ตอนที่ 911
ข้าไม่เดียวดาย
“ท่านพี่ ท่านแบกทั้งหมดนี้ไว้คนเดียว ลำบากเกินไปแล้ว เดียวดายเกินไปแล้ว ข้าจะบำเพ็ญเพียรให้ดี ข้าจะช่วยปกป้องตระกูลของพวกเราร่วมกับท่าน” มู่อี้เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
คิดดูแล้ว เขาก็เป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่อายุน้อยในตระกูล แต่กลับคิดแต่จะใช้ชีวิตธรรมดาๆ ของตน ไม่คิดจะแสวงหาความก้าวหน้า ให้พี่สาวคนโตของตนไปเผชิญหน้ากับลมมรสุมทั้งหมดข้างนอก น่าละอายเกินไปจริงๆ
เหมือนอย่างวันนี้ มีอันตรายเข้ามา เขาไม่มีแม้แต่กำลังจะปกป้องคนในตระกูล ทำให้พี่สาวสบายใจ กลับยังต้องให้คนอื่นมาปกป้อง
“ข้าไม่เดียวดาย” มู่ชิงเกอกล่าว
ประโยคนี้ ไม่ใช่การปลอบขวัญ
ตอนที่นางพูดประโยคนี้ออกมา สิ่งที่ปรากฎขึ้นในสมองนาง ก็คือเค้าโครงใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้น “ตลอดการเดินทางของข้า พวกเจ้าอาจดูคล้ายกับว่า ลำบากอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้ว ข้ามีความสุข ข้างกายข้ามีสหายร่วมอุดมการณ์มีองครักษ์เขี้ยวมังกร มีมิตรแท้คนสนิท มีคนที่ยินดีสู้รบเคียงบ่าข้ามากมายอยู่ข้าง ข้า ดังนั้นข้าไม่โดดเดี่ยว”
“แต่ว่า…”
“อี้เฉิน หากว่าตัวเจ้าเองคิดอยากจะเดินบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่ง ข้าก็จะสนับสนุน แต่หากเจ้าเพียงแค่สงสารข้าจึงละทิ้งชีวิตที่เจ้าต้องการ เช่นนั้นก็ไม่จำ เป็นเลย”
มู่อี้เฉินยังอยากพูดต่อ แต่กลับถูกมู่ชิงเกอตัดบทพูดที่ยังไม่ออกจากปากเขา
“ท่านพี่…” ในดวงตามู่อี้เฉินพลันเกิดความชื้น
เขาไม่ใช่คนที่อยากแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดพักชนิดนั้น เขาเพียงแค่รู้สึกว่ากองทัพตระกูลมู่เหมาะสมกับเขา เขาชอบความรู้สึกของค่ายทหาร ชอบการร่วม กันฝึกฝน ร่วมกันฆ่าฟันในสนามรบกับกองทัพตระกูลมู่
“เอาเถอะ ข้าเคยบอกแล้ว พวกเราแต่ละคนล้วนมีทางเลือกเป็นของตัวเอง ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ขอเพียงหัวใจของเราอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว ตระกูลของพวกเราก็จะไม่มีวันล่มสลาย ไม่มีวันแตกแยก” มู่ชิงเกอตบบ่าน้องชายน้องสาวเบาๆ ปลอบประโลม
“เกอเอ๋อร์นอนแล้วหรือยัง”
จู่ๆ นอกประตูก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา
เงาสะท้อนของคนนอกประตู ปรากฎอยู่บนหน้าต่าง เป็นเค้าโครงด้านข้างของชายผู้หนึ่ง
“ท่านพ่อ”
มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“ยังไม่นอน” มู่ชิงเกอเอ่ยปากตอบ ทว่าในใจกลับประหลาดใจว่ามู่เหลียนเฉิงมาหาตนดึกเพียงนี้ทำไมกัน
“หากยังไม่นอนก็ออกมาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย” มู่เหลียนเฉิงกล่าวต่อ
มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินละสายตามองมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอกล่าวกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าไปพักก่อนเถอะ” พูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตู
เมื่อนางเปิดประตูห้องก็มองเห็นมู่เหลียนเฉิงที่ยืนอยู่นอกประตู
“ท่านพ่อ” มู่ชิงเกอเรียงเสียงเบาหนึ่งครา
มู่เหลียนเฉิงพยักหน้าเบาๆ กล่าวกับนาง “พวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ”
“ตกลง” มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าตามบิดาออกไป
พวกเขาไม่ได้เดินออกไปไกล เพียงแค่เดินเล่นตามอำเภอใจอยู่ใต้แสงจันทร์ในลานบ้าน บังเอิญพบองครักษ์ลาดตระเวนเดินผ่าน เห็นมู่ชิงเกอกับมู่เหลียนเฉิงก็พากันทำความเคารพ
“เกอเอ๋อร์เจ้าตำหนิพ่อหรือไม่” ทันใดนั้น มู่เหลียนเฉิงก็กล่าวถาม
ตำหนิหรือ
มู่ชิงเกอประหลาดใจเล็กน้อย มองมู่เหลียนเฉิง อย่างงุนงง นางไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ มู่เหลียนเฉิงถึงพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
ตำหนิหรือไม่
มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบทันที แต่กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ
และความนิ่งเงียบของนางก็ทำให้หัวใจมู่เหลียนเฉิงกระวนกระวายขึ้นมา
‘หากเป็นมู่ชิงเกอตัวจริง…’ มู่ชิงเกอหลุดหัวเราะ ส่ายหน้า ท่ามกลางการรอคอยของมู่เหลียนเฉิง นางกล่าวด้วยนํ้าเสียงมั่นใจ “ไม่ตำหนิ”
สามคำนี้ คล้ายกับปลดพันธนาการในใจของมู่เหลียนเฉิงออก ทำให้ดวงตาเขาร้อนผ่าว แทบจะนํ้าตาร่วง
“เรื่องในปีนั้น ท่านพ่อเป็นผู้ถูกทำร้าย” มู่ชิงเกอกล่าว
มู่เหลียนเฉิงยิ้มอย่างเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย “แต่ว่าหลังจากคืนชีพ บิดาเช่นข้ากลับทำหน้าที่ของพ่อไม่ได้ ทำให้ลูกเช่นเจ้าต้องมาคอยปกป้องตระกูลมู่”
“ท่านพ่อ ต้องคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ด้วยหรือ” มู่ชิงเกอพลันหยุดเท้า ดวงตาที่ใสสะอาดจ้องมองเขา
คืนวันนี้ คนในตระกูลของนางแต่ละคนล้วนเผยสีหน้าละอายใจออกมา แต่ละคนล้วนรู้สึกสงสารนาง ขอโทษนาง
มู่เหลียนเฉิงเองก็หยุดลงเช่นกัน มองมู่ชิงเกอ ความรู้สึกในดวงตานาง ซับซ้อนยากจะเข้าใจ
“นี่คือทางเดินของข้า เหตุใดพวกท่านถึงต้องรู้สึกขอโทษข้า หากปีนั้นข้าไม่ได้ออกจากหลินชวน พวกท่านเองก็ไม่มีทางพบเจอเรื่องเหล่านี้พวกท่านไม่โทษข้าที่นำความเดือดร้อนมาให้ข้าก็ซึ้งใจแล้ว”
นี่คือคำพูดจากใจจริง
หากว่าตอนแรก นางอยู่ที่หลินชวนต่อก็ยังคงเป็นคุณชายลูกผู้ดีผู้นั้นของจวนตระกูลมู่ กุมอำนาจสำคัญในหลินชวนต่อไปได้ แน่นอนว่าไม่อาจแตะต้องสิ่งต่างๆ จำนวนมาก ไม่อาจรู้จักโลกแห่งยุคกลาง ไม่อาจรู้จักแผ่นดินเทพมาร และไม่อาจรู้จักเผ่าฝู ไม่อาจพัวพันกับเรื่องทั้งหมดได้
ทว่า หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่านางจะดูเหมือนสงบสุข แต่อยู่เบื้องหน้าผู้แข็งแกร่ง นางก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่ง
“ท่านพ่อ ข้าดีใจอย่างยิ่ง” มู่ชิงเกอกล่าวกับมู่เหลียนเฉิงด้วยความตั้งใจ “วันนี้ที่เผชิญหน้ากับการคุกคามของเผ่าฝู ข้าเป็นผู้ควบคุมหลัก ข้าสามารถกุมการสู้รบ ครั้งนี้ได้ และไม่ได้เป็นเพียงมดที่ไร้จุดยืน มอบชีวิตไว้ในมือคนอื่น ดังนั้น ข้าจึงดีใจในทางเลือกตอนแรก ช่วงเวลานี้ในตอนนี้ ข้าปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ในใจข้าอยากปกป้องได้”
มู่เหลียนตกตะลึงในคำพูดของมู่ชิงเกอ ชั่วขณะก็หมดคำพูด
“ท่านพ่อ พวกท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าพวกท่านกลายเป็นภาระ สงสารข้า และไปตำหนิโทษตัวเอง นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่าน ทั้งหมดเป็นทางเลือกของตัว ข้าเอง” มู่ชิงเกอกล่าว
มู่เหลียนเฉิงเงียบอยู่นานในที่สุดก็เพียงแค่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
เขาหลับลึกไปยี่สิบกว่าปี พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบำเพ็ญเพียรไปนานแล้ว อีกทั้ง หลังจากที่คืนชีพ เขาก็ยิ่งไม่มีปณิธานความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ในใจเขา ครอบครัวสำคัญที่สุด
“เกอเอ๋อร์ตระกูลมู่ของพวกเรา จุดเริ่มต้นตํ่าต้อย แต่ว่าลักษณะนิสัยของพวกเราไม่ตํ่าต้อย เจ้าต้องไปทำอะไรก็ไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้า เจ้าวางใจ พ่อของเจ้า น้องชายของเจ้า ไม่ใช่คนที่จะถูกข่มเหงรังแกได้ง่ายๆ ตระกูลนี้ไม่ใช่แค่เจ้าที่ต้องปกป้อง แต่ควรจะเป็นพวกเราร่วมกันปกป้อง” ผ่านไปนานอย่างยิ่ง มู่เหลียนเฉิงจึงกล่าวกับมู่ชิงเกอ
ตอนที่มู่เหลียนเฉิงพูดประโยคนี้ออกมา มู่ชิงเกอก็แทบจะมองเห็นแม่ทัพหนุ่มที่ควบม้าลงสนามรบ ตั้งแต่อายุยังน้อย งามสง่าเหนือใครผู้นั้นในกองทัพตระกูลมู่
ปณิธานฮึกเหิมเช่นนั้นทำให้คนรู้สึกปลอดภัย เหนือสิ่งอื่นใดชนิดหนึ่ง
นางพยักหน้าอย่างหนักหน่วง
ราตรีนี้นางคลายความอัดอั้นตันใจกับคนในบ้าน
ราตรีนี้นางนอนหลับฝันหวานเป็นพิเศษ และสบายใจมากเป็นพิเศษเช่นกัน
ราตรีนี้ เดิมควรจะเป็นคืนแต่งงานใหม่ของนางกับซือมั่ว แต่ตอนนี้ซือมั่วอยู่ที่แดนมาร
ราตรีนี้ผ่านไป ฟ้าสาง มู่ชิงเกอก็ใช้เรืออากาศพาคนในบ้านกลับไปยังโลกแห่งยุคกลาง หลังจากนั้นก็จากไปโดยเร็ว
ก่อนจาก มู่ซงกล่าวกับนาง…ให้นางจำไว้ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใคร ไม่ว่ากายจะอยู่แห่งใด ต้องจำไว้ว่า นางคือคนตระกูลมู่ ตระกูลมู่ทั้งตระกูลต่างก็เป็นกำลังหนุน
ของนาง รอนางเรียกใช้อยู่ทุกเมื่อ
ซางซุนหวางเองก็กล่าวกับนาง แม้ว่ากำลังของตระกูลซางจะน้อยนิด แต่ก็ยินดีช่วยนางเบาแรง หากต้องการตระกูลซางเมื่อใด พวกเขาก็พร้อมวิ่งมาเต็มแรง
เก็บความห่วงใยที่เข้มข้นของคนในบ้าน มู่ชิงเกอกล่าวลาชั่วคราว กลับไปยังเก้าชั้นฟ้า