ตอนที่ 863
ฝืนชะตาเพื่อความรัก!
“กองทัพใหญ่เผ่ามารของข้าระดมพลเสร็จแล้ว หากแดนเทพทำเรื่องให้ยุ่งยาก ข้าก็ไม่ถือที่จะแย่งพระ ชายาของข้ากลับมา!” ซือมั่วกล่าวด้วยท่าทีกำแหง
เขาใช้อำนาจคุกคามอย่างโจ่งแจ้ง เจ้าจะทำอะไรข้าได้
“ใครบังอาจโจมตีเก้าชั้นฟ้าของข้าด้วยเรื่องนี้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าเลือดเย็นไร้ปรานี! ข้าเป็นคนถือหางให้ท้ายพรรคพวกตัวเองอย่างถึงที่สุด ในเมื่อข้าใช้เลือดล้างแผ่นดินเทพตะวันตกมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้าเองก็ไม่ถือสาจะไปแผ่นดินเทพใต้ แผ่นดินเทพเหนือสักครั้ง”
“มู่ชิงเกอ! เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว!” ราชาเทวะสือฟางกล่าวด้วยนํ้าเสียงดุดัน
สองคนนี้ใช้อำนาจคุกคามอย่างโจ่งแจ้ง ราชามารยังไม่เท่าไร แต่มู่ชิงเกอเล่า
“มู่ชิงเกอ เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าที่เจ้าสามารถใช้เลือดล้างแผ่นดินเทพตะวันตกแห่งนี้ได้ก็
เพราะอาศัยพวกเราเหล่านี้ด้วยเช่นกัน” ราชาเทวะจินกวงกล่าวขึ้นเช่นกัน
“ข้าอาศัยพวกท่านงั้นหรือ” มู่ชิงเกอกล่าวเสียดสี
ในตอนนี้เอง อินเจวี๋ยกับราชาเฟิ่งก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ท่าทางนั้นแทนคำอธิบายทั้งหมดแล้ว
พวกเขามาจากเผ่าอสูรในป่าอสูร ไม่ใช่เผ่ามนุษย์บุญคุณความแค้นของเผ่าเทพและเผ่ามารไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขามีมิตรภาพต่อมู่ชิงเกอ แน่นอนว่าต้องยืนอยู่ฝั่งนาง
คำถามเสียดสีของมู่ชิงเกอทำให้คนหลายคนพูดไม่ออก
ใช่สิ ศึกครั้งนี้ของมู่ชิงเกอนั้นคล้ายร่วมมือกับพวกเขา แต่พวกเขาทำอะไรบ้าง
ในแผ่นดินเทพเหนือ ดินแดนสือฟางและดินแดนเซียนเหนี่ยวเพียงแค่ควบคุมความสงบของแผ่นดินเทพเหนือ ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ส่วนแผ่นดินเทพใต้ ผู้ที่ลงมือฆ่าราชาเทวะอู๋หวาก็คือราชาเฟิ่ง ไม่ใช่ราชาเทวะสามท่านนั้น
แม้แต่มู่ชิงเกอที่เดิมทีอยากถือราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยไว้เป็นไพ่ตาย แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่มีโอกาสลงมืออยู่ดี
“เหอะ ถ้าหากไม่มีพวกข้าทั้งหลายคอยช่วยเจ้ากดแดนเทพอื่นๆ เอาไว้วันนี้เจ้าจะยังมีอำนาจเช่นนี้ได้ หรือ” ราชาเทวะเซียนเหนี่ยวแค่นเสียงกล่าว
ทว่า ในดวงตามู่ชิงเกอกลับมีแววหยอกล้อเพิ่มขึ้น “หมื่นปีก่อน เก้าชั้นฟ้าถูกแดนเทพอื่นๆ สี่แห่งวาง แผนทำร้าย พวกท่านก็ยังเก็บมือยืนมองจากด้านข้าง แล้ววันนี้พวกท่านจะลงมืองั้นหรือ พวกท่านถามใจตัวเองดู หากว่าข้าไม่มาหาพวกท่าน พวกท่านจะลงมือหรือ ส่วนดินแดนไห่เทียนนั่น ราชาเทวะตายแล้ว มีอะไรให้กลัวอีก ข้ามาหาพวกท่านเพียงเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมาในวันหลัง ขอบอกพวกท่านไว้ว่า เก้าชั้นฟ้าของข้ากลับมาแล้ว ตระกูลมู่ของข้ากลับมาแล้ว!”
แววตาของมู่ชิงเกอตกลงบนร่างหลียวนและกล่าวอย่างเหยียดหยาม “สำหรับดินแดนเฟิ่งเทียน…แต่ ไหนแต่ไรก็ไม่เคยอยู่ในสายตาข้าอยู่แล้ว”
“เจ้า!” หลียวนถูกคำพูดของมู่ชิงเกอยั่วยุจน กำมือแน่นเล็บมือที่ตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้านและตั้งใจทานํ้ามันเคลือบเล็บแตกหัก
“วันนี้ข้าพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ต่อให้ในใจพวกท่านจะมีคำคัดค้านเป็นพันเป็นหมื่นก็จงเก็บกลับไปเสีย ผู้เฝ้ามองที่เก้าชั้นฟ้าของข้าพูดแล้วว่า งานสมรสใหญ่หลังจากนี้สามเดือน หากพวกท่านแสดงความยินดีจากใจจริง พวกข้าก็จะตอบแทนด้วยมารยาท หากไม่ยอมมา ข้าเองก็จะไม่ดึงดันเช่นกัน แต่ถ้าหากมีผู้ใดบังอาจวางแผนก่อกวนระหว่างนั้น ข้าก็จะไม่มีวันให้อภัยเป็นอันขาด!” สายตามู่ชิงเกอดุเดือด กวาดผ่านคนทั้งห้าที่คัดค้าน
สำหรับหลียวนนั้นถูกนางมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง
“แดนมารรกร้างข้า ยังมีเผ่ามารกว่าหมื่นล้านล้าน ล้วนแต่เป็นกำลังหนุนของเสี่ยวเกอเอ๋อร์หากผู้ใด บังอาจทำให้นางไม่มีความสุข ข้าก็จะฆ่ามันผู้นั้น! แต่ไหนแต่ไรมา ข้าทำอะไรล้วนตัดรากถอนโคน สังหารไร้ความปรานี!” ซือมัวเองก็เอ่ยปากอย่างเด็ดขาดเช่นกัน
“พวกเจ้า…”
การปกป้องซึ่งกันและกันของมู่ชิงเกอและซือมั่ว ทำให้หลายคนตกตะลึง กระทั่งเดือดดาล
พวกเขาเดือดดาลก็เพราะนึกไม่ถึงว่าสองคนนี้ กล้าทำความผิดอันใหญ่หลวง เผ่าทั้งสองที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมีแต่เป็นศัตรูต่อกัน แม้ว่าจะเคยมีเหตุการณ์ที่เทพและมารรักกันชนิดนั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่มีคู่ใดบ้างที่ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ ลงเอยกันด้วยดี
ทว่า สองคนนี้ตรงหน้าเล่า
คนหนึ่งเป็นราชาเทวะเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดินเทพตะวันตก
คนหนึ่งเป็นเจ้าแห่งมารของแดนมาร
ฐานะของพวกเขาสั่นสะเทือนโลกเช่นนี้ มิหนำซํ้ายังอยู่ร่วมกัน อีกทั้งยังมั่นใจในความถูกต้องเช่นนั้น ป่าวประกาศทั่วทั้งแผ่นดินเทพมาร
แท้จริงแล้ว ใครให้ความกล้าหาญแก่พวกเขากัน
พวกเขากล้าอยู่ร่วมกันอย่างไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้จริงๆ งั้นหรือ
เซียนเหนี่ยว เฝินไห่ จินกวง ชุ่ยซิง สือฟางทั้งห้าคนไม่มีทางจะเข้าใจการยืนหยัดของมู่ชิงเกอกับซือมั่ว ในมุมมองของพวกเขา ความรักเป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่จีรัง มีเพียงการบำเพ็ญฌานต่างหากที่จะคงอยู่ตลอดไป
แต่บุคคลที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ทั้งสองคนนี้กลับต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักเล็กๆ นี่เป็นเรื่องที่ ชายโสดสูงอายุเช่นพวกเขาเหล่านี้ยากจะเข้าใจ
ห้าคนนี้ไม่เข้าใจ ทว่าคนที่เหลือกลับถูกคำพูดของมู่ชิงเกอกับซือมั่วยั่วโมโหจนสั่นระริกไปทั่วทั้งร่าง
‘เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใด!’
หลียวนร้องคำรามในใจ นางคิดไม่ตก ไม่เข้าใจ เหตุใดตอนนั้นนางถึงยอมกลํ้ากลืนความไม่เป็นธรรม ละทิ้งศักดิ์ศรี ขอเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกันกับซือมั่วเช่นนี้ แต่เขากลับไม่สงสารนางเลยแม้แต่น้อย หัวใจหนึ่งดวงของนางถูกเขาเหยียบยั่าอย่างไร้เมตตา ทอดทิ้งราวกับรองเท้าสึกหลอเช่นนี้
มู่ชิงเกอ ตรงหน้านี้มีดีอะไร
นอกจากจะเด็กกว่านางเล็กน้อย ยังมีอะไรดีกว่านางอีก
ความริษยาในใจทำให้แววตาของหลียวนมืดดำยิ่งขึ้น ในส่วนลึกของดวงตาที่ดำมืดคู่นั้น ลมพายุหนึ่ง สายค่อยๆ ก่อตัวพัดม้วนทุกสิ่งทุกอย่างในใจนาง
ตอนนี้ นางไม่ได้สังเกต เห็นว่าบนแขนของนาง บริเวณที่ถูกแขนเสื้อคลุมอยู่ ผิวที่เดิมทีละเอียดอ่อนดั่งหยกกำลังปรากฎลักษณะเหี่ยวแห้งและแก่ตัวช้าๆ
“ราชาเทวะมู่!” ทันใดนั้น ราชาเทวะจินกวงก็ร้องตะโกนขึ้น
มู่ชิงเกอชายตามองไปทางเขา แต่หางตากลับกวาดผ่านใบหน้าที่บิดเบี้ยวของหลียวนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากซือมั่วข้างกายนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ตอนที่นางมองไปทางหลียวนนั้นในแววตาพลันมีแสงรางๆ วาบผ่าน
“ราชาเทวะจินกวงมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ” มู่ชิงเกอยกยิ้มบางๆ ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง และความเฉยชา
จินกวงสูดหายใจเข้าลึก มองมู่ชิงเกอกับซือมั่ว แล้วเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะฝืนชะตาจริงๆ หรือ”
“ฝืนชะตาหรือ” แววตามู่ชิงเกอมีท่าทีใคร่ครวญ รอยยิ้มที่ยกขึ้นตรงมุมปากนางขยายกว้างขึ้น “หากการอยู่ร่วมกับคนที่รักถือเป็นการฝืนชะตาแล้วล่ะก็ เช่นนั้น ข้าก็ขอฝืนชะตานี้เสียหน่อยคงจะไม่เป็นไรกระมัง”
ประโยคนี้ของนาง พูดด้วยเสียงที่ดังกังวานและทรงพลัง แต่ละคำดุจฟ้าผ่า ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
คนทั้งหมดในตำหนักต่างก็สั่นสะท้านอยู่กับที่ชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าจะพูดไม่ออก เพียงแค่รู้สึกว่าหญิงสาวสวมเกราะชุดแดงที่ยืนอยู่บนบัลลังก์ราชาเทวะนั้นเปล่งประกายและยิ่งใหญ่เช่นนี้ คล้ายกำลังเปล่งแสงเจิดจรัส
ไม่ต้องพูดถึงคนข้างๆ ซือมั่วที่ยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ตอนที่ได้ยินคำตอบนี้ของนาง ในใจก็คล้ายถูก กำปั้นชกลงมาอย่างแรง
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา…
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา!
“ปีนั้น…” จู่ๆ เราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยก็เอ่ยปาก ทำลายความเงียบสงัด “ตอนที่อวี๋หยาจากไป ข้าเองก็เคยถามเขาว่า นางจะจริงใจกับเจ้าหรือไม่ อวี๋หยาบอกข้าว่า ‘ศิษย์ไม่เคยรู้ว่าความรักคืออะไร แต่เมื่อได้พบนาง ข้าก็รู้ว่าชวชีวิตนี้จะไม่ยอมให้นางได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิด ไม่ยอมเห็นนางเศร้าเสียใจ’ ”
ประโยคนี้ที่เขาพูดออกมาทำให้ทุกคนในตำหนักขมวดคิ้ว แม้แต่มู่ชิงเกอยังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเช่นนี้มีเจตนาอันใด
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกล่าวช้าๆ “หลังจากที่อวี๋หยาจากไปข้าคิดอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ความรักคืออะไร จนกระทั่งวันนี้..”
สายตาของเขาเหลือบขึ้นเล็กน้อยตกลงบนร่างมู่ชิงเกอ “ราชาเทวะมู่กับเจ้าแห่งมารทั้งสองคนมีความรัก ความผูกพันลึกซึ้งซึ่งกันและกัน เบื้องบนพวกเขาก็ไม่มีใครมาบังคับ พวกเราเหล่านี้ไยจะต้องยื่นมือเข้าไปด้วยเล่า”
“แต่ว่า อย่างไรเสียเผ่าเทพกับเผ่ามารก็…” ราชาเทวะจินกวงกล่าวอย่างอดไม่ได้
“ช่างเถิด” ราชาเทวะจงซานยกมือตัดบท “ยังไม่ได้สู้รบกันเสียหน่อย”