ตอนที่ 822
อายุน้อยปานนี้เชียวหรือ
‘ไม่นึกว่าอาจารย์ปรุงยาของแผ่นดินเทพมาร ล้วนอาศัยอยู่ในแผ่นดินเทพใต้’ คำพูดของเจ้าสำนักวิถีโอสถทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจในทันที
มิน่าเล่า เมื่อก่อนนี้นางยังสงสัยอยู่ว่าเหตุใด เมื่อเดินทางในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร น้อยครั้งนักที่จะได้พบอาจารย์ปรุงยา
ที่แท้ พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ที่แผ่นดินเทพใต้กันนี้เอง
มู่ชิงเกอเคยไปแผ่นดินเทพใต้ครั้งหนึ่ง ก็คืองานเลี้ยงฉลองวันเกิดของราชาเทวะอู๋หวา เพียงแต่ดินแดนอู๋หวาอยู่ริมขอบมหาสมุทรดวงดาว นางจึงไม่ได้ไป ท่องแผ่นดินเทพใต้ที่อื่นอีก จึงว่าไม่ได้ที่นางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
“ข้าไปหาพวกเขาแล้ว ขอให้พวกเขาช่วยร่วมออกแรงเรื่องท่านอาจารย์ พวกเขาไม่ปฏิเสธ เพียงแต่มีข้อแม้ข้อหนึ่ง” เจ้าสำนักวิถีโอสถกล่าว
“ข้อแม้อะไรหรือ” มู่ชิงเกอถาม
เจ้าสำนักมองมู่ชิงเกออย่างจริงจัง สักครู่หนึ่ง เขาจึงพูดเสียงเครียดว่า “พวกเขาต้องการพบเจ้า”
“ต้องการพบข้าเท่านั้นเองหรือ” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว แอบรู้สึกว่าเรื่องไม่น่าจะง่ายดายปานนั้น
เจ้าสำนักพยักหน้าว่า “นี่คือเงื่อนไขที่พวกเขาต้องการ ดังนั้น หากพวกเราไม่อยากละทิ้งกำลังเกื้อหนุนส่วนนี้ไป เจ้าก็ควรต้องไปเองสักเที่ยว”
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ
นางยังไม่ได้ไปเฟิ่งหลินเยี่ยตู้จึงยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ต่างๆ หากไปแผ่นดินเทพใต้เวลานี้เลยก็ต้องเสียเวลามาก แต่เหล่าอาจารย์ปรุงยาก็เป็นขุมกำลังที่มองข้ามไม่ได้จริงๆ
ไม่ใช่เพียงแค่สงครามฟื้นคืนตระกูลครั้งนี้เท่านั้น แต่ในสงครามครั้งต่อๆ ไปในอนาคต อาจารย์ปรุงยาเป็นพลังที่มองข้ามไม่ได้เลยอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นการร่วมมือกับพวกเขาเป็นเรื่องเพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
เวลานี้โอกาสมาถึงตรงหน้านางแล้ว นางย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
นัยน์ตามู่ชิงเกอเปล่งประกายบอกเจ้าสำนักว่า “ได้ ข้าจะไปกับท่านด้วย”
พูดจบนางก็เดินออกไปด้านข้างหลายก้าว แล้วปล่อยโห่วออกมา พอโห่วออกมาได้ก็บ่นทันที “นังหนู กะอีแค่ดินแดนเทพเพียงไม่กี่แห่งต้องเตรียมการอะไรมากมายนักหนา ในเมื่อศัตรูพวกเราก็เหมือนกันหมด พวกเราแค่บุกขึ้นหน้าเข้าไปสังหารอย่าให้เหลือหลอเท่านั้นเอง”
“ดูถูกกำลังดินแดนเทพไม่ได้หรอก ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องนี้จะให้สะเทือนไปทั่วแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรไม่ได้”
เผ่าอี้กำลังจ้องตาเป็นมัน ทั้งมีแผนการพลิกผัน แผ่นดินเทพมารจะเสียกำลังเพราะรบกันเองมากเกินไปไม่ได้ นี่คือสัญญาใจของมู่ชิงเกอกับซือมั่ว
ซวีซิวเคยบอกนางว่าบรรพชนตระกูลมู่ครั้งนั้นได้เห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้จึงได้ออกจากกรอบความคิดแคบๆ ที่เห็นแต่ความแตกต่างของเทพมารมาช้านาน แต่ราชาเทวะอื่นๆ ต่างมีความคิดเพียงเรื่องอำนาจทรัพยากรของแผ่นดินนี้รวมทั้งตบะบำเพ็ญของตัวเองเท่านั้น
เรื่องของเผ่าอี้หากจะกล่าวอ้างถึง ต้องรอให้นางได้อำนาจจูงใจคนได้สูงกว่านี้แล้วค่อยกล่าวถึง
มู่ชิงเกอรู้สึกในทันทีว่า การฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้าขึ้นมาใหม่และการฟื้นคืนความรุ่งเรืองของตระกูลมู่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงการทำเพื่อเติมเต็มความ ปรารถนาของนางอีกต่อไป นางยังต้องการต้นทุนที่เพียงพอในการเคียงบ่าเคียงไหล่กับซือมั่ว เพื่อเผชิญหน้าการคุกคามที่มาจากภายนอก
“เจ้าไปเฟิงหลินเยี่ยตู้เวลานี้บอกพวกเขาว่าข้ายังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน แล้วให้หยินเฉินมาหาข้า เจ้าวางใจได้ว่าไม่ต้องรออีกนานนัก อย่างสั้นสักหนึ่งเดือน หรืออย่างยาวสักสองเดือน ข้าจะให้เจ้าสังหารคู่แค้นด้วยมือตนเอง” มู่ชิงเกอบอกโห่ว
นิสัยหุนหันพลันแล่นของโห่วถูกมู่ชิงเกอกำราบลงได้สำเร็จ เขาพยักหน้าแล้วจากไปตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ
จากนั้นมู่ชิงเกอจึงกลับมาที่ข้างกายเจ้าสำนักและถามว่า “ตบะบำเพ็ญของศิษย์พี่ฟื้นฟูกลับคืนถึงไหนแล้วหรือ”
เจ้าสำนักยิ้มว่า “ครั้งนั้นขณะออกจากแผ่นดินเทพมารพร้อมท่านอาจารย์ ตบะบำเพ็ญข้าเพิ่งเข้าสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง พออยู่ในโลกแห่งยุคกลางนานเข้า ตบะบำเพ็ญข้าเลยถูกกดอัดเอาไว้ตลอดเวลา ทั้งยังต้องนำมาใช้ข้งานหล่อเลี้ยงค่ายกลสำนักวิถีโอสถทำให้สิ้นเปลืองไปไม่น้อย หลังจากกลับมาครั้งนี้จึงฟื้นคืนมาที่ ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นที่แปด”
“ถ้าเช่นนั้นการเคลื่อนย้ายช่องว่าง ศิษย์พี่สามารถรับไหวหรือไม่” มู่ชิงเกอถามด้วยความกังวล
เจ้าสำนักยิ้ม “ถึงแม้ตบะบำเพ็ญจะต่ำไปหน่อย แต่ร่างกายยังอยู่ในระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง การเข้าออกช่องว่างเคลื่อนย้ายครั้งสองครั้งทำได้ไม่มีปัญหาอะไร”
“เช่นนั้นดีมากเลย พวกเราก็เคลื่อนย้ายไปโดยตรงจะได้ประหยัดเวลา” มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ จูงมือเจ้าสำนัก ยกมือฉีกขาดช่องว่างทันที นำเขากระโดดเข้าไปพร้อมกัน
พอพวกเขาออกมาอีกทีก็มาถึงแผ่นดินเทพใต้แล้ว
“ศิษย์พี่ พวกเขาอยู่ที่ไหนหรือ” มู่ชิงเกอมองเจ้าสำนักแล้วถาม เพื่อกำหนดทิศทางที่แน่ชัด
เจ้าสำนักว่า “เจ้าเคยได้ยินว่าในแผ่นดินเทพใต้ มีภูเขาเซียนแห่งหนึ่งชื่อว่าเปิ่นเฉ่าไหม”
เปิ่นเฉ่า!
นัยน์ตามู่ชิงเกอเป็นประกาย คนเป็นอาจารย์ปรุงยาได้ยินชื่อนี้แล้ว ย่อมรู้ได้ทันทีว่าเป็นอะไร เพียงแต่นางกลับเพิ่งเคยได้ยิน ต้องโทษว่าเป็นเพราะตัวเองมีธุระวุ่นวาย ทั้งยังดื่มดํ่าอยู่กับการบำเพ็ญจนไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้เลย
“ภูเขาเซียนเปิ่นเฉ่า เป็นสถานที่อยู่ทางใต้ของแผ่นดินเทพใต้” เจ้าสำนักพูดต่ออีก
มู่ชิงเกอพอจะรู้ที่ตั้งคร่าวๆ ในใจจึงนำเจ้าสำนักเคลื่อนย้ายอีกครั้งมาปรากฎตัวอีกทีที่เบื้องหน้าภูเขาเซียนเปิ่นเฉ่า
มู่ชิงเกอมองภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหมอกเซียนและถามเจ้าสำนักว่า “อยู่ที่นั่นกันหรือ”
ภูเขานั้นยอดเขาแหลมสูงชัน ลักษณะเป็นภูเขาทรงกรวย ตั้งแต่เชิงเขาถึงกลางเขามีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ มีเพียงยอดเขาที่ทะลุหมอกขึ้นไปเห็นได้ชัดเจน
“ที่นี่ทุกแห่งหนล้วนมีสมนไพรไว้ใช้ปรุงยา เป็นสวรรค์ของเหล่าอาจารย์ปรุงยา” เจ้าสำนักอธิบายให้มู่ชิงเกอฟัง
มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ มุ่งหน้าเข้าไปในภูเขาเปิ่นเฉ่าพร้อมกับเจ้าสำนัก
ในเวลาเดียวกันนี้ บริเวณภูเขาเปิ่นเฉ่าก็มีกลุ่มผู้คนชุมนุมกันอยู่ราวสี่ห้าร้อยคน กำลังวิพากษ์วิจารณ์พูดคุยกันในบริเวณที่โล่งแห่งหนึ่ง
พวกเขาต่างนุ่งห่มชุดเรียบๆ มีกลิ่นอายของผู้อยู่เหนือมนุษย์ธรรมดา อีกทั้งบนร่างกายพวกเขาต่างมีกลิ่นหอมจางๆ พลิ้วมาตามลม เป็นกลิ่นหอมชนิดพิเศษจากตัวยาสมุนไพร
“ลูกศิษย์คนเล็กของเทพโอสถคนนี้ ไม่รู้ว่าจะมีฝีมือขนาดไหนเชียว” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“ที่แน่ๆ หากมีฝีมือพวกเราก็ยอมฟังคำสั่ง หากไม่มีฝีมืออย่าว่าแต่เป็นลูกศิษย์คนเล็กของเทพโอสถเลย ต่อให้เทพโอสถมาเองก็แก้ธรรมเนียมนี้ไม่ได้” อีก
คนหนึ่งพูด
เวลานี้ พลันมีเสียงดังลงมาจากบนท้องฟ้า เข้ามาในหูพวกเขา “ทุกท่าน ข้าพาศิษย์น้องเล็กกลับมาแล้ว โปรดเปิดประตูเขาให้ด้วย”
นี่เป็นเสียงของเจ้าสำนักวิถีโอสถ พอได้ยินคำพูดเขาแล้ว เหล่าอาจารย์ปรุงยาหลายร้อยคนนี้ต่างหยุดพูดคุย มีบางคนลุกขึ้นมา หลังจากสบตากันแล้ว พยักหน้าพร้อมกัน เปิดค่ายกลป้องกันนอกภูเขาเซียนเปิ่นเฉ่า
เบื้องหน้ามู่ชิงเกอกับเจ้าสำนัก ปรากฎปากทางโปร่งแสง เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
พอทั้งคู่เดินเคียงกันเข้าไปในภูเขาแล้ว ปากทางนั้นก็กลับคืนหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิด
“ขณะที่ท่านอาจารย์ยังอยู่ อาจารย์ปรุงยาเหล่านี้ต่างฟังคำสั่งของท่าน เรื่องครั้งนั้น…เฮ้อ…” เจ้าสำนักพูดแล้วก็ถอนใจ
“ศิษย์พี่มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย” มู่ชิงเกอกล่าว
เจ้าสำนักกลับส่ายหน้า “รอให้พบพวกเขาแล้ว มีเวลาจะบอกเจ้าอย่างละเอียด”
มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ เดินตามเจ้าสำนักเข้าไปในภูเขาจนมาถึงที่โล่ง และมองเห็นสี่ห้าร้อยคนขึ้น
พอนางปรากฎตัว สี่ห้าร้อยคนนั้นต่างแสดงอาการตกตะลึง คิดในใจว่า ‘เหตุใดจึงอายุน้อยเช่นนี้!’