ตอนที่ 856
เก้าชั้นฟ้า ราชาเทวะหญิง
ในวังราชาเทวะของเก้าชั้นฟ้า ราชาเทวะที่ได้รับเชิญ นอกจากหลียวนราชาเทวะเฟิ่งเทียนต่างมากันครบแล้ว
คนที่มาล้วนมีสัญญากับมู่ชิงเกอ จะไม่สนใจคำเชิญของเขาได้อย่างไร
ในตำหนักหน้านั้นทั้งฝั่งซ้ายขวาต่างจัดเตรียมที่นั่งไว้ฝั่งละสี่ที่ ซึ่งหมายความว่าราชาเทวะที่เชิญมาวันนี้มีแปดคน แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรมีสิบหกดินแดนเทพย่อมมีสิบหกราชาเทวะ ปัจจุบันเหลือเพียงแปดราชาเทวะ เมื่อรวมมู่ชิงเกอแล้วก็มีเพียงเก้าคน ดูจากจำนวนแล้วราวกับมีกำลังลดลงไปมาก
แต่มู่ชิงเกอเข้าใจดีว่าเปลือกนอกที่ดูเหมือนจะอ่อนกำลังนั้น ความจริงยิ่งทำให้การรวมใจของดินแดนเทพต่างๆ หนักแน่นยิ่งขึ้น
บนแท่นที่ยกขึ้นของฝั่งซ้ายขวาต่างวางโต๊ะไว้อีกฝั่งละสองตัว
ตามปกติแล้วแขกที่ถูกจัดไว้ในที่นั้นจะต้องเป็นแขกพิเศษจริงๆ เจ็ดราชาเทวะต่างมองที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่ทั้งสองฝั่ง ทั้งเจ็ดราชาเทวะต่างคาดเดากันว่ายังจะมีใครที่มีศักดิ์สูงกว่าราชาเทวะอย่างพวกเขาอีก ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนั่งอยู่ในที่หัวโต๊ะฝั่งขวา ตาหงส์ที่เกียจคร้านคอยกวาดผ่านบริเวณที่มีผ้าม่านปิดไว้ ดวงตาผุดความสงสัยขึ้นว่าเหตุใดต้องมาแขวนผ้าม่านในที่นี่ด้วย
ราชาเทวะจงซานก็มองผ่านมา สายตาหยุดอยู่ที่ผ้าม่านนั้น ยิ้มแล้วพูดว่า “วังราชาเทวะเก้าชั้นฟ้านี้ข้าก็เคยมา แต่ไม่เห็นมีผ้าม่านแขวนอยู่ที่นี่”
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยละสายตากลับ พิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน หยิบถ้วยสุราบนโต๊ะแล้วใช้นิ้วมือถือเล่นถ้วยไปมา
ท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้ตาสีฟ้าใสของราชาเทวะจงซานดูลึกซึ้งมากขึ้นถามว่า “ดินแดนฮ่วนเยวี่ยขาดราชาเทวะน้อยอีกแล้ว ไม่รู้ว่าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยได้เตรียมการอะไรไหม”
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยค่อยๆ มองไปทางราชาเทวะจงซาน และเห็นสายตาของราชาเทวะคนอื่นๆ ที่มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าในเมื่อมู่ชิงเกอเป็นราชาเทวะเก้าชั้นฟ้าแล้วย่อมเป็นราชาเทวะดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่ได้เป็นอันขาด ในประวัติศาสตร์แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรนั้นยังไม่เคยมีใครเป็นราชาเทวะพร้อมกันทั้งสองดินแดนเทพ ไม่ว่าอยากรู้อยากเห็นอยากนินทาหรืออยากวิจารณ์ก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรพวกเขาต่างก็รอคำตอบของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย
“จงซาน รู้สึกว่าวันนี้ท่านจะพูดมากไปหน่อยแล้ว” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเปิดปาก น้ำเสียงเรียบจนไม่มีความ รู้สึกใดๆ เจือปน
พอเขาพูดเช่นนี้แล้วทุกคนต่างชะงักรีบเก็บสายตาสนอกสนใจกลับไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีก ราชาเทวะจงซานก็ไม่โกรธเคือง เพียงยิ้มแล้วจบเรื่องนี้ไป
เวลานี้ซวีซิวกับราชครูนำคนอีกสองกลุ่มเข้ามาตำหนักหน้า ทำให้เจ็ดราชาเทวะในตำหนักต่างสนใจ
จนเมื่อเห็นชัดถึงผู้ที่มาแล้วตาดำทุกคนต่างหดลง พริบตาเดียวก็เข้าใจว่าที่นั่งสองที่นั้นเหลือไว้ให้ใคร แน่นอนว่าโดยฐานะของคนสองฝ่ายนั้น นั่งอยู่ที่นั้นย่อมถูกต้องแล้ว
“ราชาเฟิ่ง องค์ชาย เชิญนั่งประจำที่” ซวีซิวนำพวกเขาไปยังที่นั่งที่จัดเตรียมไว้แล้ว
ที่ตามหลังราชาเฟิ่งมานั้นคือชูเนี่ยน เมื่อฐานะองค์หญิงเผ่าเฟิ่งหวงของนางถูกเปิดเผย นางย่อมไม่สามารถอยู่ในดินแดนอู๋หวาดำรงตำแหน่งราชาเทวะของเผ่ามนุษย์ได้ แต่นางก็ไม่ได้กลับไปป่าอสูร ยังคงอาศัยอยู่ในเก้าชั้นฟ้า
เพราะไหนๆ นางกับมู่ชิงเกอมีพันธสัญญาเป็นตายด้วยกัน การที่นางอยู่ข้างกายฝ่ายหลังย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ส่วนเผ่าภูติภูเขา คนที่มาคือองค์ชายอินเจวี๋ย
ที่ตามอยู่ข้างหลังเขาเป็นนักรบเผ่าภูติภูเขาสี่คนที่ต่างงดงามสุดแสน รูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าราวกับปีศาจ ผมยาวสีหมึกเขียวพิเศษของพวกเขา ทั้งนัยน์ตาบวกกับผิวพรรณที่เนียนขาวและใบหน้าที่งามลํ้านั้น พอปรากฎตัวในตำหนักก็ทำให้แววตาทุกคนเปล่งประกายทันที ราวกับว่าตำหนักหน้าทั้งหมดสว่างไสวขึ้นฉับพลัน
“เหล่าราชาเทวะสบายดีกันนะ” ราชาเฟิ่งนั่งที่แล้วก็เอ่ยทักทายคนอื่นก่อน
ชูเนี่ยนก็ทั้งอยู่ข้างเขาโดยไม่ได้แยกไป
อีกด้านหนึ่งอินเจวี๋ยก็นั่งลงเช่นเดียวกับราชาเฟิ่งแล้วผงกศีรษะยิ้มให้คนอื่นๆ
เผ่าภูติภูเขาลึกลับตลอดเวลา แม้อินเจวี๋ยมักจะเคลื่อนไหวในเผ่ามนุษย์ด้วยสาเหตุจากโรคของอินเล่อ แต่ก็น้อยมากที่จะเกี่ยวข้องกับราชาเทวะ ดังนั้นเขาจึงแปลกหน้าในหมู่พวกเขา
แต่พวกเขาจำลักษณะพิเศษของเผ่าภูติภูเขาได้จึงสามารถดูออกถึงฐานะของเขาได้อย่างง่ายดาย
เรื่องการล้างแค้นของมู่ชิงเกอทั้งเผ่าเฟิ่งหวงและเผ่าภูติภูเขาต่างเข้ามาร่วมด้วย ในจุดนี้ทั้งเจ็ดคนต่างรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่นึกว่าในวันนี้มู่ชิงเกอยังสามารถเชิญพวกเขามาได้อีก แสดงว่าความสัมพันธ์ของมู่ชิงเกอกับป่าอสูรสนิทสนมกันอย่างมากทีเดียว
ควรรู้ว่าการเชิญทั้งคู่ออกจากป่าอสูรนั้นเกรงว่าแม้แต่พวกเขาทั้งเจ็ดคนยังไม่มีปัญญาทำได้
“คารวะราชาเฟิ่ง คารวะองค์ชาย”
ทั้งหมดต่างทักทายปราศรัยกัน
เวลานี้แขกคนเดียวที่ยังมาไม่ถึงนั้นก็คือหลียวนราชาเทวะของเฟิ่งเทียน แน่นอนว่ามู่ชิงเกอเจ้าของงานก็ยังไม่ปรากฎตัวเหมือนกัน
“ราชาเทวะเฟิ่งเทียนผู้นี้ช่างชักช้าเสียจริง เวลาขนาดนี้ ก็ยังมาไม่ถึงอีก “ราชาเทวะสือฟางที่อยู่แผ่นดินเทพเหนือด้วยกันอดนินทาออกมาไม่ได้
ใครจะรู้ว่าเขาเพิ่งจะพูดจบหยกๆ ก็ได้ยินเสียงจากภายนอกร้องว่า “ราชาเทวะเฟิ่งเทียนมาถึงแล้ว”
พอบ่นถึงก็มาเลย ใบหน้าราชาเทวะดินแดนเทพสือฟาง กระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย เม้มปากนิ่งเงียบไม่ได้พูดอีก
คนยังมาไม่ถึงแต่กลิ่นหอมก็ลอยตามลมเข้ามาถึงในตำหนักหน้า ท่ามกลางสายลมยังมีกลีบดอกไม้ล่องลอยปลิวมาหล่นอยู่บนพื้นในตำหนักหน้าอีกด้วย
ฉากนี้ทำให้ทุกคนพากันมองไปที่ประตู แม้แต่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยังยกหนังตาขึ้นนิดๆ เพียงแต่ แค่แวบเดียวเท่านั้นเขาก็หลุบตาลงอีกราวกับไม่ได้สนใจ
ภายใต้การจับจ้องของผู้คน ชายกระโปรงและอาภรณ์เริ่มปรากฎเข้าสู่สายตาผู้คนในตำหนัก
ตามติดด้วยเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นรูปร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินนวยนาดเข้ามา
นางสวมชุดกระโปรงยาวดูเคร่งขรึมสูงส่ง ท่าทางสง่างาม ใบหน้างามลํ้าไม่มีใครเทียบได้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนล้วนเป็นระดับหนึ่งในหมื่น ตลอดทั้งร่างหาที่ติไม่ได้เลย
แม้แต่ผมที่ยาวเหยียดก็ถูกเกล้าขึ้นมาเป็นมวยสูงอย่างสง่างามทั้งประดับเครื่องประดับที่แสนประณีต นางก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยห่วงท่างดงาม แพรบางด้านหลังราวกับปุยเมฆที่ขับเน้นให้นางเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป เบื้องหลังนางยังมีนางกำนัลสองคนติดตามมาด้วย ต่างก็งามกันไปคนละแบบ
เพียงแต่แม้นางจะงามแสนงาม ผู้คนในตำหนักนอกจากมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นพียงแวบหนึ่ง พอเห็นแน่ชัดว่าเป็นใครแล้วต่างก็ละสายตาออก
พวกเขาต่างเป็นบุคคลระดับสุดยอด มีหรือที่จะถูกยั่วยวนง่ายๆ เพราะสาวงาม
อีกทั้งราชาเทวะเฟิ่งเทียนแม้จะงามแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไร
ชูเนี่ยนมองนางแวบหนึ่งแล้วก็ละสายตาเช่นกัน ถึงแม้นางจะเคยขอพักในดินแดนเฟิ่งเทียนทั้งเคยพูดคุยกับหลียวน แต่ความรู้สึกของนางต่อราชาเทวะหญิงคนนี้ก็ไม่ได้นับว่าดีนัก
หลียวนเชิดคางนิดหนึ่งทำให้ลำคอนางยิ่งยาวระหงมากขึ้น
แต่น่าเสียดายที่มองไม่เห็นสายตาตกตะลึงในความงามจากทั้งทางซ้ายและขวาเลย นี่ทำให้จิตใจนางออกจะขุ่นเคืองเล็กน้อย
แต่นางก็ถูกดึงดูดโดยผ้าม่านที่ปิดบังบัลลังก์ราชาเทวะเบื้องหน้า การตกแต่งที่ประหลาดเช่นนี้ทำให้นางผุดความดูแคลนขึ้นในแววตา คิดในใจว่า ‘ทำเป็นลึกลับ’
ดวงตางามนั้นเกิดประกายเย็นเฉียบแวบหนึ่ง หลียวนเดินไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่เพียงตัวเดียวในตำหนัก