Skip to content

พลิกปฐพี 910

ตอนที่ 910

ให้ข้าคอยปกป้อง

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงที่เด็ดขาดของมู่ซงทำให้คนที่เหลือประหลาดใจและทำให้เท้ามู่ชิงเกอหยุดชะงัก หันหลังกลับมามอง

“ท่านปู่?” นางหันหน้ามองใบหน้าที่แข็งทื่อของมู่ซงอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย

มู่ซงเดินออกมากล่าวกับมู่ชิงเกอ “พวกข้าทราบดีว่าตบะบำเพ็ญตํ่าเกินไป อยู่ที่นี่ก็เป็นภาระ และรู้ดีว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกข้า แต่ว่า พวกเรายืนกรานจะอยู่ต่ออีกคืน เพื่อหวังว่าเจ้าจะได้พักผ่อนอย่างดี ไม่ใช่ไปทำธุระอื่นๆ บนเก้าชั้นฟ้านี้ไม่มีเจ้าก็เดินต่อไม่ได้แล้วใช่หรือไม่ เจ้าต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยตาย ทำให้พวกข้าปวดใจตายหรืออย่างไร”

ในนํ้าเสียงที่เด็ดขาดกลับปิดบังความรักที่ลึกซึ้งไว้ไม่อยู่

หัวใจมู่ชิงเกอสั่นเทา ดวงตาปรากฎความทุกข์ใจ

“ท่านพ่อ” มู่เหลียนเฉิงสงสารลูกสาว คิดอยากจะห้ามไม่ให้มู่ซงพูดต่อ

“เจ้าหุบปาก!” ทว่ามู่ซงกลับตะคอกมู่เหลียนเฉิงกลับไป เขากล่าวกับมู่ชิงเกอ “หากเจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นปู่ก็อยู่ที่นี่เสีย ให้แม่เจ้าทำอาหารให้เจ้า ทานข้าวเสร็จ แล้วก็นอนพักให้สบายสักตื่น พรุ่งนี้…”

ใบหน้าที่ขึงตึง ของมู่ซงสั่นเทาเล็กน้อย ครู่หนึ่งเขาจึงกล่าว “เช้าวันพรุ่งนี้ เจ้าค่อยส่งพวกข้ากลับ หลังจากนี้อยากจะทำอะไรก็ทำ พวกข้าก็ยุ่งเกี่ยวไม่ได้แล้ว”

“ท่านปู่!”

หัวใจมู่ชิงเกอสั่นสะท้าน เข่าทั้งคู่โค้งงอคุกเข่าลงตรงหน้ามู่ซงทันที “ขออภัยด้วย หลานผิดไปแล้ว”

มู่ซงข่มกลั้นความชื้นในดวงตาและเบือนหน้าหนี

มู่ชิงเกอมองซางหลันรั่ว กล่าวเสียงเบา “ท่านแม่ รบกวนท่านทำอาหารด้วย”

ซางหลันรั่วเช็ดนํ้าตาที่หางตา ยิ้มกล่าว “ไม่รบกวนเลย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

ขณะที่พูดก็กล่าวกับมู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินสองคน “พวกเจ้าสองคนรีบพยุงพี่สาวขึ้น มา พื้นเย็นเดี๋ยวจะหนาว”

มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินได้สติขึ้นมาจากความตกใจ ตะลีตะลานไปพยุงมู่ชิงเกอขึ้น พวกเขายังไม่เคยเห็นท่านปู่โกรธเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าพวกเขากลับสัมผัสได้ถึง ความอาลัยและความรักที่มีต่อพี่สาวในนั้น

มู่ชิงเกอลุกขึ้นด้วยการพยุงของคนทั้งสอง มองญาติมิตรของตนด้วยแววตาซับซ้อน

ค่ำคืนนี้ ท้ายที่สุดมู่ชิงเกอก็ไม่ได้เดินออกไปจากตำหนักที่พำนักของคนในบ้าน

นางอยู่ด้วยกันกับคนในบ้าน ทานกับข้าวที่ซางหลันรั่วทำ ทั้งครอบครัวมีความสุขครึกครื้น ไม่ได้สนใจปัญหาวุ่นวายภายนอก

หลังทานข้าวเสร็จ เด็กๆ ทั้งสามก็ถูกจัดเตรียมให้ไปพักผ่อนในห้อง ซางซุนหวางอยู่ด้วยกันกับมู่ซง มู่เหลียนเฉิงกับซางหลันรั่วก็อยู่อีกห้องหนึ่ง

ใต้แสงจันทร์ในลานบ้าน

มู่ซงกับซางซุ่นหวางนั่งหันหน้าหาดวงจันทร์บนโต๊ะหินมีกาสุราวางไว้หนึ่งกา

“วันนี้ท่านแสดงความน่าเกรงขามทำข้าตกใจกลัวแทบตาย” ซางซุนหวางกล่าวอย่างกึ่งหยอกล้อ

มู่ซงยิ้มเจื่อน ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้าสงสารชิงเกอ”

ซางซุ่นหวางพยักหน้า “ข้าทราบ”

“นี่ ท่านรู้หรือไม่” มู่ซงกล่าวพึมพำ “เกอเอ๋อร์ชีวิตลำเค็ญ ตั้งแต่นางอายุยังน้อยก็ไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย ซํ้ายังต้องเก็บความลับเรื่องฐานะไว้อย่างมิดชิด หวาด ระแวงทั้งวันทั้งคืน สถานที่ที่พวกข้าอยู่โทษนั้นคือโทษหนักฐานหลอกลวงเบื้องสูง เด็กที่เล็กเพียงนั้นเช่นนาง แบกรับไว้เช่นนี้ ก่อนนางอายุสิบห้าปี ยังไม่แม้แต่จะบำเพ็ญเพียรได้ ถูกตราหน้าว่าไร้ประโยชน์ทุกวัน กระทั่งได้พบหลานเขยของพวกเราจึงเปลี่ยนร่างกาย บำเพ็ญเพียรได้นับแต่นั้นมา บ่าทั้งสองที่อ่อนแอของนางก็ยิ่งแบกภาระหน้าที่ทั้งหมดมากขึ้น บุกป่าฝ่าดงเพื่อตระกูลมู่มาโดยตลอด ปกป้องคนทั้งหมด เด็กคนนั้นดูเหมือนเย็นชา แต่ความจริงแล้ว หัวใจของนางอบอุ่นยิ่งกว่าใคร”

ซางซุนหวางตกใจ

เขาไม่เคยรู้มาก่อน ก่อนมู่ชิงเกออายุสิบห้าปีคาดไม่ถึงว่าจะบำเพ็ญเพียรไม่ได้

มู่ซงเห็นมู่ชิงเกอเติบโตอย่างรวดเร็วในหลินชวน ซางซุนหวางเห็นมู่ชิงเกอมีชื่อเสียงในโลกแห่งยุคกลาง แต่ที่แผ่นดินเทพมารเล่า ในที่ที่พวกเขาไม่เห็น แต่กลับจินตนาการได้ มู่ชิงเกอผ่านอะไรมาบ้าง ไต่มาทีละก้าวๆ จนถึงวันนี้

นางแข็งแกร่งจนทำให้คนลืมว่านางเองก็เป็นผู้หญิงทำให้คนลืมเห็นใจนาง

ในห้อง มู่เหลียนเฉิงเองก็กำลังมองแสงจันทร์นอกหน้าต่างอยู่ ใช้สุราดับความกลุ้มใจ

ซางหลันรั่วถือเสื้อคลุม เดินไปข้างหลังเขา คลุมให้เขา “เหลียนเฉิง เจ้าคิดอะไรอยู่”

มู่เหลียนเฉิงยิ้มเจื่อนกล่าว “คิดว่าบุรุษเกรียงไกรเช่นข้า ทำเพื่อบุตร ทำเพื่อภรรยา ทำเพื่อบิดา ตอนนี้กลับต้องให้ลูกสาวของข้าแบกรับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ข้ากลับทำอะไรไม่ได้เลย”

“เหลียนเฉิงเจ้าอย่าเป็นแบบนี้” ซางหลันรั่วกล่าวเสียงสะอื้น

นางเห็นใจมู่เหลียนเฉิง แต่สงสารมู่ชิงเกอมากกว่า

“หลันรั่ว เจ้าว่าข้าฟื้นคืนชีพเพื่ออะไร” มู่เหลียนเฉิงกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม

“เหลียนเฉิง! เจ้าฟื้นคืนชีพก็ยังคงเป็นแม่ทัพหนุ่มของกองทัพตระกูลมู่ ทำให้บิดาสบายใจได้ทำให้ลูกๆ มีครอบครัวสมบูรณ์ทำให้ข้ามีความคิดที่จะอยู่ต่อไป” ซางหลันรั่วกล่าว

มู่เหลียนเฉิงกล่าวอย่างหดหู่ “พวกเราสุขสบายเกินไปแล้วหลบซ่อนอยู่ในที่เล็กๆ อย่างหลินชวน ใช้ชีวิตเรื่องเปื่เอยของตัวเอง ตอนที่ลูกเผชิญหน้ากับอันตราย กลับทำอะไรไม่ได้ ข้ามันก็แค่คนไร้ประโยชน์”

เพี๊ยะ!

มู่เหลียนเฉิงตบหน้าตัวเองอย่างแรงหนึ่งครั้ง

เขาหมดปัญญา โมโห แต่กลับกลุ้มใจในความอับจนหนทางของตัวเองยิ่งกว่า สงสารลูกสาว แต่นอกจากความสงสารแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกชนิดนั้น ยากจะอธิบายออกมา

“เหลียนเฉิง เจ้าอย่าเป็นแบบนี้!” ซางหลันรั่วร้องไห้คว้ามือของเขาไว้

สามีภรรยาทั้งสองกอดกันร้องไห้ เพราะว่าความ ทุกข์ใจส่วนนั้นในจิตใจ

การไร้ความสามารถชนิดนั้น การตำหนิตนเองชนิดนั้น แผ่ขยายอยู่ในใจพวกเขา

ในห้องอีกห้องหนึ่ง มู่ชิงเกอยังไม่หลับ มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินก็ยังอยู่ในห้องนางเช่นเดียวกัน

“ขอโทษ ท่านพี่ ข้าไร้ประโยชน์จริงๆ หลังจากรู้จักกับท่านแล้ว ข้าก็คิดเพียงแต่จะกลับหลินชวนไปอยู่กับท่านปู่ รู้สึกว่ากองทัพตระกูลมู่เหมาะสมกับข้า ไม่ อยากแสวงหาความก้าวหน้า ตอนนี้กลับกลายเป็นภาระช่วยท่านไม่ได้” มู่อี้เฉินกล่าวอย่างทุกข์ใจ

มู่เสวี่ยอู่เองก็กล่าว “ท่านพี่ ข้าเองก็เหมือนกัน แม้ว่าข้าจะศึกษาการหลอมศาสตรามาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้ยังคงช่วยอะไรท่านไม่ได้ ตระกูลของพวกเราล้วนแต่ต้องให้ท่านช่วยประคับประคอง”

มู่ชิงเกอตกตะลึงกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พวกเจ้าคิดเหลวไหลอะไรกันอยู่ ท่านปู่เศร้าใจ พวกเจ้าจึงตำหนิตัวเองขึ้นมางั้นหรือ”

นางสูดหายใจเข้าลึกกล่าวกับคนทั้งสอง “ทางเลือกของแต่ละคนไม่เหมือนกันไม่ว่าใครก็บังคับให้ใครเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเองไม่ได้ เส้นทางของผู้ที่แข็งแกร่ง เป็นข้าที่เลือกเอง ไม่ว่าข้าจะเป็นคุณชายของจวนตระกูลมู่หรือชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง หรือว่าใครก็ตามแต่ ข้าก็ต้องเดินไป ส่วนพวกเจ้าก็มีเส้นทางของพวกเจ้า เอง”

นางมองมู่อี้เฉิน “เจ้าอยู่ที่หลินชวน อยู่ที่จวนตระกูลมู่ อยู่ข้างกายท่านพ่อท่านแม่ท่านปู่ อันที่จริงก็เป็นการแสดงความกตัญญูแทนข้า อีกทั้งเจ้าเองก็เป็นผู้สืบทอดกองทัพตระกูลมู่ที่มีคุณสมบัติที่สุด แบกรับภาระหนักอึ้งของกองทัพตระกูลมู่ที่หลินชวน ปกป้องประชาชนที่ควรปกป้อง ปกป้องแว่นแคว้น ส่วนเจ้า…”

นางละสายตามองมู่สวี่ยอู่ “เจ้าสืบทอดสายเลือดตระกูลซาง กลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราที่มีชื่อเสียงดีเด่นผู้หนึ่ง นำเกียรติยศมาให้ตระกูลมู่ก็ทำสุด ความสามารถ พยายามทำเพื่อตระกูลนี้เช่นเดียวกัน”

มู่ชิงเกอกางแขนทั้งสองออก โอบไหล่คนทั้งสองไว้กล่าวกับพวกเขา “พวกเราเป็นเหมือนกัน พวกเราเลือกทางเดินที่ต่างกันก็ต้องเผชิญหน้ากับความรับผิด ชอบที่ต่างกัน พวกเจ้าทำเรื่องที่พวกเจ้าควรทำ ส่วนตระกูลให้ข้าคอยปกป้อง ข้าไม่อาจให้ผู้ใดก็ตามแต่มาก่อกวนความสงบสุขในตระกูล ต่อให้ฟ้าดินจะสลาย ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลของพวกเราได้รับผลกระทบแม้แต่นิดเดียว นี่ก็คือความรับผิดชอบที่ข้าเลือกเป็นผู้แข็งแกร่ง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version