ตอนที่ 888
ท่องป่าท้ออีกครั้ง
เสียงของซางหลันรั่วกดความตื่นเต้นไว้
อันที่จริง ไม่ใช่แค่นางที่เป็นเช่นนี้ มู่ชิงเกอที่ถูกนางจูงอยู่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ไม่นาน ข้างในประตูเรือนก็มีเสียงของมู่ซงดังออกมา “ใครจะมาเยี่ยมคนแก่อย่างข้า นอกจากเด็กแซ่เซ่าผู้นั้น ยังจะมีใครอีก เหอะ”
เสียงของมู่ซงยังคงทุ้มตํ่าเปี่ยมพลังเหมือนแต่ก่อน
เมื่อมู่ชิงเกอได้ยินก็พลันนํ้าตารื้น แทบจะร้องไห้ออกมาทันที ‘ท่านปู่…’
ซางหลันรั่วละสายตามองมู่ชิงเกอ ในแววตามีความสงสารและจนใจเล็กน้อย “หลังเจ้าไป เจ้าอ้วนก็กลับมาเยี่ยมพวกข้าเมื่อว่าง บอกว่าทำหน้าที่ลูกแทนเจ้า”
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึก เก็บอารมณ์ที่เดือดพล่านภายในใจกลับไป พยักหน้าอย่างแทบจะไม่ต้องคิด กล่าวในใจ เจ้าอ้วนเช่าเป็นพี่น้องแท้จริง
ทั้งสองเดินผ่านประตูเรือน เข้าไปด้านในลานบ้านของมู่ซง
ในลานบ้าน ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวจวี ราวกับว่าฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเข้ามา มู่ชิงเกอก็ รู้สึกได้ว่าความอบอุ่นหนึ่งกลุ่มปะทะเข้ามาตรงหน้า
“หลายปีมานี้ปู่เจ้าให้ความสนใจกับดอกไม้ใบหญ้ามาโดยตลอด ดังนั้นหลายสิบปีก่อนอี้เฉินจึงไปทำหยกอุ่นมาจำนวนหนึ่ง ปูไว้รอบลานบ้าน แม้ว่าเป็นฤดู หนาว ที่นี่ก็ยังอบอุ่นยิ่งนัก ไม่ส่งผลกระทบต่อดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้” ซางหลันรั่วอธิบายเสียงตํ่าข้างหูมู่ชิงเกอหนึ่งประโยค
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ ในลานบ้านที่เต็มไปด้วยพืชเขียวขจี มีชีวิตชีวาแห่งนี้ นางหาแผ่นหลังหนากว้างที่คุ้นเคยกำลังโน้มตัวก้มศีรษะอยู่ในดอกไม้ใบหญ้านั้น เจอแล้ว
เขายังคงเหมือนเช่นในความทรงจำ แม้ว่าจอนผมสองข้างจะเป็นสีขาวแล้ว แต่แผ่นหลังก็ยังคงยืดตรงไม่โค้งงอ
จิตวิญญาณสงครามแห่งตระกูลมู่ ไม่อาจหายไป เพราะอายุที่เพิ่มขึ้น มีแต่จะบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนขึ้นเรื่อยๆ ดั่งเช่นสุรา
ซางหลันรั่วปล่อยมือของมู่ชิงเกอลง ตนค่อยๆ ถอยไปข้างหลัง มู่ชิงเกอก้าวเท้าเบาๆ เดินไปข้างหลัง มู่ซงช้าๆ หยุดอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ฉื่อ “ท่านปู่ ข้ากลับมา แล้ว”
เคร้ง!
พลั่วเหล็กตักดินร่วงลงพื้น มู่ชิงเกอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลังของมู่ซงแข็งทื่อ
นานอย่างยิ่ง มู่ซงจึงหันหลังกลับมาตีหน้าขรึมมองมู่ชิงเกอ ในดวงตาเขาตื่นเต้นอย่างไร้สาเหตุ แต่กลับไม่แสดงออกมา เพียงแค่พูดอย่างสงบนิ่ง “อ้อ กลับมาแล้ว หรือ พอดีเลย อีกประเดี๋ยวก็ต้องทานข้าวเย็นแล้ว”
นํ้าเสียงนั้นเหมือนว่ามู่ชิงเกอจากบ้านไปเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น
“อืม” มู่ชิงเกอฝืนเก็บเสียงสะอื้นไห้ ออกแรงพยักหน้า สูดหายใจเข้าลึก นางพยายามทำให้นํ้าเสียงตนสงบลง “ท่านปู่ ให้ข้าช่วยท่านนะ”
“เอาสิ” มู่ซงพยักหน้าขานรับหนึ่งครา
ปู่หลานสองคนไม่ได้กอดกันร้องไห้อย่างคนที่แยกจากกันไปนาน ไม่มีภาพสะเทือนอารมณ์สงบนิ่งราวกับมู่ชิงเกอไม่เคยจากไปไหน
ทั้งสองก้มหน้าอยู่ในแปลงดอกไม้ที่มู่ซงตั้งใจปลูก ลงมืออย่างใจจดใจจ่อ
มู่ชิงเกอไม่เข้าใจ มู่ซงก็สอนอย่างอดทน เขาสอนอย่างละเอียด เหมือนตอนที่มู่ชิงเกอยังเล็กมากๆ และถูกเขาอุ้มไว้บนตักสอนนางแยกแยะทีละคำๆ
มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ว่ากันตามเหตุผล นางไม่อาจมีความทรงจำเช่นนี้ได้ เพราะว่าความทรงจำก่อนอายุสิบห้าปีของนางมาจากการบอกเล่าของมู่ชิงเก อตัวจริง เรื่องที่นางไม่เคยเอ่ยถึง ตนไม่มีทางรู้ได้
แต่ตอนนี้เวลานี้ในความทรงจำนางคล้ายปรากฎความทรงจำในวัยเด็กขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ นางก็คือมู่ชิงเกอตัวจริง
มู่เหลียนเฉิงกับมู่อี้เฉินสองพ่อลูกที่รีบกลับมาตามข่าวที่ได้รับ ตอนที่มาถึงอย่างรีบร้อนก็มองเห็นภาพที่สงบนิ่ง เงียบเชียบ และมีความสุขภาพนี้
ซางหลันรั่วยืนอยู่ข้างๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับนํ้าตาที่หางตากล่าวเสียงต่ำกับพ่อลูกทั้งสองที่เพิ่งมาถึง “พวกเจ้าอย่ารบกวนพวกเขา”
ในบ้านหลังนี้ ความผูกพันของมู่ชิงเกอและมู่ซงลึกซึ้งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่มีใครไปรบกวนพวกเขา จนกระทั่งเวลาอาหารค่ำ ซางหลันรั่วจึงเรียก
มู่อี้เฉินเดินออกมาจากแปลงดอกไม้ประคองมู่ซงไปล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
มู่ชิงเกอก็เดินไปข้างหน้ามู่เหลียนเฉิง ร้องเรียก “ท่านพ่อ”
มู่เหลียนเฉิงพยักหน้าน้ำตาคลอ “กลับมาก็ดีแล้ว ดีแล้ว”
สองพ่อลูกมองหน้ายิ้มให้กัน หลังจากที่มู่อี้เฉินประคองมู่ซงออกมา คนทั้งบ้านก็เดินไปยังห้องอาหารอย่างมีความสุข
การกลับมาของมู่ชิงเกอทำให้คนทุกระดับชั้นในจวนตระกูลมู่ล้วนยินดี
ตอนที่ทานข้าว ซางหลันรั่วตักอาหารให้มู่ชิงเกอไม่หยุด มู่อี้เฉินก็ถามมู่ชิงเกอถึงสถานการณ์ในแผ่นดินเทพมารตลอด มู่เหลียนเฉิงเองก็ถามหนึ่งประโยค มู่ซงก็ ฟังอยู่เงียบๆ
จนกระทั่งท้ายที่สุด หลังจากทานข้าวเสร็จ มู่ซงวางถ้วยตะเกียบเปล่าในมือลงบนโต๊ะแล้วจึงถาม “เกอเอ๋อร์ เรื่องที่ควรทำ ทำเสร็จหมดแล้วหรือยัง”
ที่เขาถาม คือเรื่องชิงบัลลังก์ตระกูลมู่
เรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง ทั้งยังทำยากอย่างถึงที่สุดนี้หลายสิบปีมานี้กดอยู่ในใจของเขาอย่างหนักหน่วงมาโดยตลอด
ความกังวลของเขา มู่ชิงเกอเข้าใจดี เรื่องที่ควรทำ แน่นอนว่ายังทำไม่เสร็จ แต่เรื่องที่ท่านปู่เป็นกังวล กลับทำเสร็จแล้ว ดังนั้น นางจึงอมยิ้มพยักหน้า “เรื่องทั้ง หมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
มู่ซงถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าที่ขึงตึงก็หายไปในชั่วพริบตา เขาพยักหน้า พูดติดต่อกันหลายครา “ดีๆๆ”
“บ้านท่านอาเล่า” มู่ชิงเกอถามด้วยความสงสัย
“พวกเขาไปโลกแห่งยุคกลางแล้ว’’มู่เหลียนเฉิงกล่าว
“ไปโลกแห่งยุคกลางแล้วหรือ” มู่ชิงเกอประหลาดใจครู่หนึ่ง เพราะว่าไม่รู้ดังนั้นตอนที่อยู่โลกแห่งยุคกลางย่อมไม่ได้ไถ่ถาม
“อืม เซวียชิงเสียงเองก็โตแล้ว พวกเขาอยากไปดูโลกที่ใหญ่ขึ้น” มู่เหลียนเฉิงกล่าวอธิบาย
พลาดไปเช่นนี้แล้ว
ในใจมู่ชิงเกอเสียดายเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ทุกๆ คนต่างก็มีทางเลือกของตัวเอง ต้องเดินตามทางของตน มู่ชิงเกอวางความเสียใจในใจลง ละลายตามองมู่อี้เฉินแล้วถาม “เซวียชิงเสียงเจ้าเด็กนั้นก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อไรเจ้าจะเตรียมสืบทอดสายเลือดตระกูลมู่ของเราเล่า”
มู่อี้เฉินถูกมู่ชิงเกอหยอกล้อ หน้าแดงขึ้นมาฉับพลัน
ซางหลันรั่วจ้องมองเขาอย่างจนใจปราดหนึ่ง “เขาบอกว่า ตามลำดับอาวุโส จะรอเจ้าแต่งงานก่อนแล้วเขาค่อยไตร่ตรองเรื่องแต่งงานของตัวเอง”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ยิ้มกล่าว “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็เริ่มหาคนจริงใจได้แล้ว”
“อะไรนะ”
มู่อี้เฉินเงยหน้ามองมู่ชิงเกออย่างตะลึงงัน
ผู้อาวุโสสามคนที่เหลือต่างก็ส่งสายตามองนางอย่างไม่คาดคิด
มู่ชิงเกอกล่าวอย่างจริงจัง “ที่ข้ามาก็เพื่อมารับพวกท่านขึ้นไปร่วมพิธีแต่งงานของข้า”
เมื่อนางพูดจบ คนทั้งสี่ต่างก็มองนางด้วยความตกตะลึงและดีใจ
ป่าท้อนอกเมืองลั่วตู สี่ฤดูในหนึ่งปี ไม่ว่าฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ใบไม้ร่วงหรือว่าหนาว ล้วนแต่มีกลีบดอกไม้ร่วงโรย ป่าท้อทอดยาวนับสิบลี้
เรือประดับงดงามหนึ่งลำ ล่องมาตามลำนํ้า เคลื่อนเข้ามาในป่าท้อผืนนี้ช้าๆ
บนเรือ มู่ชิงเกอพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ในมือคีบแก้วสุราใบเล็กหนึ่งใบ ถือตามอำเภอใจ ท่าทางเอ้อระเหย มุมปากอมยิ้ม ข้างกายนางคือเจ้าอ้วนแซ่เซ่า ที่กลายเป็นพ่อคนนานแล้ว ไม่รู้ว่าสุขุมกว่าตอนที่อายุน้อยมากเพียงใด
จอมเสเพลแห่งลั่วตูในวันนี้ ตอนนี้กลับเป็นยอดฝีมือสีม่วงสูงสุดผู้หนึ่งแล้ว
ทว่า เขากลับไม่จากไปยังคงอยู่ที่ลั่วตู ทำตามคำพูดที่สัญญากับมู่ชิงเกอไว้ในตอนแรก เขาพูดไว้ว่า ‘ลูกพี่ จงบุกตะลุยโลกกว้างอย่างวางใจเถอะ มู่ซง จวนตระกูลมู่ ลั่วตู แคว้นฉิน มอบให้ข้าปกป้องเอง’