บทที่ 1183 ยังจะแสดงต่อไปอีก!
“ใช่ๆ รีบล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแล้วไปรอที่เตียง ให้ท่านเจ้าเชยชม…เจ้าทำให้ท่านเจ้าพึงพอใจสิ บางที… ”
คำพูดหยาบโลนพรั่งพรูออกมาจากฝูงชนไม่ขาดสาย ฝูงชนตรงนั้นเย้ยหยันอย่างบันเทิงเริงใจ ทันใดนั้น ลำแสงสีขาววาบผ่านข้างกายคนเหล่านั้นไปดั่งสายฟ้าฟาด
“อ๊าก~”
“อ๊า!”
“อ๊ากกก…”
เสียงกรีดร้องประหนึ่งสุกรถูกเชือดดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน บางคนกระโดดขึ้นสูงกว่าสามฉื่อ เลือดไหลออกจากปาก พ่นลิ้นที่ขาดมากกว่าครึ่งอันออกมา…
ลำแสงสีขาวนี้ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลบหนี พวกเขายังไม่ทันเห็นว่าลำแสงขาวนี้แท้จริงมาจากที่ใดก็ถูกเล่นงานเสียแล้ว!
สุดยอดฝีมือมากมายในสถานที่แห่งนี้ กลับมีเพียงไม่กี่คนที่ดูออกว่าลำแสงขาวนี้มาจากที่ใด เพียงรับรู้ว่ามันระยิบระยับมาก แข็งแกร่งยิ่งนัก ผู้มีพลังวิญญาณไม่ถึงขั้นเก้า ไม่อาจสำแดงออกมาได้
เพียงชั่วครู่นั้นทุกคนต่างคิดว่าเป็นศัตรูจากภายนอก มองไปโดยรอบด้วยความสับสนงงงวย
ทว่าเมื่อสายตาดุจคมมีดของโม่เจ้ามองที่ร่างของตี้ฝูอี ถึงกับปิดความตื่นตระหนกในแววตาเอาไว้ไม่ได้ “เจ้า…”
แสงสีขาวนั้นกลับเป็นตี้ฝูอีที่แม้แต่จะยืนยังยืนไม่อยู่สำแดงออกมา!
บัดนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังยืนพิงกู้ซีจิ่วอย่างไร้เรี่ยวแรง ในมือถือกระบี่ที่กู้ซีจิ่วให้มาเล่มนั้น “ลิ้นมีไว้กินข้าว ในเมื่อพวกเจ้าเอามาพรํ่าเพ้อแต่เรื่องโสมม เช่นนั้นก็อย่ามีมันเสียเลย”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
สีหน้าของฝูงชนแปรเปลี่ยน!
ถอยหลังกันไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้ถูกทรมานเสียจนน่าสมเพช กลับยังตัดลิ้นคนได้อย่างคล่องมือ?!
กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน หันมองตี้ฝูอีที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง “พลังวิญญาณของท่านไม่ได้ถูกทำลายไปแล้วหรอกหรือ?”
ตรวนสลายวิญญาณของโม่เจ้าคงไม่ใช่ของเทียมไร้ซึ่งคุณภาพหรอกกระมัง?!
ตี้ฝูอียังยืนพิงตัวนางเหมือนเดิมอย่างไร้เรี่ยวแรง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แน่นอนว่าถูกทำลายไปแล้ว และยังถูกทำลายไปไม่น้อยด้วย”
กู้ซีจิ่วกล่าวพูดไม่ออก ‘ยังจะแสดงต่อไปอีก!’
ความจริงเธอยังประหลาดใจ เธอได้กลิ่นเหม็นจากชายอื่นมาตลอด แต่วันนี้ตอนกราบไหว้ฟ้าดิน มีผู้ชายรายล้อมมากมาย ทว่าประสาทสัมผัสการรับกลิ่นของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว…
ตี้ฝูอีเดิมที่มีแต่กลิ่นเหม็นปลาเค็มก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมจางๆ ที่อบอุ่นแล้ว แต่คนผู้นี้กลับยังเสแสร้งได้อีก กู้ซีจิ่วตัดสินใจทำลายความภาคภูมิใจของเขา ส่งกระแสเสียงถึงเขาว่า ‘ตัวท่านเหม็นยิ่งนัก’
ตี้ฝูอีนิ่งเงียบ ในที่สุดก็ยืดตัวตรง เอ่ยถามนางด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ประสาทสัมผัสการรับกลิ่นของเจ้าไม่ได้ฟื้้นกลับมาด้วยหรอกหรือ?”
ทั้งที่เมื่อคืนเขาแอบให้นางกินยาถอนพิษ โดยหลักการแล้วควรจะออกฤทธิ์เมื่อสักครู่ก่อนกราบไหว้ฟ้าดิน…
นางแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังคิดว่านางกลับเป็นปกตินานแล้ว คาดไม่ถึงว่า…
กู้ซีจิ่วทำเสียงขึ้นจมูก “ท่านลองทายดู?”
จากนั้นเหลือบมองเสื้อคลุมที่มีคราบเลือดกระดำกระด่างของเขาด้วยท่าทางรังเกียจ ในที่สุดตี้ฝูอีก็เข้าใจ หลายวันมานี้เพื่อเล่นละครตบตาให้ได้
สมบูรณ์แบบ เขาอดทนกับความสกปรกที่น่ารังเกียจนี้มาตลอด ไม่เพียงแต่ไม่อาบนํ้า แม้แต่วิชาชำระล้างก็ไม่ได้ใช้…
เขาอยู่ภายในห้องคุมขังร่วมสิบวัน หยาดเหงื่อโซมกาย ผสมคราบเลือดอีกกึ่งหนึ่ง ทุกวันผ่านไปเช่นนี้ ร่างกายของเขา…เหม็นจนทนไม่ไหวแล้ว จริงๆ!
ต่อให้จมูกของนางไม่ได้สูญเสียประสาทสัมผัสการรับกลิ่น ตัวเขาก็เหม็นกว่าปลาเค็มเป็นเท่าทวี!
เป็นเช่นนั้นแน่แท้…
ตี้ฝูอีสะบัดชายเสื้อ แสงดังระลอกคลื่นสายหนึ่งวาบผ่าน คราบเลือดดำด่างบนตัวเขาพลันจางหาย เส้นผมสีดำขลับดังนํ้าตกปลิวสยาย ชุดสีม่วงดั่งเมฆายามพลบคํ่าลอยล่อง ดวงตาสุนัขจิ้งจอกตรงหน้าผากส่องแสงแวววับ กลับมาเป็นคุณชายที่สง่างามอย่างที่เคยเป็น “เช่นนี้เล่า?”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
ตี้ฝูอียังจัดระเบียบเครื่องแต่งกายเหมือนรอบกายไม่มีผู้ใด และอมยิ้มน้อยๆ “บัดนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นแล้วกระมัง?”