดเสียงเครียด

“ธงวิญญาณมาร! ไม่ใช่หายสาบสูญไปตั้งหลายปีแล้วหรือ เหตุใดจึงปรากฎขึ้นในมือเขาได้” จื่อกวงถามอย่างสั่นสะท้าน

พวกเขาตกตะลึงกับของวิเศษในมือซือมั่ว แต่กลับมองข้ามกระแสนุ่มนวลในส่วนลึกของสายตาซือมั่วไป

ธงวิญญาณมารนี้ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาช่วยนำกลับมาเอง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version