บทที่ 229 กระบี่จงมา! (ต้น)
ทันทีที่จ้าวหอชั้นเก้ามองเห็นอาการถึงขั้นกระอักโลหิตของเยี่ยฉวน พลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นตระหนก “สหาย เจ้าเป็นอะไร?!” ขณะที่เยี่ยฉวนรีบทรุดลงนั่งขัดสมาธิ ชายหนุ่มก็ได้พูดตอบผู้สูงวัยให้คลายกังวล “ข้าไม่เป็นไรขอรับ”
จ้าวหอชั้นเก้าเริ่มออกอาการพะวักพะวง ถามเสียงเร็ว “เกิดอะไรขึ้น?” เยี่ยฉวนเหยียดยิ้มมุมปาก หน้าตาซีดเซียว “มีความผิดปกตินิดหน่อยจากการฝึกปราณ แต่ข้าสบายดีขอรับ สบายมาก!”
ถึงกระนั้น คนฟังก็ยังกังวลใจสงสัยอยู่นั่งเอง……ฝึกปราณงั้นหรือ?
ปราณชนิดไหนกัน เหตุใดจึงถึงกระอักโลหิตออกมาทั้งหู ตา จมูกและปาก! น่ากลัวเหลือเกิน!
ทว่าอีกฝ่ายไม่รีรอ เขารีบทรุดนั่งลงบนพื้นและเข้าสู่ภวังค์อีกครา “ผู้อาวุโส? ท่านทำหรือขอรับ?” ไม่มีสัญญาณตอบรับ เมื่อยังไม่ได้คำตอบ เยี่ยฉวนชักเริ่มวิตกมากขึ้น
ชายชราในชุดขาวจ้องเขม็งจากที่บนอากาศลงมายังจ้าวหอชั้นเก้า “เจ้าคือคนของสำนักอัปสรเมรัยสินะ?”
คนถูกถามเงยหน้ามอง “แล้วเจ้าเป็นใคร?”
ชายสวมชุดขาวจุ๊ปากเบาๆ “อะไรกัน ในที่สุดสำนักอัปสรเมรัยก็เข้ามาก้าวก่ายกับเรื่องนี้ด้วยหรือนี่?” เป็นธรรมดาที่ว่าอย่าได้ประมาทสำนักอัปสรเมรัย! ด้วยสำนักอัปสรเมรัยในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มพลังที่มีอำนาจมหาศาล หากสำนักอัปสรเมรัยแสดงเจตนารมณ์ในการสอดแทรกกับเรื่องนี้จริง คนทั้งกลุ่มย่อมเกิดความลังเลใจไม่น้อยทีเดียว!
วาจาของคนสวมชุดขาว ส่งผลให้จ้าวหอชั้นเก้ารู้สึกยุ่งยากใจไม่น้อย!
สำนักอัปสรเมรัยนั้นมีเจตนาเคียงข้างฝั่งเยี่ยฉวน ดังนั้นจึงยอมทุ่มเทหลายต่อหลายสิ่ง เพื่อต้องการผูกมัดทั้งอาจารย์และเยี่ยฉวนไว้อย่างเต็มที่ แต่ทางที่ดีควรมีหลักฐานสำคัญคือการร้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของชายหนุ่มตรงหน้า!
ในเมื่อนางมิได้เรียกร้องความช่วยเหลือ พวกเขาก็ไม่กล้ากระทำโดยพละการ เพราะการเดิมพันครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงยิ่ง!
ผู้อาวุโสหันมองหน้าเยี่ยฉวน ขณะที่ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดโลหิตออกจากมุมปาก เสียงพูดว่า “ผู้อาวุโส ท่านควรไปเสีย” สิ่งที่สำนักอัปสรเมรัยทำให้แก่เขาและพวกนั้นมากจนเกินพอ!
จ้าวหอท่าทางลังเลใจ เขาจึงทำท่าจะเอ่ยพูดแต่เยี่ยฉวนขัดขึ้นเสียก่อน “ถ้าพวกเราต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะรีบแจ้งท่านอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ท่านรีบไปเสีย ข้าและอาจารย์จะจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตนเอง!” อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือก “เอางั้นก็ได้สหาย จำไว้นะหากเจ้าและอาจารย์ประสงค์สิ่งใด สำนักอัปสรเมรัยยินดีให้การสนับสนุนทุกอย่าง!” จากนั้นจึงหันหลังและหายลับสายตาไป
ในเวลานั้นโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อ ทั้งสามคนซึ่งเพิ่งมาได้ตรงเข้าไปยืนข้างเยี่ยฉวน เมื่อสังเกตเห็นกลุ่มทั้งสี่บนท้องฟ้า แต่ละคนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ด้วยคนที่มาปรากฏตัวล้วนเหนือกว่าความคาดหมายของพวกตน!
ทันทีทีเห็นกลุ่มคนหนุ่มสาว ชายชราสวมชุดขาวที่บนอากาศพูดขึ้นก่อน “คนพวกนี้นับว่าใช้ได้” อีกคนที่สวมชุดดำพยักหน้าอย่างเห็นพ้องด้วย “ถือว่าเยี่ยมเลยล่ะ!”
ชายชราคนที่ยืนเหยียบกิ่งไผ่ปรายตาไปทางไป๋เจ๋อร่างใหญ่ “ไม่คิดว่าที่นี่จะมีคนครึ่งอสูรด้วย มิหนำซ้ำเลือดอสูรในกายของมันยังถูกปลุกให้ฟื้นชีพแล้ว ถึงขั้นพลังอยู่เพียงขั้นสันโดษ แต่ต่อให้พวกผสานเทพก็ยากที่จะสยบคนผู้นี้ลง!”
คนสวมชุดขาวพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น อืมมชักสนใจกายาอันแข็งแกร่งของมันเสียแล้ว ไหนจะสายเลือดทรงพลังในตัวนั่นอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้านี่น่าดูชมทีเดียว”
จากนั้นเขาเหลือบตาไปทางโม่อวิ๋นฉี ผู้ซึ่งทำท่ายืดอกเต็มที่ ทว่าคนที่ปรายหางตาชำเลือง ย่นหัวคิ้วน้อยๆ เสียงพูดแผ่วเบา “เจ้าคนนี้ ท่าทางไม่เอาถ่าน!” ได้ยินเช่นนี้โม่อวิ๋นฉีจากท่าทางเริ่ดเชิดหยิ่ง พลันเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด ดุดันขึ้นมาทันที!
ขณะที่คนสวมชุดขาวกลับเขม้นมองโม่อวิ๋นฉีอย่างจะพิจารณาให้ลึกซึ้ง ซึ่งคราวนี้สายตาเปลี่ยนไปจากครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด “กายาพิสดาร? ใช่แน่……คนผู้นี้กายาแห่งแสง……”
กายาแห่งแสง! บรรดาคนที่ลอยตัวกลางอากาศ ต่างหันมามองคนที่ถูกกล่าวถึง โม่อวิ๋นฉีเป็นตาเดียว อีกทั้งในแววตาของทุกคนยังแสดงออกถึงความพิศวงปนทึ่งอยู่ในที
ในแดนมนุษย์และสวรรค์มีคนส่วนหนึ่งที่มีความพิเศษ อาจมีความพิเศษด้านความเป็นยอดฝีมือหรือไม่ก็ความพิเศษทางกายภาพ!
คนที่มีกายาพิเศษหรือพิสดาร จะสำเร็จได้ด้วยการมุ่งมั่น หมั่นฝึกปรือ! เช่นกันกับกายาแห่งแสงของโม่อวิ๋นฉี หากเขาหมั่นฝึกฝนทักษะวิชา จะยิ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของทักษะอย่างเหลือเชื่อ!
ชายชรายืนบนกิ่งไผ่เหยียดมุมปากยิ้ม ก่อนตะโกนถามเจาะจงไปที่โม่อวิ๋นฉี “เจ้าอยากเข้ามาร่วมกับเราดินแดนอันธกาลหรือไม่? ถ้าเจ้ามา วันนี้ข้าจะยอมละเว้นโทษตายให้เจ้าก็ได้!”
ดินแดนอันธกาล!
แน่ชัดว่าเวลานี้ชายชราผู้ยืนเหยียบกิ่งไผ่ได้มองเห็นแววความเป็นเพชฌฆาตในตัวของชายหนุ่มตรงหน้า ถ้าโม่อวิ๋นฉีมีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะเจตภูตแห่งดินแดนอันธกาล แน่นอนคนผู้นี้จะน่าเกรงขามและน่าทึ่งไม่น้อยทีเดียว!
ชายชราชุดดำและชุดขาวทั้งสองคน เมื่อได้เห็นชายชรายืนเหยียบกิ่งไผ่ทำท่าราวกับกำลังจะเลือกรับศิษย์ใหม่ พวกเขาจึงหันมาสบตากันทั้งเริ่มเห็นว่าน่าจะเป็นความคิดที่ดี
จากนั้นสายตาทั้งสองคู่พลันมองปราดไปยังคนตัวใหญ่ที่อยู่ถัดไป ชายชราสวมชุดขาวเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าล่ะ สนใจจะเข้าร่วมกับสถานศึกษาฉางมู่หรือไม่? ถ้าเจ้าตอบตกลง วันนี้พวกข้าจะละเว้นโทษตายให้!”
คนถูกถามไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉีนิ่งขึง หน้ายู่ยี่บูดบึ้ง ประจักษ์ต่อสายตาของหลายคนในที่นั้น ว่าทั้งสองมิได้ยินดีกับการถูกเลือกในวันนี้แม้แต่น้อย คนทั้งสองหันมาสบตากัน ในที่สุดโม่อวิ๋นฉีหันไปทางชายที่ยืนบนกิ่งไผ่ เขาเหยียดยกมุมปาก “แม้ข้าจะรักตัวกลัวตายและยังไม่อยากตาย แต่ยังไงเสียก็ไม่มีวันทรยศต่อฉางหลานตลอดกาล” ไปเจ๋อพยักหน้าหงึก “ข้าเป็นศิษย์ฉางหลานตลอดไป!”
สถานศึกษาฉางหลาน! สถานที่อันเปรียบเสมือนบ้าน!
เมื่อได้ยินทั้งสองคนเบื้องล่างพูดเช่นนั้น ชายที่ยืนใบไผ่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา “พูดแบบนี้ พวกเจ้าจะต้องตายเสียโดยเปล่าประโยชน์ น่าเสียดายความเป็นยอดฝีมือของพวกเจ้าที่สามารถจะทำอะไรดีๆ ได้อีกเยอะ”
คนตัวใหญ่เหลือบมองคนข้างๆ “เฮ้ย เจ้ากะล่อนโม่ ช่วยบอกตาแก่พวกนี้หน่อยสิว่าข้าไม่ทอดทิ้งฉางหลานแน่! บอกมันให้ไสหัวไปให้พ้น!” โม่อวิ๋นฉีหันขวับ คิ้วขมวดหน้ามุ่ย “ไอ้ฉิบหาย พวกมันก็ยืนอยู่ตรงหน้า ทำไมต้องให้ข้าไปบอกแทนด้วยเล่า?!”
คนตัวใหญ่ตอบเสียงขรึม “ข้าไม่อยากพูดกับพวกมันให้เปลืองน้ำลาย!” อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ถึงพูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าปะหลับปะเหลือก “……”
ชายชราสวมชุดขาวออกสีหน้าท่าทางผิดหวังเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “ในเมื่อพวกเจ้าปฏิเสธความหวังดี ฉะนั้นก็อยู่รอวันกลายเป็นเศษผงธุลีก็แล้วกัน!”
ชายที่ยืนบนกิ่งไผ่ส่งเสียมสำทับมาว่า “อย่าไปบังคับพวกมันเลย ยังคงมียอดฝีมืออีกถมถืดดื่นดาษไป”
— จบตอน —
