Skip to content

พลิกปฐพี 831

ตอนที่ 831

เยือนเก้าชั้นฟ้าอีกครั้ง!

เขาโง่หรือเปล่า

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้คนทั้งหมดในตำหนักตกตะลึงไป

แม้กระทั่งหยินเฉินกับไป๋สี่ยังอดมองไปที่มู่ชิงเกอแวบหนึ่งไม่ได้ ยังดีที่พวกเขาต่างรู้ซึ้งถึงนิสัยของนางดี ดังนั้นถึงแม้จะตกใจแต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย มองเพียงแวบเดียวแล้วก็ละสายตากลับมาอย่างเงียบสงบ

นัยน์ตาไป๋สี่ผุดแววขบขัน กวาดผ่านเหล่าราชาเทวะที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างดูแคลน นึกนินทาในใจว่า ‘ดูสิ อะไรคือความห่างชั้น พวกเจ้าใช้สารพัดวิธี แย่งชิงกันทั้งทางแจ้งทางลับ ชิงเกอของพวกเรากลับสามารถเอาออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย นี่สิถึงจะเรียกว่า ใจกว้าง!’

แน่นอนว่าคำนินทาในใจของนาง คนนอกย่อมไม่ได้ยิน

คนเดียวที่สามารถรับรู้ได้นั้นก็คือมู่ชิงเกอที่มีพันธสัญญากับนาง

ดังนั้นหลังจากนางนินทาแล้ว มู่ชิงเกอก็เหล่มองไป๋สี่แวบหนึ่งแล้วละสายตากลับ

มู่ชิงเกอมองเหล่าราชาเทวะจดจำภาพความสะท้านใจของพวกเขาไว้จนหมดสิ้น

ผ่านไปครู่หนึ่งราชาเทวะเซียนเหนี่ยวจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้ารู้ถึงความลํ้าค่าของเคล็ดวิชาเทวะหรือไม่ถึงยอมนำออกมาให้พวกเราได้ร่วมชื่นชม ด้วยเช่นนี้!”

พอเขาพูดประโยคนี้ออกมาแล้วมู่ชิงเกอกลับหัวเราะ “เคล็ดวิชาเทวะเป็นของวิเศษตระกูลมู่เรา มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน”

หยุดลงเล็กน้อยแล้วนางก็พูดต่อว่า “หมื่นปีก่อน ตระกูลมู่ประสบเคราะห์มหันต์สาเหตุใหญ่นั้นไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นละโมบในเคล็ดวิชาเทวะหรือ”

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วเหตุใดยังจะเอาออกมาอีก” ราชาเทวะสือฟางถาม

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ พูดด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจแม้แต่นิดว่า “ทำไมจะไม่เล่า”

ทำไมจะไม่

คำถามนี้…

ราชาเทวะสือฟาง เซียนเหนี่ยว ซุยชิง จินกวง เฝินไห่ทั้งห้าดินแดนเทพต่างพูดไม่ออก หันมองหน้ากันเอง ราชาเทวะจงซานที่นิ่งเงียบมาตลอดเวลากลับเอ่ยปากขึ้นแล้ว

น้ำเสียงของเขาทั้งเบาทั้งเย็น

ความเย็นชนิดนั้นไม่ใช่เพราะความไม่แยแส แต่เกิดจากการฝึกวิชาของตัวเขาเอง จึงมักทำให้คนรู้สึกว่ามีความลึกลํ้าเย็นเฉียบตลอดเวลา

“ช่างมีน้ำใจกว้างขวางความคิดเปิดกว้าง พวกเรายอมรับว่าไม่สามารถเทียบเคียงได้หากเจ้าสามารถทำได้ตามที่เจ้าพูดไว้ทั้งหมด เรื่องนี้ข้าดินแดนจงซาน ยินดีเข้าร่วมด้วย”

มู่ชิงเกอออกจะเกินคาดอยู่บ้าง นางนึกไม่ถึงว่าคนแรกที่แสดงทีท่าออกมานั้นจะเป็นราชาเทวะจงซาน เป็นเพราะความเย้ายวนของเคล็ดวิชาเทวะหรือ

เรื่องนี้ขอเพียงมีคนเดียวที่แสดงทีท่า นอกนั้นก็จะง่ายแล้ว

คำพูดของราชาเทวะจงซานทำให้ราชาเทวะอื่นๆ ผิดคาด แต่คำพูดต่อมาก็ยิ่งทำให้พวกเขาตกใจมากขึ้น “ที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยินยอมช่วยเจ้าเชิญพวกเรามานั้นก็หมายความว่าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยได้ตกลงใจที่จะช่วยเจ้าอีกแรงหนึ่งแล้ว”

ในตำหนักเงียบสงบลงในทันที

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยังคงมีท่าทางเกียจคร้านเหมือนเดิม ดูไม่ออกถึงอารมณ์ยินดียินร้ายในเวลานี้

ส่วนคนอื่นๆ ความจริงก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่พอถูกราชาเทวะจงซานเปิดโปงออกมาเช่นนี้อีกทั้งราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธก็ยิ่งทำให้พวกเขาต้องครุ่นคิดไตร่ตรองกันอีกครั้ง

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเป็นยอดฝีมือแห่งแผ่นดินเทพตะวันออก ขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นเก้า หากวัดจากแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร เขาก็อ่อนแอกว่าราชาเทวะเส้าเทียนแผ่นดินเทพตะวันตกเพียงนิดเดียว

ความอ่อนแอนี้สามารถชดเชยได้หรือพูดได้ว่า หากเขาสู้ตายกับราชาเทวะเส้าเทียนก็จะคาดเดาผลแพ้ชนะได้ยากมาก

เขายืนอยู่ฝั่งมู่ชิงเกอแล้ว ทั้งเวลานี้ได้เพิ่มราชาเทวะจงซานมาอีกคน…

ทั้งห้าคนต่างมองหน้ากัน เรื่องตระกูลมู่ครั้งนั้น พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมด้วย เรื่องในครั้งนี้เดิมพวกเขาก็ไม่คิดเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

เพียงแต่เวลานี้มู่ชิงเกอเชิญพวกเขามา ทั้งยังมีของล่อใจมากมายถึงเพียงนี้ ต้องการแค่ให้พวกเขาแสดงทีท่าเท่านั้น

ไตร่ตรองกันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งห้าคนก็ตัดสินใจได้ในที่สุด

“เอาล่ะ ตระกูลมู่มีสายเลือดเทพสงคราม เป็นเทพสงครามของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร เรื่องครั้งนั้นพวกเราได้วางเฉยไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้นายน้อยมู่เอ่ยชัก ชวนอย่างจริงใจ หากพวกเราปฏิเสธอีกก็คงจะไม่ถูกต้องนัก” ราชาเทวะดินแดนซุยซิงเปิดปาก

เมื่อมีคนนำร่องอีกครั้ง ที่เหลือสี่คนต่างก็แสดงท่าทีตกลงสนับสนุนมู่ชิงเกอในที่สุด

สัญญาลูกผู้ชายได้บรรลุแล้ว

แต่มู่ชิงเกอกลับบอกพวกเขาว่า “ความจริงข้าก็ไม่ได้ต้องการให้ทุกท่านทำอะไรมากมาย แค่ขณะที่ข้าจัดการเรื่องใหญ่นี้ขอให้ทุกท่านดูแลดินแดนเทพของตัว เองให้มั่นคง ให้แผ่นดินเทพตัวเองมั่นคงก็พอแล้ว”

พูดแล้วนางมองไปที่ราชาเทวะสือฟางกับเซียนเหนี่ยวของแผ่นดินเทพเหนือสองคนแล้วบอกพวกเขาว่า “ราชาเทวะทั้งสองท่าน หลังจากกลับไปแล้ว รบกวน ช่วยจับตามองความเคลื่อนไหวของดินแดนไห่เทียนกับดินแดนเฟิ่งเทียนให้ด้วย”

ราชาเทวะดินแดนสือฟางกับดินแดนเซียนเหนี่ยวสบตากันแล้วพยักหน้า

ราชาเทวะดินแดนไห่เทียนสิ้นชีพในแดนมาร ส่วนหลียวนแห่งดินแดนเฟิ่งเทียนนั้นมู่ชิงเกอต้องจัดการในไม่ช้านี้ เวลานี้ที่ให้พวกเขาจับตาดูเอาไว้ก็เพื่อป้องกัน การตลบหลังจากแผ่นดินเทพเหนือขณะที่นางจัดการเรื่องในแผ่นดินเทพตะวันตก

พูดจบแล้วนางมองไปที่ราชาเทวะดินแดนจินกวง ดินแดนเฝินไห่กับดินแดนซุยชิงแผ่นดินเทพใต้ยิ้มให้พวกเขาแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน ขณะที่ข้าก่อการ รบกวน ราชาเทวะทุกท่านนำผู้กล้าในดินแดนปิดล้อมดินแดนอู๋หวาไว้ไม่ให้ใครออกไปได้แม้แต่คนเดียว”

ราชาเทวะทั้งสามหารือกันสั้นๆ แล้วพยักหน้าตกลง

สุดท้ายแล้วมู่ชิงเกอจึงมองไปที่ราชาเทวะจงซาน “ราชาเทวะจงซาน ความมั่นคงของแผ่นดินเทพตะวันออกต้องอาศัยท่านแล้ว”

ราชาเทวะจงซานออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง สายตากวาดไปที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่ยังคงทั้งอย่างเกียจคร้าน

ส่วนฝ่ายหลังกลับมองดูมู่ชิงเกอ รอฟังคำพูดต่อไปของเขา

“ราชาเทวะ” มู่ชิงเกอมองไปที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยและบอกเขาว่า “เมื่อถึงเวลาแล้วขอเชิญราชาเทวะไปยังแผ่นดินเทพตะวันตกเพื่อช่วยข้าอีกแรง”

นางต้องการถล่มสี่ดินแดนเทพของแผ่นดินเทพตะวันตกในคราวเดียว จำเป็นที่จะต้องมีพลังมหาศาลในการสยบอีกฝ่าย

ซือมั่วเป็นเผ่ามาร เรื่องนี้แค่ให้เขาคุมเชิงอยู่ที่ชายแดนแผ่นดินเทพตะวันตกก็พอแล้ว ไม่ควรเข้ามาโดยตรง ดังนั้นราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจึงเหมาะมากที่สุด อีกทั้งการที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยไปยังแผ่นดินเทพตะวันตกก็ยังไม่ต้องห่วงเรื่องดินแดนฮ่วนเยวี่ยอีกด้วย เนื่องจากยังมีอดีตราชาเทวะคอยคุมเชิงอยู่

ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสบตามู่ชิงเกออยู่นานจึงค่อย พยักหน้าช้าๆ พูดเรียบๆ ว่า “ได้”

เป้าหมายบรรลุแล้ว มุมปากมู่ชิงเกอยกขึ้น ประสานมือให้คนทั้งเจ็ด “เช่นนั้นแล้วข้าต้องขอตัวไปก่อน วันที่เก้าชั้นฟ้ากลับมาอีกครั้งก็คือวันที่เริ่มก่อการ”

พูดจบนางก็หันกาย นำไป๋สี่กับหยินเฉินก้าวเดินออกจากวังราชาเทวะ

เมื่อเดินไปไกลแล้ว ไป๋สี่ก็ถ่ายทอดเสียงมาถามด้วยความสงสัยว่า ‘เคล็ดวิชาเทวะนั้นชิงเกอหามาได้ด้วยความยากลำบาก เหตุใดจึงให้พวกเขาง่ายๆ เล่า’

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ อย่างไม่ใส่ใจ ‘ให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะฝึกได้หรือ ที่พวกเขาต้องการไม่ใช่วิชาในเคล็ดวิชาเทวะ แต่เป็นความลับในนั้นต่างหาก อีกทั้งยิ่ง ยอดฝีมือเผ่าเทพมารมีจำนวนมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งยินดี’

คำพูดมู่ชิงเกอทำให้ไป๋สี่กับหยินเฉินไม่เข้าใจ นัยน์ตาผุดความสงสัยขึ้นมา

แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มโดยไม่ได้อธิบายมากกว่านี้ นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วบอกพวกเขาว่า “ไปเถอะ พวกเราต้องกลับไปเยือนเก้าชั้นฟ้ากันแล้ว”

เก้าชั้นฟ้า แผ่นดินเทพตะวันตก

หินลอยที่แตกหักเหล่านั้นยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศโดยไม่กระจายหายไปเหมือนเมื่อหมื่นปีที่แล้ว ราวกับว่านี่คือจิตวิญญาณของตระกูลมู่ที่ถึงแม้จะถูก ทำลายสิ้นแต่ก็ยังไม่สลายหายไป

ในท้องฟ้าที่แจ่มใสปรากฎรอยแยกขึ้นกะทันหัน เงาร่างของคนสามคนเดินออกมาจากภายในนั้น ค่อยๆ ร่อนลงบนหินลอยก้อนหนึ่ง

สามคนนี้ก็คือมู่ชิงเกอ หยินเฉินและไป๋สี่

รอบตัวพวกเขาล้วนเป็นหินลอยที่ล่องลอยอยู่ทั่วไป ท่ามกลางหินลอยเหล่านี้ เมื่อจับจ้องมองดูรอบด้าน ความรู้สึกไม่แน่นอนต่อชีวิตก็พุ่งเข้ามาปะทะที่ใบหน้า ห่อหุ้มตัวคนไว้ภายใน

“พวกเจ้าว่าการที่หินลอยเหล่านี้รวมตัวกันไม่กระจายหายไป เพราะกำลังรออะไรอยู่หรือไม่” มู่ชิงเกอถามขึ้นกะทันหัน

การถามอย่างกะทันหันนี้ทำให้ไป๋สี่กับหยินเฉินต่างตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี

พวกเขามองไปทางมู่ชิงเกอ พบว่าคิ้วนางขมวดแน่น แววตาลึกซึ้งราวกับกำลังครุ่นคิดไตร่ตรองเรื่องบางอย่างที่สำคัญมาก ท่าทางเคร่งเครียดของนางเช่นนี้ พบเห็นได้ยากมาก แต่ไป๋สี่และหยินเฉินก็รู้กันอยู่ว่าไม่สมควรไปรบกวนนางในเวลานี้

ขณะที่ทั้งสามคนเพิ่งปรากฎตัวบนหินลอย บนพื้นดินนอกหินลอยก็ปรากฎเงาร่างผู้คนจำนวนไม่น้อยขึ้น พวกเขาต่างแอบซุ่มมาที่นี่ ขับไล่คนนอกที่อยู่ใน บริเวณเก้าชั้นฟ้าออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้บริเวณนี้

คนเหล่านี้ได้ตระเวนอยู่ในบริเวณรอบนอกของเก้าชั้นฟ้ามาหลายวันแล้ว เพื่อรอคอยการปรากฎตัวของมู่ชิงเกอ

เวลานี้มู่ชิงเกอปรากฎตัวแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องกลบเกลื่อนร่องรอยตัวเองอีกต่อไป เข้ามาใกล้ถิ่นที่อยู่เดิมด้วยความรู้สึกฮึกเหิม

‘ในที่สุดเก้าชั้นฟ้าก็จะได้ก่อตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วงั้นหรือ’

คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในจิตใจคนทั้งหมดแทบจะพร้อมกัน

คนที่พากันมาที่นี่ล้วนเป็นตระกูลมู่เหลือเดน มีทั้งที่ออกจากแผ่นดินเทพมารไปแล้ว มีทั้งที่ยังคงอยู่ในแผ่นดินเทพมาร ทั้งองครักษ์เขี้ยวมังกรและองครักษ์ปีก มังกรที่กระจายอยู่ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ต่างก็รีบรุดมากัน

ที่ไม่ได้มานั้นคือกลุ่มซ่งเทียนจี๋

ไม่ใช่พวกเขาไม่มาแต่เป็นเพราะพวกเขามีหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมายจากมู่ชิงเกอ

คนเหล่านี้มาชุมนุมพร้อมกันใต้เก้าชั้นฟ้า มีจำนวนร่วมหลายหมื่นคน

แน่นอนว่าจำนวนคนเหล่านี้เมื่อเทียบกับดินแดนเทพแล้ว นับว่าน้อยจนไม่ต้องพูดถึง แต่ก็ถือเป็นกำลังสุดท้ายของตระกูลมู่

พวกเขาชุมนุมอยู่ด้วยกัน แหงนหน้าขึ้นไปมองดู เงาหลังสีแดงที่ยืนอยู่บนหินลอยของเก้าชั้นฟ้าพร้อมกัน

เงาหลังนั้นสูงโปร่งโดดเด่น ดูสง่างามหาใดเปรียบได้!

ซวีซิวกับราชครูยืนอยู่คู่กัน จับจ้องเงาหลังมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่เคร่งขรึม

ด้านหลังพวกเขายังมีมั่วหยาง โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เซวี่ยนหยา เสวี่ยหยา มู่เฟิง มู่เฉิน มู่เผิงเป็นต้น

เวลานี้พวกเขาล้วนตื่นเต้นพร้อมทั้งเฝ้ารอด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

คนเหล่านั้นมีจำนวนมากที่เพิ่งมาถึงเก้าชั้นฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นหินลอยมากมายที่ล่องลอยบนท้องฟ้า พวกเขาก็ยากที่จะวาดภาพถึงความเกรียงไกรเก้าชั้น ฟ้าของตระกูลมู่ในอดีตนั้นได้

ดังนั้นพวกเขาจึงเฝ้ารอ เฝ้ารอให้มู่ชิงเกอสร้างความเกรียงไกรนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ให้พวกเขาได้เห็นสภาพที่แท้จริงของเก้าชั้นฟ้าว่าเป็นเช่นไร

แต่ปัญหาคือ…จะสร้างใหม่ได้อย่างไร

เก้าชั้นฟ้าโดนทำลายจนเป็นเช่นนี้ หินลอยนับพันบ้างก็ใหญ่มาก บ้างก็เล็กมาก จะประกอบพวกมันขึ้นมาเพื่อกลับคืนความรุ่งเรืองในอดีตได้อย่างไร

ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีนั้น คนตระกูลมู่บนพื้นทั้งหมดต่างครุ่นคิดถึงปัญหานี้

ซวีซิวกับราชครูสบตากันแล้ว ทั้งคู่ต่างเหินฟ้ามุ่งหน้าไปยังก้อนหินลอยที่พวกมู่ชิงเกอยืนอยู่

หินลอยนี้ไม่ได้ใหญ่มากที่สุดแต่ก็ไม่ได้เล็กนัก

สามารถจุคนเป็นร้อยได้โดยไม่รู้สึกเบียดเสียด ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีเพียงห้าคนเท่านั้น

ซวีซิวกับราชครูลงไปบนหินลอย เมื่อเห็นความเสื่อมโทรมของเก้าชั้นฟ้าในระยะใกล้ ซากผนังกำแพง ซากบ้านเรือนที่ถูกทิ้งร้างนั้นล้วนทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ

แต่ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไม่ได้อยู่นานนัก พวกเขาเก็บงำอารมณ์ความรู้สึกแล้วเดินไปเบื้องหลังมู่ชิงเกอ

เวลานี้มู่ชิงเกอหันหลังให้พวกเขา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ราชครูส่งสายตาให้ซวีซิว ฝ่ายแรกพูดว่า “นายน้อย ทำอย่างไรจึงจะฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้ากลับมาได้ดังเดิม นายน้อยมีความคิดอย่างไรบ้าง”

“แล้วพวกเจ้าคิดกันอย่างไร” มู่ชิงเกอถามเรียบๆ

สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่หินลอยเหล่านั้นตลอดเวลา ไม่ได้หันมองใครเลย หากในเวลานี้มีใครเดิมอ้อมไปที่เบื้องหน้านาง เห็นถึงแววตาในดวงตานาง ก็จะ สามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดคำนวณอย่างละเอียดลออ คำนวณตำแหน่งต่างๆ ของหินลอยเหล่านี้ ทั้งยังจุดที่สามารถต่อเชื่อมกันได้

ราชครูมองไปที่ซวีซิว

ซวีซิวเดินหน้าไปก้าวหนึ่ง บอกมู่ชิงเกอว่า “เก้าชั้นฟ้าตามตำนานเล่าว่า แปลงมาจากยุทธภัณฑ์ชั้นจอมเทพของเทพบรรพบุรุษชิ้นหนึ่ง จิตวิญญาณแห่งอาวุธของยุทธภัณฑ์ชั้นจอมเทพหลับใหลตลอดเวลา ทำให้เก้าชั้นฟ้ากลายเป็นหินภูเขาที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า อยู่มาวันหนึ่งบรรพชนตระภูลมู่ได้ผ่านบริเวณนี้และปลุกจิตวิญญาณแห่งอาวุธให้ตื่นขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ กลายเป็นเจ้าของที่นี่ จึงได้ใช้ที่นี่เป็นฐานราก ก่อร่างสร้างความเกรียงไกรให้ตระภูลมู่ แต่เมื่อหมื่นปีก่อน เก้าชั้นฟ้าประสบเคราะห์กรรมยิ่งใหญ่ ผู้นำตระกูลมู่จึงทำลายเก้าชั้นฟ้าด้วยมือตัวเอง จิตวิญญาณแห่งอาวุธก็ถูกศัตรูที่กล้าแข็งลบล้างไป ดังนั้นเก้าชั้นฟ้าจึงกลายสภาพเป็นเช่นนี้”

จากการบรรยายของซวีซิว มู่ชิงเกอราวกับรับรู้ได้ถึงความโหดเหี้ยมรุนแรงของสงครามเมื่อหมื่นปีที่แล้ว

ซวีซิวบอกเล่าให้นางรู้ถึงที่มาของเก้าชั้นฟ้า ราวกับว่าจะเตือนให้นางรับรู้ว่าการจะฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้านั้นควรจะต้องเริ่มลงมืออย่างไร

สมองของนางผุดประโยคหนึ่งซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ขณะที่ซวีซิวเล่าประวัติความเป็นมา นั้นคือ ‘หินจากเขาอื่นใช้สลักหยกได้’

ความหมายดั้งเดิมของประโยคนี้หมายถึงก้อนหินจากภูเขาลูกอื่น สามารถใช้สลักเสลาเป็นเครื่องหยกต่างๆ ได้

การที่มู่ชิงเกอนึกถึงคำพูดนี้ขึ้นได้กะทันหันก็ทำให้นางนึกขึ้นได้ว่าการฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้านั้น นางสามารถยืมใช้พลังจากภายนอกได้หรือไม่

เก้าชั้นฟ้าถึงขนาดเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นจอมเทพ!

ปัจจุบันจิตวิญญาณแห่งอาวุธถูกลบล้าง ยุทธภัณฑ์ชั้นจอมเทพถูกทำลายจึงได้กลายสภาพเป็นลักษณะกระจัดกระจายอเนจอนาถเช่นนี้

การฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้าก็คือนำทั้งหมดมาหลอมรวมใหม่ หาจิตวิญญาณแห่งอาวุธดวงใหม่ แต่การที่สามารถค้ำจุนเก้าชั้นฟ้า กระทั้งการหาจิตวิญญาณแห่งอาวุธที่แข็งแกร่งกว่าเก้าชั้นฟ้าในครั้งนั้น สมควรไปหาได้ที่ไหน

‘เหมิงเหมิง…’ ในใจมู่ชิงเกอเรียกชื่อนี้ออกมา

แทบจะเพียงแวบแรกที่นางรับรู้นางก็นึกขึ้นได้แล้ว

“นายน้อย ก่อนที่บรรพชนตระกูลมู่จะสูญสิ้น ไม่ได้สั่งเสียเรื่องการฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้าไว้ เวลานี้พวกเราเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่รู้ว่านายน้อยมีความคิดอย่างไร” ซวีซิว ถาม

ราชครูพูดว่า “การฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้า ไม่ใช่เรื่องเพียงวันสองวัน”

“แต่ก็ไม่ได้ยากนักหนา” มู่ชิงเกอพูดขึ้นกะทันหัน

คำพูดของนางทำให้ไป๋สี่กับหยินเฉินหันมอง และทำให้ราชครูกับซวีซิวสองผู้เฝ้ามองหันมองมาด้วยความประหลาดใจ

“ของที่ไม่มี หาสิ่งใหม่มาทดแทนก็ได้แล้ว” มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ

เหตุผลนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่รู้กันทั่ว

แต่ปัญหาอยู่ที่…

“นายน้อย พวกเราจะไปหาที่ไหน” ซวีซิวถาม

มู่ชิงเกอหันกายกลับมากะทันหันมองหน้าคนทั้งสี่ แววตาที่ใสกระจ่างกวาดผ่านคนทั้งสี่แล้วเอ่ยปากว่า “เดี๋ยวข้ามา พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”

พูดจบนางก็หายไปจากที่เดิมโดยไม่ให้โอกาสคนทั้งลี่สอบถามแม้แต่น้อย

มีทั้งสี่คนขวางอยู่ ทำให้คนบนพื้นดินไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอได้จากไปแล้ว

“นายน้อยไปไหน” ซวีซิวถาม

“รอดูไปก็แล้วกัน” ไป๋สี่เชิดปากพูด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version