ตอนที่ 814
พูดเรื่องจริงอะไร
ทันทีที่เป่ยเหยียนพูดออกมา สีหน้าคนแผ่นดินเทพตะวันตกทั้งสามคนก็เปลี่ยนไปฉับพลัน
เดิมทีขณะที่พวกเขามาถึง สีหน้ายังดูหยิ่งผยองนิดๆ มีความรู้สึกเหนือกว่าที่คลุมเครือสายหนึ่งปกคลุมอยู่
แต่พอถูกเป่ยเหยียนเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจเช่นนี้ ท่าทีทั้งสามก็เปลี่ยนแปลงไปฉับพลัน
ในพริบตานั้น มู่ชิงเกอรู้สึกว่าเป่ยเหยียนตั้งใจพูดเช่นนั้น
หากจะเอ่ยถึงเป่ยเหยียน เขาเป็นราชาเทวะน้อยดินแดนจงซาน แต่ตบะบำเพ็ญกลับอยู่เพียงขั้นถํ้าวิญญาณชั้นแปด เหยียนเสี่ยที่ถูกเขาล้อเล่นเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่ต้องพูดถึง แม้แต่สามคนที่มาจากแผ่นดินเทพตะวันตกเองก็มีตบะบำเพ็ญพอๆ กับเขา
จื้อลู่ที่เคยดูถูกดูแคลนมู่ชิงเกอมากมายครั้งนั้น เวลานี้ก็เข้าขั้นถํ้าวิญญาณชั้นเก้า ที่เหลืออีกสองคน ล้วนเป็นขั้นถํ้าวิญญาณชั้นแปด
การที่เป่ยเหยียนเสียดสีอีกฝ่ายเช่นนี้ไม่นึกหวั่นเกรงพวกเขาจะเอาเรื่องเขาหรือ หรือเป็นดังที่เหยียนเสี่ย พูดไว้ว่าเขาถือว่าตนมีหมิงถงอยู่
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วนิดหนึ่ง แววตาครุ่นคิด
“เป่ยเหยียน เจ้าพูดพล่ามอะไร” คนข้างหลังจื้อลู่ คนหนึ่งเอ่ยต่อว่า
‘เขาคืออู่โย่วราชาเทวะน้อยแดนเซวียนเช่อ’ ชูเนี่ยนถ่ายทอดเสียงบอกมู่ชิงเกอ
มีนางอยู่ข้างๆ ช่วยลดความกระอักกระอ่วนของมู่ชิงเกอที่ไม่รู้จักใครเลยไปได้
เป่ยเหยียนหัวเราะ “พูดพล่ามหรือ ข้าไม่ได้พูดพล่าม หรือว่าที่กองทัพเผ่ามารมาชุมนุมอยู่นอกแผ่นดินเทพตะวันตกเป็นของปลอมหรือ ข่าวได้แพร่ไปทั่วแผ่น ดินเทพทั้งสี่สมุทรแล้ว ข้าคิดแทนพวกเจ้านะรีบๆ จัดการให้เสร็จเร็วๆ พวกเจ้าจะได้รีบกลับไป หากเกิดสู้รบกันขึ้นมาจริง พวกเจ้าสามราชาเทวะน้อยไม่อยู่จะไม่น่าเสียดายมากหรือ”
“เป่ยเหยียน เจ้าอย่านึกว่าอาศัยราชาเทวะจงซานให้ท้ายแล้วจะพูดอะไรก็ได้ ควรรู้ว่าที่นี่เป็นเกาะโหลวหลาน ไม่ใช่แผ่นดินเทพตะวันออก หากเจ้ายังคงแกว่งเท้าหาเสี้ยน หมิงถงข้างตัวเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้” คนข้างหลังจื้อลู่อีกคนก็ส่งเสียงเตือน
‘เขาคือจี๋เผยราชาเทวะน้อยดินแดนกู่เฟิ่ง’ ชูเนี่ยนถ่ายทอดเสียงมาอีกครั้ง
เวลานี้มู่ชิงเกอรู้หมดแล้วว่าราชาเทวะน้อยเหล่านี้ ใครเป็นใครบ้าง
“ข้าเพียงเตือนด้วยความหวังดี จะกลายเป็นแกว่งเท้าหาเสี้ยนได้อย่างไร” เป่ยเหยียนถามอย่างงุนงง ท่าทีนั้นดูใสซื่อบริสุทธิ์มาก
มู่ชิงเกอคิดแล้วก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า ‘เป่ยเหยียนเป็นราชาเทวะน้อยจงซานนั้นไม่ผิด แต่ฟังจากน้ำเสียงพวกเขาหรือว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่ภายใน’
ชูเนี่ยนพยักหน้านิดๆ ถ่ายทอดเสียงตอบว่า ‘เป่ยเหยียนเป็นหลานชายแท้ๆ ของราชาเทวะจงซาน พ่อแม่เขาตายไปตั้งแต่หลายปีก่อนโน้นแล้ว นับว่าได้ราชาเท วะจงซานเลี้ยงมาจนโต’
มู่ชิงเกอจึงได้เข้าใจแจ่มแจ้ง เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเป่ยเหยียนจึงได้ปากกล้าเช่นนี้ ส่วนราชาเทวะน้อยคนอื่นก็ทำได้เพียงเอ่ยตักเตือนเท่านั้น
‘ว่ากันว่า ราชาเทวะจงซานรักหลานชายคนนี้มาก ดูแลเหมือนลูกตัวเองแท้ๆ ทั้งยังให้ท้ายเขามาก ครั้งหนึ่งขณะที่เป่ยเหยียนออกท่องเที่ยวเคยถูกราชาเทวะน้อยดินแดนซุ่ยชิงดูหมิ่น ราชาเทวะจงซานก็ไม่สนใจฐานะของตนไปยังดินแดนซุ่ยชิงด้วยตัวเองใช้ฝ่ามือเดียวสังหารราชาเทวะน้อยดินแดนซุ่ยชิง ภายหลังหมิงถงจึงได้ขึ้นรับตำแหน่ง เรื่องราวเช่นนี้ไม่รู้ว่าสองฝ่ายคุยกันอย่างไร นอกจากไม่เป็นศัตรูคู่อาฆาตแล้วกลับทำให้เป่ยเหยียนกับหมิงถงสนิทสนมกัน นิสัยหมิงถงนั้น เก็บตัวคล้ายกับอวี๋หยาดินแดนฮ่วนเยวี่ยคนก่อนนั้น แต่กลับเป็นเพื่อนสนิทกับเป่ยเหยียน’ ชูเนี่ยนอธิบายเรื่องราวของเป่ยเหยียนแบบย่อๆ ให้มู่ชิงเกอฟัง
มู่ชิงเกอฟังแล้วก็พอจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นบ้าง
เกี่ยวกับเรื่องราวเก่าแก่ของดินแดนจงซานกับดินแดนซุ่ยชิงนั้น นางไม่ได้สนใจ รู้เพียงว่าในกลุ่มราชาเทวะน้อยเหล่านี้ใครเป็นพวกใคร แล้วมีแนวโน้มไปทาง ไหนก็พอแล้ว
จื้อลู่มีทีท่าเป็นปรปักษ์ต่อนาง การปะทะทางสายตาเมื่อครู่นี้ มู่ชิงเกอเข้าใจดี แม้เวลาผ่านไปแล้วหลายปี จื้อลู่คนนี้ก็ยังคงดูถูกดูแคลนนางที่เพิ่งบินขึ้นมาจากโลกข้างล่าง แล้วได้เป็นราชาเทวะน้อยดินแดนเทพอยู่เหมือนเดิม
ด้านเหยียนเสี่ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนอู่โย่วกับจี๋เผยสองคนย่อมเป็นพวกเดียวกับจื้อลู่
เป่ยเหยียนกับหมิงถงนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่ดูทีท่าเป่ยเหยียนแล้วราวกับเป็นไปได้ทั้งสองทาง ไม่รู้เป็นมิตรหรอศัตรู ที่เหลืออีกสามคนก็ตัดทิ้งได้เลย
ส่วนนางในสายตาคนทั้งหมด ย่อมเป็นพวกเดียวกับชูเนี่ยน
ความจริงก็เป็นเช่นนี้
ที่นี่มีเพียงสิบเอ็ดคน ก็แบ่งออกเป็นห้ากลุ่มย่อย เห็นได้ว่าความซับซ้อนของใจคน ภายใต้ผลประโยชน์ยิ่งคาดเดาได้ยากนัก
ใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ของเป่ยเหยียน ทำให้อู่โย่วกับจี๋เผยสองคนยากที่จะตอบโต้ได้
ความสนใจของจื้อลู่ย้ายออกจากมู่ชิงเกอชั่วคราว เขามองเป่ยเหยียนและยิ้มเย็นเฉียบ “เพียงแค่พวกเผ่ามารกระจอกเท่านั้น พวกเขาก็แค่วางท่าเฉยๆ เจ้าคิดว่าพวกเขากล้าทำสงครามกับแผ่นดินเทพตะวันตกจริงหรือ”
“เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่กระมัง” เป่ยเหยียนหัวเราะ “ราชามารรุ่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินเทพมาร หากเขาจะรบกับแผ่นดินเทพตะวันตกจริง นึก
ว่าเขาจะกลัวหรือ”
‘อันดับหนึ่งหรือ’ มุมปากมู่ชิงเกอมีรอยยิ้มวาดผ่านอย่างรวดเร็ว รู้สึกรื่นรมย์นัก
“ฮึ อันดับหนึ่งอะไร พวกเผ่ามารคุยโม้กันเองทั้งนั้น” จื้อลู่แค่นเสียงอย่างดูแคลน ท่าทีหยิ่งยโสนั้น ทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน “พวกตระกูลมู่ทารุณโหดร้าย ราชามารยิ่งขึ้นชื่อเรื่องการเข่นฆ่า ชื่อเสียงชั่วร้ายนั้นเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น ไม่ได้อาศัยฝีมือจริงแท้อะไรหรอก”
“แล้วเหตุใดข้าจึงเคยได้ยินว่า ไม่นานนี้ราชาเทวะของแผ่นดินเทพไม่น้อยล้วนวิ่งไปลอบสังหารราชามาร ผลสุดท้ายทั้งตายทั้งเจ็บ กระทั้งมีคนกลัวจนฉี่ราด เอ๊ะ จริงด้วย เหมือนว่าทั้งสี่ราชาเทวะแผ่นดินเทพตะวันตกล้วนไปกันหมดเลยนี่ เป็นอย่างไรบ้าง เหล่าราชาเทวะยังคงสบายดีอยู่ไหม” เป่ยเหยียนพูดแล้วก็แสดงท่าทางเป็นห่วง มองจี๋เผย “ได้ยินว่าราชาเทวะกู่เฟิ่งแขนขาดไปข้างหนึ่ง เวลานี้คงดีขึ้นบ้างแล้วนะ”
‘ฮ่าๆๆๆ!’ มู่ชิงเกอหัวเราะในใจไม่หยุด
เป่ยเหยียนคนนี้นางรู้สึกดีด้วยไม่น้อยเลยจริงๆ
เรื่องที่พูดช่างตรงใจนางโดยแท้อีกทั้งที่พูดก็ล้วนเป็นเรื่องจริง!
“เป่ยเหยียน!” จื้อลู่ตวาดอย่างโมโห
อู่โย่วกับจี๋เผยสองคนก็มองเขาอย่างโกรธแค้น แสดงทีท่าว่าหากพูดไม่เข้าหูก็จะเริ่มใช้กำลังแล้ว
“หา” เป่ยเหยียนขานรับด้วยใบหน้าใสซื่อ
จื้อลู่ว่า “หากเจ้ายังขืนพูดพล่ามอีก ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าให้ดีแน่! เรื่องลอบสังหารนั้นก็เพื่อความสุขสงบของเผ่าเทพ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าราชามารนั้นกลับตํ่าช้าไร้ยางอายถึงกับลอบวางกับดักทำร้ายจนราชาเทวะแผ่นดินเทพบาดเจ็บสาหัส แค้นนี้ข้าจื้อลู่จะต้องทวงคืนจากราชามารสักวันหนึ่ง”
คำพูดเขา ทำให้นัยน์ตามู่ชิงเกอผุดความสนุกสนาน แววตาเย็นเฉียบ
‘ฮึ อาศัยเจ้าน่ะหรือ’ เหยียนเสี่ยแค่นเสียงอย่างดูแคลน
จื้อลู่มองไปที่เขา สายตาทั้งคู่ปะทะกันจนเกิดประกายไฟ
ทั้งสองคนล้วนมีนิสัยยโสโอหัง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ไม่รู้มีปมในใจกันมาตั้งแต่ปีไหน เวลานี้เจอกันอีกครั้งไม่มีทางเปลี่ยนมาเป็นมิตรกันได้แน่นอน
“เหยียนเสี่ย เจ้ารนหาที่ตาย” จื้อลู่พูดเสียงตํ่า
เหยียนเสี่ยพูดด้วยสายตาหยามเหยียดว่า “เป็นเจ้ารนหาที่ตาย หรือข้ารนหาที่ตายกันแน่”
‘ไม่ต้องเถียงกันหรอก พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนรนหาที่ตาย’ มู่ชิงเกอพูดในใจเงียบๆ
“โธ่เอ๊ย! จริงๆ เลย เหตุใดจึงปะทะฝีปากกันขึ้นมาได้ ตกลงพวกเจ้าจะประลองกันหรือไม่ กติกาเดิม ต่างคนต่างท้าประลอง ผู้ชนะเป็นเจ้า” เป่ยเหยียนยืนอยู่ตรง กลางแล้วพูดออกมา