ตอนที่ 1056 มีการดำรงอยู่ก็หมายถึงมีร่องรอย (1)
นอกแท่นบูชาที่แตกหักซึ่งมีร่องรอยหลงเหลือ อู๋เจี้ยนหวู่จดจ่ออยู่กับการศึกษาบทละคร รวมกับความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับจักรพรรดิโบราณหยิงหวง เขาเข้าถึงบทบาทอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา และไม่ใช่ครั้งแรก
ย้อนกลับไปในแดนลับของนิกายหยิงหวงของพันธมิตรแปดนิกาย เขาใช้วิธีการที่คล้ายกันเพื่อกระตุ้นความผันผวนในกระดูกงูปีศาจ
สำหรับหนิงหยาง และเทพธิดาอเวจี พวกเขาเริ่มซ้อมแยกกันภายใต้คำสั่งของ รัชทายาท
ต้องบอกว่ารัชทายาทเหมาะสมที่จะกำกับบทละครเรื่องนี้มากกว่ากัปตันเพราะภายใต้การจ้องมองของเขา ทุกคนพยายามอย่างหนัก และความเข้าใจในบทบาทของตนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
“สำหรับอู๋เจี้ยนหวู่เหมือนเข้าบทบาทได้ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่ได้ดูฐานการบ่มเพาะของเขา แค่การแสดงออก และคำพูดของเขา เขาให้รู้สึกเหมือนเป็นจักรพรรดิโบราณจริงๆ”
“หนิงหยางก็ค่อนข้างดี อย่างน้อยเขาก็สามารถตีความความยิ่งใหญ่ของพ่อของเรา ถึงจะชี้ให้เห็นเพียงครึ่งเดียวก็เถอะ”
“แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความเกลียดชังในอารมณ์ของเทพธิดาอเวจีเหมือนเป็นจริงที่สุดซึ่งเป็นจุดเด่น”
“มีเพียงเฉินเออร์หนิวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเท่านั้นที่ไม่ค่อยดีนัก”
รัชทายาทและพี่น้องทั้งสามที่อยู่ข้างๆ เขานั่งอยู่ที่นั่น มองดูรุ่นน้องที่กำลังซ้อม พวกเขาพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ในบางครั้ง ดวงตาของพวกเขาจะจับจ้องไปที่ซูฉินในระยะไกล ซูฉินกำลังขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้น นั่นทำให้รัชทายาทพอใจมาก
“เด็กคนนี้ มันคงยากสำหรับเขาแน่ๆ”
“พลังของพ่อกลายเป็นแท่นประหารเทพ ซึ่งเป็นไพ่ตายที่รวมการบ่มเพาะ และประสบการณ์ทั้งหมดของเขา ไม่ต้องพูดถึงเด็กคนนี้ แม้แต่ตัวข้าด้วยซ้ำ..”
“ย้อนกลับไปตอนนั้นข้ายังเรียนรู้อะไรไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงว่ามันผ่านมาหลายปีแล้ว และสถานที่แห่งนี้ก็พังทลายลง ไม่ว่าเขาจะรับรู้อะไรได้ เขาก็ไม่อาจเข้าถึงมันได้อย่างสมบูรณ์”
รัชทายาทส่ายหัว
“มีเพียงน้องเก้าเท่านั้นที่สืบทอดมันได้…”
เมื่อคิดถึงน้องเก้าของเขา รัชทายาทก็ถอนหายใจ และชายชราที่อยู่ข้างๆ เขาพูดขึ้นทันที
“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าความคิดของเจ้าในการเฝ้าดูเด็กคนนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เจ้ารู้อย่างชัดเจนว่าเขาจะล้มเหลว แล้วทำไม เจ้ายังอยากให้เขาทำเช่นนี้ด้วย?”
“พี่ใหญ่ นี่มันแย่มาก เจ้าอยากให้เด็กคนนี้ทำเช่นนี้ จริงๆ หรือ บรรลุสัมโพธิญาณหรือบรรลุเต๋า?”
รัชทายาทหน้ามืดลงแล้วมองดูเหล่าปา
เหลาปาส่ายหัวเมื่อรู้ว่าเขาพูดผิดอีกแล้วจึงแสดงความตั้งใจที่จะประจบ
“พี่ใหญ่กังวลว่าซูฉินจะพึงพอใจในความเข้าใจของตน ดังนั้นจึงทำเช่นนี้เพื่อให้เขารู้สึกถึงข้อบกพร่องเพื่อที่เขาจะได้เติบโตได้ดีขึ้นในอนาคต”
“ในเวลาเดียวกันด้วยประสบการณ์นี้ หลังจากน้องเก้าออกจากผนึกในอนาคต เขาจะสอนให้ซูฉินเรียนรู้ได้ดีขึ้นเกี่ยวกับจิตสังหาร”
หมิงเหม่ยกล่าวอย่างสงบ
เหยาเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อย และเธอก็ชื่นชม ซูฉินเป็นอย่างมาก
เหล่าปาลังเล มีบางอย่างที่เขาอยากจะพูดมาโดยตลอดแต่ไม่กล้า แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้ และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แล้วถ้าเขาบรรลุจิตสังหารของแท่นประหารเทพได้จริงล่ะ? สุดท้ายแล้ว พ่อเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านั้นว่าถ้ามีการดำรงอยู่ก็หมายถึงมีร่องรอย”
รัชทายาทนิ่งเงียบ
หมิงเหม่ยก็เงียบเช่นกัน
เหยาเหม่ยมองไปที่ร่างของซูฉิน และพูดเบา ๆ
“นั่นแสดงให้เห็นว่าความเข้าใจของเขานั้นน่าทึ่งยิ่งกว่าของน้องเก้า และน้องเก้าก็ถือว่ามีความเข้าใจเฉกเช่นเดียวกับพ่อของเรา…”
…
มีการดำรงอยู่ก็หมายถึงมีร่องรอย
ทุกสิ่งที่เคยมีระหว่างฟ้าดินก็เป็นเช่นนี้
คนก็เป็นอย่างนี้ สัตว์ก็เป็นอย่างนี้ สิ่งของก็เป็นอย่างนี้ และพลังต่างๆก็เป็นเช่นนี้
สายลมจะจดจำทุกสิ่ง โลกจะจดจำทุกสิ่ง และทุกสิ่งในท้องฟ้าจะเป็นเช่นนี้ แม้ว่าทะเลจะเปลี่ยนไป วิถีแห่งสวรรค์ก็จะทิ้งร่องรอยไว้
แม้แต่สวรรค์ก็ยังลืมมันไป แต่ใครจะรู้ว่าอาจจะมีเจตจำนงที่สูงกว่าสวรรค์ในการบันทึกสิ่งต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานับไม่ถ้วนนี้หรือไม่?
เพียงแต่ร่องรอยบางอย่างเลือนลางเกินไปทำให้ผู้คนสังเกตเห็นได้ยาก พวกเขาจะคิดโดยสัญชาตญาณว่าทุกสิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย และพวกเขาจะไม่รู้จักมันอีกต่อไป
แต่จริงๆ แล้ว มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
‘สิ่งที่จำกัดความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝนคือ จินตนาการ…’ คำพูดเหล่านี้จาก องค์หญิงหมิงเหม่ยมีผลกระทบอย่างมากต่อซูฉิน และเปิดหน้าต่างสู่โลกใบใหม่ให้ กับเขา
ภาพนอกหน้าต่างไม่ตายตัว แต่ถูกกำหนดด้วยจินตนาการ
ในขณะนี้ ซูฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในแท่นบูชาที่พังทลาย รู้สึกได้ถึงลม
ในโลกนี้ ลมโบราณพัดผ่านโลกที่ถูกผนึกเอาไว้
ซูฉินนิ่งเงียบ
สิ่งที่เงียบงันไม่ใช่แค่พฤติกรรมของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหัวใจ ร่างกาย วิญญาณ และทุกสิ่งด้วย
พวกมันทั้งหมดตกอยู่ในความสงบเมื่อลมพัดผ่าน
เสียงทั้งหมดจากโลกภายนอกได้หายไปแล้ว และความเงียบสงัดก็ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง
จิตใจของเขาว่างเปล่า ไม่มีความคิด มีเพียงความว่างเปล่า
ไม่มีเจตจำนงหรือความคิดใดๆ
มีเพียงสายลมที่พัดในการรับรู้ไม่เคยพัดโบกเส้นผมไม่เคยเป่าเสื้อผ้า แต่มันทำให้เกิดระลอกคลื่นในทะเลจิตสำนึกสร้างวงแหวนแห่งระลอกคลื่น
ในวงแหวนที่กระเพื่อม มีร่างคล้ายหมึกปรากฏขึ้น
รูปลักษณ์ที่ปรากฏไม่ชัดเจน และไม่มีรูปร่างคงที่ เงาหมึก เหล่านี้ขุ่นมัว ผสม และแยกออกจากกันอย่างต่อเนื่องราวกับว่าพวกมันพยายามอย่างหนักที่จะรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างภาพที่แท้จริง
มันต้องการแสดงเนื้อหาที่จำได้ต่อโลกภายนอก ต่อทุกสิ่งในโลก และต่อซูฉิน
แต่น่าเสียดายที่ร่องรอยที่ซ่อนอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจจางหายไปจนสุดขีด ดังนั้นระลอกคลื่นที่พัดไปตามสายลมจึงไม่สามารถเปลี่ยนเป็นภาพได้จริงๆ และ ความเข้าใจของซูฉินก็มีขีดจำกัดเช่นกัน และมันยังไม่ถึงระดับที่ส่องผ่านทุกยุคสมัยได้
ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถเข้าใจอะไรจากร่างหมึกนี้ได้จริงๆ