ตอนที่ 615 ปมที่สิบเอ็ด
กลางดึกไร้ซึ่งหิมะ ดวงจันทร์สว่างไสวดาราบางตา
บางทีอาจเป็นเพราะแสงสะท้อนดวงจันทร์ทำให้แผ่นดินเป็นสีเงิน จึงทำให้ค่ำคืนไม่มืดมิด ตอนซูหมิงเงยหน้าขึ้น จะเห็นแสงไฟวูบวาบอ่อนๆ บนหอสองชั้นตรงกลางยอดเขา
ซูหมิงถือเส้นผมสีขาวเส้นหนึ่งในมือ บนเส้นผมมีอยู่เจ็ดปม
ช่วงที่ซูหมิงละสายตาจากหอสองชั้นก็มองเส้นผมในมือด้วยนัยน์ตาวาววับ เขาขยับสองมือผูกปมที่แปดในทันที วินาทีที่ผูกปมที่แปดเสร็จ จิตใจซูหมิงสั่นสะท้าน เขาพลันรู้สึกว่ามีพลังงานบางอย่างรวมอยู่ในเส้นผมนี้ เหมือนกำลังดิ้นรนและต่อต้าน
ขณะเดียวกัน หญิงชราผมขาวที่นั่งรออยู่บนชั้นหนึ่งของหอสองชั้นมาหนึ่งเดือนกว่าก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ
“ในที่สุดเจ้าก็ลงมือ!” นางทำสัญลักษณ์สองมือชี้ไปยังรูปปั้น รูปปั้นสตรีตรงหน้าพลันเปล่งแสงอบอุ่น หลังจากปกคลุมหญิงชราเอาไว้แล้วนางถึงหลับตาลง
แทบจะเป็นช่วงที่นางหลับตา นอกม่านแสงอบอุ่นจากรูปปั้นรอบตัวหญิงชราในหอแห่งนี้พลันปรากฏร่างเงาหนึ่ง
ร่างเงานี้คือเส้นผมสีขาวเส้นหนึ่ง มันวนเวียนอยู่ในห้อง หมุนวนพันกันจนเพิ่มมาอีกหนึ่งปม ทั้งยังมีกลิ่นอายโบราณอบอวลอยู่รอบๆ พอเส้นผมหมุนวนรอบห้องแล้วก็ผูกปมอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายโบราณเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติตามจิตของข้า!” เสียงเบาดังก้องในห้อง จะให้กล่าวจริงๆ คือดังก้องอยู่ในใจหญิงชรา นางตัวสั่นพลางเปลี่ยนสัญลักษณ์มือไม่หยุด ใช้แสงอบอุ่นต่อต้านปมจากเส้นผมรอบตัว!
บนเส้นผมตอนนี้มีทั้งหมดแปดปม ทุกปมล้วนมีกลิ่นอายโบราณ ยังผลให้เสียงดังก้องในใจหญิงชราอยู่นานไม่เลือนหายปานประทับอยู่ในจิตวิญญาณ
ภาพนี้ต่อให้ใช้จิตสัมผัสก็ตรวจไม่พบ หากมีคนอื่นผลักประตูเข้ามาก็จะไม่เห็นเส้นผมยาว แต่จะเห็นเพียงหญิงชรานั่งฌานอยู่
นี่คือการต่อสู้ทางจิตของซูหมิงกับหญิงชราเท่านั้น!
ในเวลาเดียวกับที่หญิงชราต่อต้านปมเส้นผม ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ซูหมิงใจสั่นสะท้าน โลกรอบตัวเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เขาเห็นเป็นฐานดอกบัวยักษ์ฐานหนึ่ง
บนฐานดอกบัวนั้นมีเสียงพึมพำเบาๆ พูดอะไรซูหมิงก็ได้ยินไม่ชัด จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาข้างหน้าเขา ร่างนางเปล่งแสงอบอุ่น ตอนที่เดินมาและซูหมิงเห็นแล้ว เขาก็จำได้ทันทีว่าบุคคลนี้คือรูปปั้นสตรีบนชั้นหนึ่งในหอสองชั้น!
เพียงแต่ว่าตอนนี้นางเหมือนฟื้นคืนชีพ เดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มและความสะอาดบริสุทธิ์
“องครักษ์ของข้าเมื่อชาติก่อน ชาตินี้ข้ารอเจ้ามานานแล้ว…ในที่สุดเจ้าก็มา” เสียงหญิงสาวนุ่มนวลแฝงไว้ด้วยความหมายเขย่าจิตวิญญาณ
“ชาติก่อน ก่อนตายเจ้าเคยบอกกับข้าว่าหากกาลเวลาย้อนคืนได้ หากคนหันกลับไปมองได้ หากพวกเรามาพบกันอีกครั้ง…หากเจ้าลืมข้า…เช่นนั้นจะยอมให้พวกเราเดินกันไปจนถึงวันที่เส้นผมขาวในสายลมหิมะ” หญิงสาวผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาว เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงด้วยแววตาอ่อนโยน มองซูหมิงด้วยจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ความงามของนางในตอนนี้ราวกับกลายเป็นแสงที่ทำให้ฟ้าดินถอดสี เหมือนกับประทับลงในจิตวิญญาณซูหมิง
“เดินไปกับข้า…ให้ข้าช่วยเจ้าเปิดความทรงจำในอดีต……” หญิงสาวยิ้มอ่อนโยนพลางยื่นมืองามมาตรงหน้าซูหมิง ราวกับรอให้เขาจับมือ
ซูหมิงเงยหน้ามองหญิงผู้มีใบหน้างดงามอย่างยิ่งตรงหน้า ในสายตาเขาเหมือนจะคุ้นหญิงสาวผู้นี้เล็กน้อย ทว่าความคุ้นนี้ ซูหมิง…ไม่ต้องการ!
เขามีสีหน้าเย็นชา ตอนที่มองไปก็ผูกเส้นผมขาวปมที่เก้าเสร็จสิ้น!
วินาทีที่ผูกปมที่เก้า หญิงสาวตรงหน้าพลันมีสีหน้าเศร้าโศก คล้ายจะมีน้ำตารินไหล น้ำตาหยดลงบนฐานดอกบัว ส่งเสียงแปะเบาๆ
ในเสียงนั้น โลกที่ซูหมิงอยู่พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกันน้ำตาหยดนั้น…
ขณะเดียวกันในหอสองชั้น เส้นผมมายาที่วนเวียนรอบแสงอบอุ่นพลันผูกปมที่เก้า ทันใดนั้นเอง เส้นผมก็ปล่อยหมอกดำพุ่งตรงไปกัดกินแสงอบอุ่นรอบตัวหญิงชรา ราวกับจะฉีกมันออกแล้วทะลวงเข้าไปในร่างนาง
หญิงชราหน้าซีดขาว สองมือเปลี่ยนท่าไปอีกครั้ง ปากพึมพำเสียงเบาประหนึ่งกำลังร่ายคาถาอะไรบางอย่าง อีกทั้งนางยังกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตคราหนึ่ง
ครั้นพ่นออกมาแล้วโลหิตก็หายไปในทันที
จากนั้นโลกตรงหน้าซูหมิงที่กำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็กลับมารวมอีกครั้ง ทว่ากลับเป็นอีกโลกหนึ่ง ในโลกนี้เป็นสีโลหิต…
สีโลหิตนั้นไม่ใช่โลหิตสด แต่เป็นสีแดงฉานของใบเฟิง (เมเปิล) เต็มผืนฟ้า มันโปรยปรายอยู่กลางฟ้าดิน ค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นตามสายลม
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ สวมเสื้อคลุมยาวสีแดงเข้ม ในอ้อมอกเขา…มีหญิงสาวใบหน้างามอย่างยิ่งนอนอยู่ หญิงสาวเหม่อมองซูหมิง มุมปากมีโลหิตไหล ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอบอุ่น
นางยกมือสั่นเทาลูบใบหน้าซูหมิง ความอบอุ่นทางสีหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ความรู้สึกดุจดั่งมหาสมุทรจะท่วมตัวเขา
“เจ้ายังนึกไม่ออกรึ…หากภพนี้เจ้าลืมข้า….ข้าจะรอ รอให้พวกเรามาเจอกันอีกครั้งในภพหน้า ภพหน้าเจ้าจะจำข้าได้…” หญิงสาวกล่าวขณะใบหน้าค่อยๆ ซีดขาว ลมหายใจหายไป ทว่าความอบอุ่นของนางกลับประทับในดวงตาซูหมิง สร้างความตื่นตกใจให้กับเขา
“จูบข้าสิ…” หญิงสาวผู้งดงามลูบใบหน้าซูหมิงพลางเอ่ยประโยคสุดท้ายของชีวิต
ความรู้สึกคุ้นเคยในใจซูหมิงกลายเป็นความเจ็บปวดและเศร้าโศกอย่างรุนแรง ราวกับเสียงนางทำให้เขาสูญเสียความรู้สึกของทั้งโลกไป เขาตัวสั่นพร้อมกับก้มหน้าลงจะประกบริมฝีปากนาง หากแต่วินาทีที่ริมฝีปากเข้าใกล้ ซูหมิงหลับตาลงแล้วกล่าวเบาๆ ด้วยความขมขื่น
“ข้าเพียงอยากใช้ที่นี่ฟื้นฟูขั้นพลังและทะลวงขั้นวิญญาณหมาน…ไม่ได้มีใจคิดทำร้ายเจ้า ก่อนข้าไปจะมอบอิสระให้กับเจ้า…..เจ้า…..ไม่ต้องทำเช่นนี้!
ความคุ้นเคยนี้คือสิ่งที่เจ้าบีบบังคับมอบให้ข้า ความทรงจำนี้ก็เป็นวิชาแห่งผู้ดูดวิญญาณ” ช่วงที่ซูหมิงลืม นัยน์ตาเขาใสกระจ่าง สองมือผูกเส้นผมปมที่สิบเอ็ด!
ทันทีที่ผูกปมที่สิบเอ็ด หญิงสาวตรงหน้าฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว จากนั้นโลกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ในเวลาเดียวกัน หญิงชราภายในแสงอบอุ่นจากรูปปั้นบนชั้นหนึ่งในหอสองชั้นพลันตัวสั่นเทา เส้นผมเริ่มไม่ใช่สีขาวอีกแต่กลายเป็นสีดำ รอยย่นบนใบหน้าค่อยๆ หายไปแล้วแทนที่ด้วยสีชมพูชุ่มชื้น
อายุจากชราก็เป็นวัยกลางคน ใบหน้าเปลี่ยนไป ดูงดงามอย่างยิ่ง!
อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังคล้ายกับรูปปั้นหญิงสาว นอกจากอายุแล้ว พวกนาง…เหมือนเป็นคนเดียวกัน!
ส่วนม่านแสงอบอุ่นรอบตัวนาง หลังจากเส้นผมมายาผูกปมที่สิบเอ็ดแล้วมันก็กัดกินแสงอบอุ่นทันที ก่อนตรงไปหาหญิงชราแล้วโอบล้อมตัวนางไว้ จิตแก่กล้าที่นางไม่อาจต่อต้านได้กลายเป็นความน่าเกรงขามในจิตวิญญาณ!
“ข้าคือเจ้านายของเจ้า คำสั่งของข้า เจ้าต้องปฏิบัติตาม!”
หญิงชราตัวสั่นอีกครั้ง รูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเด็กสาวอายุยี่สิบปี รูปร่างหน้าตาไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นสตรีเลย!
นางพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตามีประกายสีม่วงวูบผ่าน พอโลกกับหญิงสาวแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ตอนที่กลับมารวมกันอีกครั้งซูหมิงก็ไม่เห็นหญิงสาวคนนั้นอีก
เขาเห็นภูเขาทมิฬ มีกลิ่นอายคุ้นเคย เสียงคุ้นเคย และยังมีควันไฟจากอาหารในชนเผ่ายามเช้าตรู่!
เขาเห็นบุรุษสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีสีหน้าเย็นชา มือถือดาบยาวสีม่วง กำลังเดินไปทางภูเขาทมิฬทีละก้าว ร่างสีม่วงนั้นซูหมิงไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงเส้นผมยาวตรงแผ่นหลังที่ปลิวพลิ้วตามสายลม
เสียงกรีดร้อง เสียงคำรามเล็กแหลม ไม่ว่าบุรุษสตรีคนชราหรือผู้เยาว์ล้วนมีสีหน้าเจ็บปวดอย่างยิ่งท่ามกลางความสิ้นหวัง เหลยเฉินร้องตะโกนถามทั้งน้ำตา เฉินซินอึ้งงัน เป่ยหลิงเศร้าโศก และยังมี…ใบหน้าขาวซีดและนัยน์ตาเสียใจของท่านปู่
เขาเห็นชาวเผ่าทั้งหมดถูกร่างผมม่วงสังหารไปทีละคน ศีรษะเหลยเฉินลอยขึ้นแล้วมาตกตรงเท้าซูหมิง เป่ยหลิงปกป้องเฉินซินจนกลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไป เด็กหญิงน้อยถงถงร้องไห้ ช่วงที่ร่างสีม่วงเดินผ่าน เขาเหมือนลังเลครู่หนึ่งก่อนพรากชีวิตนางไป ทุกอย่างกลายเป็นซากปรักหักพังตรงหน้า อาบนองไปด้วยโลหิต ซูหมิงตะลึงงัน เขาเหมือนสูญเสียสิทธิ์ในการพูดไป จนกระทั่งร่างสีม่วงหมุนตัวกลับแล้วเดินมาทางตน
จนถึงตอนนี้ซูหมิงเพิ่งเห็นว่าร่างเงาสีม่วงและใบหน้าเย็นชาผู้นั้นก็คือตัวเขาเอง
มือขวาหิ้วศีรษะคนที่มีโลหิตรินไหล ตอนที่มองซูหมิงก็โยนศีรษะมาทางเขา มันมาตกตรงหน้าซูหมิงคู่กับศีรษะเหลยเฉิน ศีรษะนั้นมีเส้นผมขาว นั่นคือ…ท่านปู่
จนกระทั่งเขาตายก็ยังเบิกตาโพลง ในนั้นมีความเสียใจเจือความขมขื่น
ร่างเงาสีม่วงเดินมาหาซูหมิงทีละก้าว ก่อนปักดาบในมือลงพื้นตรงหน้าเขา แล้วฉีกอาภรณ์ด้วยสีหน้าเย็นชา เผยให้เห็นตรงหน้าอก
“สังหารข้าเสีย!” นี่คือประโยคแรกที่ร่างเงาสีม่วงเอ่ย
“สังหารเขา…..สังหารเขาเพื่อล้างแค้นให้กับภูเขาทมิฬ…สังหารเขาแล้วเจ้าจะหลุดพ้น…..สังหารเขา…..” ข้างหูซูหมิงมีเสียงนี้ดังสะท้อน ขณะซูหมิงเงียบงันก็มีใบหน้าฝืดเฝื่อน เขาจับดาบสีม่วงตรงหน้าแล้วค่อยๆ ดึงขึ้นจากพื้น ก่อนหมุนตัวฟันไปด้านหลังอย่างแรง!
เมื่อฟันลงไป โลกทั้งใบรวมถึงดาบยาวพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ…และยังมีหญิงสาวงดงามที่มายืนอึ้งงันอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ขณะวาดดาบลงร่างก็แหลกเป็นเสี่ยงเช่นกัน
ช่วงที่ดาบยาวและโลกสลายไป ซูหมิงใช้สองมือผูกปมที่สิบเอ็ด!
“ปมก็คือเคราะห์ภัยเช่นกัน…ข้าเข้าใจแล้ว” ซูหมิงพึมพำเบาๆ