ตอนที่ 908
ซือมั่วมาถึง
แดนมารเกิดเรื่องหรือ
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี จู่ๆ ก็นึกถึงเสียงที่ดังเข้ามาจากอากาศเสียงนั้นก่อนที่ซือมั่วจะไป
นั้นคือเสียงของหลิงจิว แน่นอนว่ามู่ชิงเกอจำได้
ก่อนหน้านี้นางให้หลิงจิวนำคนกลับไปที่แดนมาร ป้องกันไม่ให้แดนมารถูกรุกลํ้า ดูท่าแล้วจะยังช้าไปหนึ่งก้าว
‘เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้ทำให้หลิงจิวส่งเสียงที่เจ็บปวดเช่นนี้ออกมา’ มู่ชิงเกอเป็นกังวลในใจ อยากกลับไปดูที่แดนมาด้วยตัวเอง แต่กลับไปไม่ได้
นางเป็นห่วงความปลอดภัยของแดนมาร และยังเป็นห่วงซือมั่วมากกว่า
“เจ้าแห่งมารตามกลับไปแล้ว น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่” ราชาเทวะซุยชิงกล่าว
ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างแทบจะไม่ต้องคิด
“แท้จริงแล้วคนผู้นั้นคือใคร” ราชาเทวะเซียนเหนี่ยวถามอย่างสงสัย
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ประมือกันสองครั้ง ข้ากลับไม่รู้ฐานะของเขา รู้เพียงแต่คนผู้นี้มีลูกไม้เยอะนัก ซํ้าทุกครั้งที่ปรากฎตัวยังเป็นร่างแยก ที่เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่ เพราะว่าฐานะร่างแท้ของเขาสูงส่งอย่างยิ่งในเผ่าฝู ไม่อาจเสี่ยงอันตรายได้ง่ายๆ ก็คงเป็นเพราะว่าร่างแท้ของเขาถูกควบคุม ไม่อาจมาด้วยตัวเองได้ แต่ว่าไม่ว่าจะ เป็นเหตุผลใด คนผู้นี้ก็คือหายนะร้ายแรงของพวกเรา”
“ถูกต้อง” ราชาเฟิ่งพยักหน้า
อินเจวี๋ยกล่าว “ต้นไม้โบราณที่ปกปักรักษาทั้งเผ่าภูติภูเขาของข้าทำให้พวกข้ารู้ว่า นอกโลกใบนี้ ยังมีโลกนับไม่ถ้วนที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่ว่าโลกที่เยอะ เพียงนี้จะทำให้พวกเราสืบหาที่อยู่ของเผ่าฝูได้อย่างไร”
หาเผ่าฝูไม่เจอ ไม่รู้ข้อเท็จจริงของศัตรู พวกเขาก็จะต้องอยู่ท่ามกลางการถูกกระทำไปตลอด ไม่มีทางเปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำได้
“ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องไตร่ตรองก็คือแผนรับมือ” ราชาเทวะจงซานกล่าว
คำพูดของเผ่าฝู ทำให้พวกเขาเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องหนึ่งครอบครัวหนึ่งดินแดนมานานแล้ว แต่เป็นเรื่องทั่วทั้งแผ่นดินเทพมาร
“ก่อนอื่น สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือตรวจสอบอย่างเข้มงวด” ดวงตามู่ชิงเกอเยือกเย็น เอ่ยปากกล่าว
“ตรวจสอบหรือ” ราชาเทวะเฝินไห่มองนางอย่างไม่เข้าใจ
ตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่เล็กน้อย “ทุกคนไม่ได้อยู่ในจักรวาลขนาดใหญ่ แต่เผ่าฝูกลับรู้จักพวกเราทะลุปรุโปร่ง กระทั้งฉวยโอกาสวันนี้ก่อการโจมตีได้ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน พวกท่านไม่แปลกใจเลยหรือว่าข่าวไปถึงหูพวกเขาได้อย่างไร”
“หรือว่าในแผ่นดินเทพมารมีคนทรยศ สมคบคิดกับเผ่าฝู” ราชาเทวะจินกวงกล่าวอย่างตกใจ
“บางทีอาจจะไม่จำเป็นต้องทรยศ ขอเพียงแค่ปลอมตัวเป็นเผ่าเทพ หรือว่าเผ่ามารก็ได้แล้ว” เสียงของซือมั่วพลันดังเข้ามา ทำให้คนทั้งหมดในตำหนักตกใจ
มู่ชิงเกอละสายตามองข้างกายตน เห็นเพียงวังวนหนึ่งปรากฎขึ้นซือมั่วสวมชุดราชาสีดำเดินออกมายืนอยู่ข้างกายนาง
‘อามั่ว’ มู่ชิงเกอจ้องมองเขา ร้องเรียกในใจ
คนอื่นมองไม่ออก แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่กดไว้ในตอนนี้ของซือมั่ว ลมหายใจเย็นเยียบชนิดนั้นชัดเจนเกินไปแล้วจริงๆ
‘แดนมารเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่’ มู่ชิงเกอถามตัวเองในใจ
“เหตุใดเจ้าแห่งมารถึงพูดเช่นนี้” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเหลือบตาขึ้นถาม
ซือมั่วกล่าวเสียงเรียบ “เผ่าฝูส่งยอดฝีมือมาโจมตีเผ่ามาร เจ้าเมืองย่อยผู้หนึ่งใต้บังคับบัญชาข้า บอกไว้ก่อนสิ้นใจว่าให้ข้าระวังเผ่าฝู เพราะว่าพวกเขาปลอมเป็นเผ่ามารได้ ข้าคิดว่าในเมื่อพวกเขาปลอมเป็นเผ่ามารได้ไม่แน่ว่าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นเผ่าเทพ ซุ่มโจมตีในแผ่นดินเทพมารได้เช่นกัน”
ปลอมตัว? ซุ่มโจมตี?
ตอนที่ทุกคนให้ความสำคัญกับสองจุดนี้ มู่ชิงเกอกลับสนใจว่าใครสิ้นใจ
ในสมองนางย้อนนึกถึงคนที่ดิดตามซือมั่วอย่างละเอียด สอดคล้องตรงกัน…‘จี่ฝู’ ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหดลงอย่างแรง ส่วนลึกในดวงตาปรากฎความตกใจ
นางมองซือมั่ว มองเห็นความเสียใจที่เขาซ่อนเอาไว้
นางนึกถึงคำพูดที่กู่หยาและกู่เย่พูดไว้ เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ของซือมั่วร่วมรบราฆ่าฟันกับเขามาตั้งแต่สมัยยังเด็ก และเป็นคนที่เชื่อใจได้มากที่สุด
จี่ฝูตาย ในใจซือมั่วจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร
“ทุกท่าน วันนี้พอแค่นี้” มู่ชิงเกอพลันกล่าว พูดจบ นางก็จูงมือซือมั่ว กล่าวกับเขา “ตามข้ามา”
จากนั้นก็พาเขาออกจากทัศนวิสัยของทุกคน
สายตาของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย ตกลงบนมือหนึ่งคู่ที่ประสานกันของคนทั้งสอง จากนั้นก็ละสายตาออก ไปราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
คนที่เหลือต่างก็มองแผ่นหลังที่จากไปของสองคนด้วยความประหลาดใจ
นานอย่างยิ่ง ราชาเฟิ่งจึงกระแอมเบาๆ กล่าว “เช่นนั้นวันนี้ก็แยกย้ายกันก่อน พวกเราออกคำสั่งกลับไปยังเขตพื้นที่แต่ละเขต ตรวจสอบทุกคนในแดนหนึ่ง รอบ ดูว่ามีบุคคลต้องสงสัยหรือไม่ ถึงพรุ่งนี้ค่อยมาหารือกับราชาเทวะมู่ รวมถึงเจ้าแห่งมารถึงแผนรับมือต่อไป”
“ตรวจสอบในแดนเทพได้ แต่นอกแดนเทพเล่า” ราชาเทวะจินกวงกล่าว “แผ่นดินเทพสี่สมุทรกว้างใหญ่ ไพศาลเช่นนี้ มีมนุษย์เทพ คนธรรมดานอกแดน เทพกระจายตัวอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไร จะตรวจสอบได้อย่างไรกัน”
“แม้ยากก็ต้องทำ” ราชาเทวะจงซานกล่าว “มิเช่นนั้น พวกท่านจะต้องอยู่ในสถานะถูกกระทำตลอดไป”
เมื่อออกไปจากทัศนวิสัยของทุกคนแล้ว มู่ชิงเกอก็ทะลุผ่านแหวนที่กลายร่างจากกระดิ่งบนมือ พาซือมั่วกลับไปยังโลกใบเล็กของเขา ตอนนี้มีเพียงที่นั่นที่ สามารถมอบความสงบเงียบให้ทั้งสองคนได้
‘อามั่ว’ เมื่อเข้าโลกใบเล็กแล้ว มู่ชิงเกอก็ยกมือทั้งสองกุมแก้มของซือมั่ว
ในดวงตาที่ใสสะอาดของนาง เต็มไปด้วยความกังวล
วันนี้ เดิมควรจะเป็นวันมงคลของพวกเขา แต่ว่ากลับเปรอะเปื้อนความเจ็บปวดของการเข่นฆ่าและการสูญเสียมิตรสหาย นางสงสารซือมั่ว และเสียใจกับการ จากไปของจี่ฝู
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าไม่เป็นไร” มือทั้งคู่ของซือมั่วกุมอยู่บนมือของมู่ชิงเกอ กล่าวด้วยเสียงนิ่งเรียบ
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ “เจ้าปิดบังข้าไม่ได้”
ทันใดนั้นซือมั่วก็กอดมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก ซุกศีรษะลงตรงช่วงคอของนาง เสียงที่อู้อี้ดังออกมาช้าๆ “จี่ฝูคือเพื่อนเล่นที่ถูกเลือกเข้าวังตามกฎของวังไท่ฮวง ตอนที่ข้าเกิด เติบโตมาด้วยกันกับข้า หลิงจิว ชิงเหยียน ชิงเจ๋อก็เหมือนกัน ในห้าคน ข้าอายุน้อยที่สุด ตอนที่พวกเขาเข้าวังก็อายุหลายขวบแล้ว การเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนบุตรของราชา หมายความว่า พวกเขาก็จะไม่ได้เจอพ่อแม่ญาติมิตรของตนอีก พวกเราห้าคนเติบโตมาด้วยกัน เล่นสนุกด้วยกัน บำเพ็ญเพียรด้วยกัน ถูกกลั่นแกล้งด้วยกัน โต้ตอบด้วยกัน สู้รบด้วยกัน รวบรวมแดนมารด้วยกัน เดิมข้าคิดว่า พวกข้าจะยังทำอะไรด้วยกันได้อีกมากมาย แต่ว่าวันนี้…”
มู่ชิงเกอรู้สึกได้ว่าร่างของตนถูกกอดแน่น รับรู้ได้ ถึงความสั่นเทาที่มาจากไหล่ทั้งคู่ของซือมั่ว
นางสัมผัสได้ว่าจี่ฝูอยู่ในหัวใจของซือมั่ว และยังรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกและเจ็บปวดของเขาในตอนนี้
เกรงว่า ความรู้สึกชนิดนั้น เจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่นางสูญเสียหยวนหยวน สูญเสียเจียงหลีไปกว่าหลายเท่าตัว
ไม่ได้หมายความว่าความผูกพันที่นางมีต่อหยวนหยวนและเจียงหลีลึกซึ้งไม่มาก แต่เพราะว่าระหว่างซือมั่วกับจี่ฝูผ่านอะไรร่วมกันมามากกว่า ตอนนี้หยวนหยวนกลับมาแล้ว เจียงหลีก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในอีกมิติหนึ่ง แต่จี่ฝู…
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าไม่ควรทิ้งเขาไว้” หลังจากความนิ่งเงียบ ซือมั่วก็พูดประโยคนี้ออกมา
เมื่อประโยคนี้ดังออกไป ก็ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจ ในขณะที่ซือมั่วกำลังเจ็บปวดกับการจากไปของจี่ฝู ก็ยังนึกเสียใจ เสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้น
เพราะว่าเจ็บปวด เขาจึงเข้าสู่สภาวะเลอะเลือน
เขาคิดว่า หากไม่ทิ้งจี่ฝูไว้ อาจจะยังเปลี่ยนชะตาชีวิตได้
ซือมั่วเจ็บปวด มู่ชิงเกอก็รับไม่ไหวเช่นเดียวกัน นางตบหลังของซือมั่วเบาๆ ปลอบเสียงตํ่า “อย่าเป็นแบบนี้อามั่ว จี่ฝูไม่อยากเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่ ความผิดของเจ้า ไม่ใช่”