ตอนที่ 264 สามวิธี
ลายเส้นนี้คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดจากวิชาของซูหมิง!
การวาดครั้งนี้ เขาลอกเลียนรูปแบบที่หนึ่งจากวิชาเปลี่ยนเทพหมานของซือหม่าซิ่น วาดมันด้วยจิตใจสงบหลายต่อหลายครั้งติดต่อกันหลายวัน ทำให้ลายเส้นนี้แฝงไว้ด้วยการสร้างของเขา
ลายเส้นนี้ไม่ใช่กระบี่เล่มนั้นของซือหม่าซิ่นอีกต่อไป และไม่ใช่ลายเส้นตอนประลองกับเทียนหลันเมิ่ง แต่ซูหมิงฝึกฝนมันจนถึงตอนนี้ มันเป็นตัวแทนชีวิตของเขา เป็นตัวแทนอุปสรรคต่างๆ ตั้งแต่มาแดนอรุณใต้ เป็นตัวแทนความทรงจำในภูเขาทมิฬ ทุกอย่างเหล่านี้หลอมรวมอยู่ในลายเส้นนี้ ทำให้ลายเส้นนี้คือการสร้าง!
เหมือนกับโลกนี้ เมื่อก่อนจะไม่มีทางพบลายเส้นนี้ที่ซูหมิงวาดออกมา การวาดลายเส้นนี้ราวกับมีอยู่ในความไม่มี สร้างออกมาเป็น…การสร้างฟ้าดินของซูหมิง!
ลายเส้นปรากฏบนท้องฟ้า ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทว่าสายลมกลับสงบนิ่ง ลายเส้นพลันเข้าปะทะกับลิ้นกิ้งก่ายักษ์ที่สร้างจากเหงื่อทั้วตัวของชายชราเผ่าเชมัน
เสียงร้องโหยหวนกับเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดินดังกึกก้องอยู่ในป่าทึบและแผ่นดินเผ่าเชมันแห่งนี้ มันแผ่กระจายรอบแปดทิศ ประหนึ่งสะท้อนไปถึงเก้าชั้นฟ้า
กิ้งก่ายักษ์ที่รวมขึ้นจากควัน ลิ้นของมันพลันแตกกระจาย ถูกลายเส้น ถูกการวาด ถูกกระบี่จากนิ้วที่ซูหมิงสร้างขึ้นระเบิดกระจุยทันใด
ทุกอย่างยังไม่สิ้นสุด ช่วงที่ลิ้นกิ้งก่ายักษ์ระเบิดกระจาย ชาวเผ่าเชมันเจ็ดคนที่พุ่งตัวเข้าใส่ซูหมิงล้วนเปลี่ยนสีหน้า ในดวงตาของพวกเขามีประกายวูบผ่าน ประกายแสงนี้มิได้มาจากตัวพวกเขา แต่มาจากลายเส้นน่าสะพรึงของซูหมิงที่สะท้อนแสงใส่ดวงตาพวกเขา
วินาทีที่ประกายแสงขยับวิบวับ ทั้งเจ็ดคนตัวสั่นสะท้าน คนตรงหน้าสุดร่างระเบิดกระจายขณะตัวสั่นเทา ก่อนกลายเป็นหมอกโลหิตหายไป
คนที่สองตัวสั่นอย่างรุนแรง แขนขวากับขาขวาเหมือนถูกกระบี่ตัดผ่านจนขาดออกจากตัว ล้มกลิ้งไปด้านหลังพร้อมกับร้องอย่างน่าเวทนา
คนที่สาม ตรงหน้าอกปรากฏรอยแผลยาวน่าสะพรึง เหมือนกับตรงหน้าอกกลายเป็นกระดานวาดภาพ ลายเส้นนั้นของซูหมิงตวัดลงบนตัวเขา ก่อนกระอักโลหิตกองโต ใบหน้าพลันซีดขาวหาได้เปรียบ สีหน้าตื่นตะลึง
คนที่สี่เป็นชายหนุ่มอายุแค่ราวยี่สิบกว่าปี มีหน้าตาหล่อเหลา บนใบหน้ามีรอยสักไม่เยอะนัก ทว่าตอนนี้บนใบหน้ากลับมีเส้นโลหิตลากยาวจากศีรษะลงมาจนถึงหน้าอกขวา โลหิตไหลจากมุมปาก ร่างซวนเซถอยไปหลายก้าวก่อนหยุดลง
คนที่ห้า เสื้อหนังสัตว์ท่อนบนกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวหาย ตรงหัวใจมีรอยโลหิตจางๆ สายหนึ่ง แม้จะอ่อนจางมากก็ยังเปิดผิวหนังออก โลหิตสดไหลริน
คนที่หก เสื้อผ้าขาดกระจุยเช่นกัน ตรงหน้าอกไม่มีร่องรอย แต่ใบหน้ากลับยังขาวซีด
คนสุดท้ายไม่เป็นอะไร ทว่าเขากลับตัวสั่นเทิ้มมากที่สุด เขาเห็นสหายของตนตายตกและบาดเจ็บหนักกับตา คนที่เหลือล้วนมีอาการบาดเจ็บจากหนักไล่มาเบาตามลำดับ
อีกทั้งสาเหตุของทุกอย่าง เป็นแค่เพราะชาวเผ่าหมานตรงหน้าวาดมือขวาอย่างสบายๆ เพียงครั้งเดียว!
การวาดครั้งนี้สูบเอาวิญญาณของเขา สร้างความตะลึงให้กับจิตใจเขา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกยากจะต่อกรกับซูหมิงได้ในชีวิตนี้โดยที่ไม่รู้ตัว
ความรู้สึกเช่นนี้มิใช่มีเขาเพียงคนเดียว คนที่เหลือก็เช่นกัน ซูหมิงหลับตาโดยตลอดขณะวาดลายเส้นนี้ ทำให้ดูเหมือนวาดตามอำเภอใจ ราวกับสร้างภาพฟ้าดินได้อย่างอิสระ สิ่งที่บาดเจ็บสาหัสไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่ที่มากกว่านั้นคือความกล้าหาญของพวกเขา! จิตใจของพวกเขา!
พวกเขาหวาดกลัวแล้ว สำหรับตัวซูหมิงเอง เขาได้ประมือกับชาวเผ่าเชมันน้อยมาก และก็เช่นเดียวกัน ใช่ว่าชาวเผ่าเชมันทุกคนจะมีประสบการณ์เคยประมือกับชาวเผ่าหมาน
ซูหมิงรู้สึกว่าวิชาของเผ่าหมานเต็มไปด้วยความลึกลับเกินหยั่งถึง ขณะเดียวกัน ในความคิดของเผ่าเชมัน วิชาของซูหมิงไม่เพียงแต่ลึกลับ มันยังมีความน่ากลัวที่พวกเขาไม่เข้าใจอยู่ด้วย
เหมือนกับสายฟ้าธรรมชาติ เหตุใดมันถึงปรากฏ เหมือนกับสายฝนธรรมชาติ เหตุใดมันถึงไม่ลอยขึ้นจากผืนดินแต่ตกลงมาจากท้องฟ้า เรื่องน่าฉงนเหล่านี้บางทีอาจมีนักปราชญ์เข้าใจเนื้อแท้ของมัน แต่ชาวเผ่าเชมันส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ
ลายเส้นของซูหมิงก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเช่นกัน!
ในความคิดของพวกเขา นี่ไม่ใช่อภินิหาร ไม่ใช่วิชา พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพอยกมือขึ้นวาดแล้วถึงได้มีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลายเส้นนี้ ต่อให้เป็นแผ่นดินเผ่าหมานก็หายากยิ่งนัก เพราะมันมิใช่วิชาจริงๆ มันคือการสร้าง!
นี่ก็คือการสร้างภาพวาดฟ้าดินของซูหมิง!
กล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงสำแดงความหมายแห่งการสร้างของเขาอย่างสมบูรณ์ และเปิดเผยอย่างแท้จริง! เสมือนเสียงแห่งการสร้างของศิษย์พี่ใหญ่ ประหนึ่งมือแห่งการสร้างของศิษย์พี่สอง ซูหมิงในตอนนี้ นี่คือภาพแห่งการสร้างของเขา!
วาดลายเส้นโดยใช้ท้องฟ้าเป็นฉาก ใช้คนเป็นกระดาษ ลากผ่านคนทั้งเจ็ด…เหมือนใช้น้ำหมึกวาดบนกระดาษ แล้วพลังที่แทรกเข้าไปซึมทะลุกระดาษออกมา!
กระดาษใบแรกหนาที่สุด จากนั้นค่อยๆ บางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกระดาษใบสุดท้ายถึงจะจางหายไป
ซูหมิงลืมตากระอักโลหิตหนึ่งกอง
ช่วงที่เขาลืมตาจึงได้ตระหนักว่า ก่อนหน้านี้เขาฉงนกับคำว่าสร้างมาโดยตลอด ทั้งยังสับสนกับคำว่าสร้างแห่งบรรพกาลที่ชาวหมานคนอื่นใช้อยู่เล็กน้อย
เทียนเสียจื่อเป็นอาจารย์ที่ดีของเขา แต่ก็มิใช่อาจารย์ที่ดีเช่นกัน มีหลายเรื่องที่เขาไม่บอกศิษย์ ปล่อยให้พวกเขาตระหนักรู้ด้วยตัวเอง
เมื่อรู้แจ้งแล้วก็คือเข้าใจ
ช่วงวินาทีนี้ ซูหมิงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือการสร้างแห่งบรรพกาล
ลายเส้นที่เขาวาดเมื่อครู่ หากจะให้กล่าวจริงๆ เป็นแค่หนึ่งบรรพกาลสร้างหนึ่ง เพียงแต่แม้จะเป็นเช่นนั้น มันกลับเป็นการสร้างอย่างแท้จริง
แม้จะคล้ายกับสิบบรรพกาลไปจนถึงร้อยบรรพกาลสร้างหนึ่งของซือหม่าซิ่นก็ตาม ทว่าความจริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซูหมิงวาดลายเส้นแบบนี้สิบเส้นรวมเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา อีกทั้งทุกเส้นยังมีพลังของฟ้าดิน นอกจากนี้ในแต่ละเส้นยังต่างกันอีก ฉะนั้นวาดออกมาสิบเส้นก็เรียกได้ว่า สิบบรรพกาลสร้างหนึ่ง
หากหนึ่งร้อยเส้นก็จะเป็นร้อยบรรพกาลสร้างหนึ่ง หากพันเส้นก็จะเป็นพันบรรพกาลสร้างหนึ่ง หากซูหมิงวาดลายเส้นถึงระดับเหนือจินตนาการ วาดรวมกันหนึ่งหมื่นเส้นได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นลายเส้นที่รูปร่างเหมือนแต่จิตวิญญาณต่าง การวาดแบบนั้นจะเรียกว่าหมื่นบรรพกาลสร้างหนึ่งของเทพหมาน!
ลายเส้นแบบนี้ต่างจากลายเส้นหลายหมื่นเส้นตอนประลองกับเทียนหลันเมิ่ง หลายหมื่นลายเส้นนั้นสุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงกลายเป็นหนึ่งเส้นเท่านั้น ทว่าสิ่งที่หมื่นบรรพกาลสร้างหนึ่งต้องการคือหนึ่งเส้นที่รวมกัน และอย่างน้อยที่สุดหนึ่งหมื่นเส้นนั้นต้องต่างกันด้วย
ซูหมิงเข้าใจแล้ว
ทว่าขณะเดียวกับที่เข้าตระหนักรู้เรื่องเหล่านี้ เขาสัมผัสได้ว่าจิตใจของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้คือจิตใจสับสน เพราะภาพลายเส้นเมื่อครู่ ในความคิดเขาปรากฏเด็กสาวที่ต่างกันสองคน เด็กสาวสองคนนี้หนึ่งคือไป๋หลิงในชุดขาวกลางหิมะ อีกหนึ่งคือไป๋ซู่ในชุดคลุมม่วงกำลังเงยหน้าขึ้น สีหน้าหนักแน่น แววตาเหยียดหยาม
ทั้งสองคนที่ต่างกันนี้มีใบหน้าเหมือนกัน มีความงามแบบดื้อรั้นเช่นเดียวกัน
‘จิตใจเปลี่ยน…’ คำๆ นี้ซูหมิงได้ยินจากปากของเทียนเสียจื่อหลายครั้ง และรู้ด้วยว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับจิตใจเปลี่ยนครั้งแรก ทว่าความจริงแล้วก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าจิตใจเปลี่ยนคืออะไร
ในจุดนี้เทียนเสียจื่อไม่ได้บอกอย่างละเอียด ยังคงปล่อยให้ศิษย์ของตนตระหนักรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลังจากซูหมิงวาดลายเส้นนั้น เหมือนกับนำทุกอย่างในจิตใจหลอมรวมเข้าไป แล้วปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์พร้อมลายเส้นที่เชื่อมต่อกับฟ้าดินประหนึ่งระบายออกมา สภาพจิตใจเขาจึงว่างเปล่า
ในความว่างเปล่า ซูหมิงเข้าใจการสร้างแห่งบรรพกาล เพราะจิตใจว่างเปล่าจึงปรากฏเด็กสาวสองคน และได้เข้าใจว่าอะไรคือจิตใจเปลี่ยน
ในชีวิตคนเรามีอยู่เจ็ดความรู้สึกหกความปรารถนา นั่นคือหนึ่งในต้นตอที่ส่งผลกระทบถึงตัวเรา มันจะทำให้เราจิตใจไม่สงบ ดังนั้นจึงเกิดความปั่นป่วน หากจัดการไม่ดีก็ยากจะฝึกฝนต่อไป เพราะถ้าจิตใจไม่สงบ แล้วจะหลอมรวมเข้าไปในสิ่งอื่นได้อย่างไร
ตอนนี้เรียกได้ว่าจิตใจเปลี่ยน
ตอนนี้ต้องคิดหาวิธีให้ตนสงบลง หนึ่งในวิธีนั้นคือการต่อสู้!
ต่อสู้กับจิตใจเปลี่ยน ใช้การต่อสู้เป็นตัวพิสูจน์!
เหมือนกับที่เทียนเสียจื่อพาซูหมิงมา ให้ซูหมิงได้เห็นเขาต่อสู้กับศิษย์น้องเจ็ดของตน!
วิธีที่สองคือการสังหาร!
สังหารจิตใจเปลี่ยน! เหมือนกับตอนอยู่บนแผ่นดินเผ่าเชมัน เมื่อเสื้อคลุมม่วงปรากฏ หากไม่มีโลหิตหัวใจหนึ่งพันดวงก็จะไม่หายไป!
วิธีที่สามคือการลืม…ลืมสาเหตุของจิตใจเปลี่ยน ลืมจนมันหายไป
เหมือนกับตอนที่เทียนเสียจื่อพาซูหมิงไปหาชายชราที่สร้างซวิน แล้วกล่าวประโยคนั้นออกมา
‘เขาเป็นคนตาบอด เจ้ามองออกรึไม่…’
ไม่ว่าชายชราคนนั้นตาบอดรึไม่ ประโยคนั้นก็มีความหมายแฝงคือการลืมอย่างหนึ่ง
เวลานี้ซูหมิงเข้าใจแล้ว เขายังเข้าใจอีกว่าอาจาย์รักและเป็นห่วงเขา นี่มิได้มาจากคำพูดหรือสีหน้า แต่มาจากการกระทำหลายอย่าง มันบอกกับเขาว่าอะไรคือจิตใจเปลี่ยน และควรจะรับมือกับมันด้วยวิธีใด!
เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอาจารย์ให้เขาล่าสังหารชายคู่ดารา
‘บางทีในใจของอาจารย์ นอกจากจะบอกข้าถึงความโหดเหี้ยมของเผ่าเชมันแล้ว ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่…’ ยามนี้ซูหมิงสัมผัสได้ถึงคำพูดที่เทียนเสียจื่อมิได้กล่าวไว้
‘ต่อสู้ สังหาร ลืม…ทางเลือกของอาจารย์คือให้ข้า…สังหารจิตใจเปลี่ยน!’
สังหารจิตใจเปลี่ยน สังหารไป๋ซู่ ก็จะทำลายจิตใจเปลี่ยนได้ หากไม่มีไป๋ซู่ก็ไม่อาจกระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับไป๋หลิงในใจซูหมิง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงาของนางที่ทำให้ซูหมิงจิตใจไม่สงบ
หากยังทำไม่ได้ก็ต้องลืม ลืมทุกสิ่ง แล้วจะผ่านจิตใจเปลี่ยนไปได้เอง หากยังทำไม่ได้อีกก็ต้องสู้ สู้กับซือหม่าซิ่นก็ดีหรือคนอื่นก็ดี ในขณะต่อสู้ก็ต้องพิสูจน์จิตใจของตัวเอง!
นี่คือเส้นทางที่เทียนเสียจื่อชี้แนะให้ซูหมิง
‘หากเย็นชาไร้หัวใจ ไม่มีเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนา คนแบบนี้จะเกิดจิตใจเปลี่ยนหรือไม่…’ ขณะที่ซูหมิงตระหนักรู้ทุกอย่าง ก็ยังมีความฉงนอยู่
ความคิดทุกอย่างล้วนผุดขึ้นหลังจากวาดลายเส้นนั้น ช่วงที่พลันลืมตาและตระหนักรู้ดูเหมือนช้า ทว่าความจริงแล้วเพียงแค่มือขวาของเขาวาดอากาศเสร็จ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ตรงมุมปากเขามีโลหิตรินไหล ซูหมิงพลันเคลื่อนตัวถอยหลัง ห้อเหยียดเข้าไปในส่วนลึกของป่าทึบ
หนึ่งลายเส้นที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาสามารถต่อสู้กับคนทั้งเจ็ด ทว่าในใจซูหมิงรู้ดี เขาเอาชนะชายชราที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าทะมึนทึบมิได้ จึงต้องใช้ความตื่นตะลึงของชาวเผ่าเชมันจากลายเส้นนั้นแลกเป็นโอกาสเพียงชั่วครู่ เพื่อหลบหนีอย่างรวดเร็ว!