Chapter 10
หรือว่านางท้อง
“เจ้าค่ะ” นางทาสรับคำสั่งแล้วก็หยิบผ้าคลานตุบๆ ไปส่งให้หลังผ้ากั้น รุ้งมณีรีบรับไปพันหน้าอกอย่างอายๆ พอพันอกเสร็จแล้วก็ตวัดชายผ้าที่เหลือคลุมไหล่แล้วก็เหน็บชายผ้ากันรุ่มร่าม พวกนางทาสก็แอบชำเลืองมองอย่างอิจฉาในความงดงาม ก็งามเช่นนี้นี่เล่าจ้าวราชคีร์ถึงได้ยกเป็นเมีย ถึงขนาดกล้าเข้าขวางมิให้จ้าวราชคฤห์พานางไปได้ พี่น้องเกือบจะฆ่ากันตายก็เพราะหญิงงามเพียงคนเดียวเสียแล้ว “…”
พอพันผ้าเสร็จรุ้งมณีก็พยักหน้าให้นางทาส นางทาสก็หันไปหยิบเครื่องประดับมาสวมให้ พอแต่งตัวเสร็จนางทาสก็เก็บผ้ากั้นออกแล้วก็จูงแขนรุ้งมณีให้เดินไปหาจ้าวราชคีร์ จ้าวราชคีร์ตะลึง! “เจ้างามยิ่งนัก โอย…”
รุ้งมณีรู้สึกเขินที่ถูกชม เธอยิ้มให้เขาอย่างเก้อเขิน จ้าวราชคีร์กวักมือเรียก “มานี่ซิแม่รุ้ง”
รุ้งมณีเดินเข้าไปหาเขาอย่างเขินๆ เธอนั่งลงกับพื้นข้างตั่ง ตามองเขาอย่างไว้ใจ จ้าวราชคีร์ยิ้มแล้วก็ยื่นมือไปลูบหัวนาง รุ้งมณีชะงัก! แต่ก็ไม่ได้ผงะออกเหมือนเช่นครั้งก่อน มือใหญ่วางบนเส้นผมนิ่มอย่างทะนุถนอม รุ้งมณียิ้ม จ้าวราชคีร์จึงลูบหัวนางอย่างเอ็นดู ทั้งสองสบตากันประหนึ่งเป็นพี่น้องร่วมอุทร จ้าวราชคีร์รู้สึกเหมือนว่าได้น้องสาวกลับคืนมา ส่วนรุ้งมณีก็รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นพี่ชาย นางทาสพากันลอบชำเลืองมองอย่างอิจฉาที่จ้าวราชคีร์ยกนางเชลยเป็นเมีย พวกนางต่างก็วาดหวังว่าจ้าวราชคีร์จะมีเมตตาพวกนางให้รับใช้ในฐานะเมียบ้างสักวัน รุ้งมณีสบโอกาสก็ถามว่า “พี่ราชคีร์พูดภาษาไทย เอ้ย…ภาษาลวปุระได้ยังไงจ๊ะ?”
“จ้าวพ่อให้พระอาจารย์มาสอนพวกข้าตั้งแต่เด็กๆ อูย…มิใช่เพียงแต่ภาษาลวปุระหรอกนะ ภาษาเมืองอื่นข้าก็พูดได้” จ้าวราชคีร์ตอบแย้มยิ้มให้นางอย่างปราณี
“พี่คงเจ็บแผลมาก พี่นอนเถอะจ้ะ ฉันจะคอยดูแลพี่เอง” รุ้งมณีบอก จ้าวราชคีร์เอนตัวลงนอน ตาก็มองนางอย่างเอ็นดู
รุ้งมณีคอยดูแลคนเจ็บเสมือนญาติสนิทอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ไม่ว่าเธอจะต้องการสิ่งใดคนเจ็บคนนั้นก็จะสั่งให้นางทาสจัดหามาให้ เธอก็อาศัยเรียนรู้ภาษากาสีจากการฟังเขาสั่งกับพวกนางทาส บางครั้งเธอก็ขอให้เขาสอนภาษากาสีให้เธอ จ้าวราชคีร์ก็ยินดีที่จะสอนให้ เขาต้องการให้นางพูดภาษาเดียวกับเขาอีกทั้งนางจะได้สั่งข้าทาสได้เองโดยมิต้องให้เขาเป็นคอยสั่งให้ ส่วนจ้าวราชคฤห์ก็อยู่กับพระสนมเอกจนลืมนางเชลยคนงามไปชั่วคราว แม่ทัพนายกองก็คอยดูแลตรวจตราค่ายตามหน้าที่ รอจนกว่าจ้าวราชคฤห์จะมีคำสั่งให้เคลื่อนทัพ
หลายวันแล้วนับตั้งแต่รุ้งมณีถูกจับตัวมา นับวันเวลาก็ผ่านไป 3 วันพระ(1 ช่วงวันพระ = 7 วัน 3 วันพระ = ประมาณ 21 วัน)แล้ว อาการของจ้าวราชคีร์ดีขึ้นจนสามารถลุกก้าวเดินได้อย่างสะดวก นอกจากจะรักษาคนเจ็บคนนั้นแล้วรุ้งมณีก็ยังช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย คนบาดเจ็บในกองทัพด้วย จ้าวราชคฤห์ก็คอยไปดูอาการน้องชายเป็นระยะๆ อย่างปลอดโปร่งใจที่น้องชายอาการดีขึ้นจนเกือบจะหายสนิท ทุกครั้งที่เห็นนางสนิทสนมกับน้องชาย เขาก็รู้สึกปวดใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นมิรู้สึกรู้สา ในเมื่อนางเป็นเมียของน้องชาย เขาก็มิเคยคิดจะแย่งเมียของน้องชายเป็นเด็ดขาด
ส่วนรุ้งมณีก็เรียนรู้ภาษากาสีจนสามารถฟังพูดได้ และเริ่มอ่านออกบ้างแล้ว จ้าวราชคีร์ก็ปลื้มชื่นชมในความเก่งกล้าสามารถของนาง มิเสียแรงที่เขาอุตส่าห์สอน
ครั้นพออาการของน้องชายดีขึ้นมาก จ้าวราชคฤห์ก็รับสั่งให้เคลื่อนทัพทันที จ้าวราชคีร์ให้รุ้งมณีนั่งเสลี่ยงบนหลังช้างคู่กับเขา ส่วนเชลยเฒ่าก็ได้รับการดูแลอย่างดีในฐานะคนสนิทของรุ้งมณี สั่งให้ทหารพาเชลยเฒ่าขี่ม้าเดินตามอยู่ข้างๆ ช้างของเขา จ้าวราชคฤห์ก็ประทับนั่งบนเสลี่ยงหลังช้างอยู่กลางขบวน ส่วนพระสนมก็นั่งเกวียนตามอยู่เบื้องหลัง
พระสนม นางทาสต่างก็หันไปมองขบวนของจ้าวราชคีร์เป็นตาเดียวอย่างอิจฉาริษยาตาร้อนเพราะจ้าวราชคีร์คอยดูแลเอาใจใส่เมียเชลยอย่างออกหน้าออกตาเสียจนใครๆ ต่างก็อิจฉาริษยาในความโชคดีของนางกันทั้งนั้น ก็ดูซิ…นางได้นั่งเคียงคู่จ้าวราชคีร์ปานประหนึ่งนางเป็นจ้าวผู้มีชาติวงศ์พงศ์เผ่าอันมีศักดิ์ทัดเทียมกับจ้าวราชคีร์ก็มิปาน แล้วดูพวกนางซิได้นั่งในเกวียนตามหลังช้างทั้งๆ ที่พวกนางก็อยากจะขึ้นไปเชิดหน้าชูคอเคียงข้างจ้าวราชคฤห์ดั่งเช่นที่นางเมียเชลยเคียงข้างจ้าวราชคีร์บ้าง
ครั้นพอกองทัพเคลื่อนผ่านไปทางใดหมู่บ้านรายทางก็ราบเป็นหน้ากลอง ชาวบ้านถูกจับเป็นเชลย หากขัดขืนก็ถูกฆ่าตาย ข้าวของทรัพย์สินก็ถูกยึด รุ้งมณีมองอย่างสลดใจ จ้าวราชคีร์เห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางคิดอย่างไรก็พูดว่า “การศึกก็เป็นเช่นนี้แหละแม่รุ้ง”
รุ้งมณีมองอย่างเข้าใจ เพราะรู้ว่าเขาก็ไม่สามารถที่จะห้ามการรบราฆ่าฟันได้ ในเมื่อสิทธิ์ขาดในอำนาจขึ้นอยู่กับจ้าวราชคฤห์เพียงคนเดียว ครั้นจะห้ามจ้าวราชคฤห์เธอก็รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร ดีไม่ดีอาจจะกริ้วจนสั่งประหารเธอไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก็เป็นได้ มองไปทางใดก็เห็นแต่ศพตายเกลื่อนอย่างน่าอเนจอนาถ
“อุ๊ก…” เธอรู้สึกคลื่นไส้พะอืดพะอมขึ้นมาทันทีทันใด
“เป็นอะไรรึแม่รุ้ง?” จ้าวราชคีร์ถามอย่างเป็นห่วง รุ้งมณีส่ายหน้าเอามือปิดปาก เธอพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกอยากอาเจียนสุดฤทธิ์ แต่ยิ่งฝืนความรู้สึกก็ยิ่งพุ่งพรวด เธอรีบหันไปเกาะข้างเสลี่ยงโก่งคออาเจียน “อ๊วก…”
“แม่รุ้ง!” จ้าวราชคีร์ตกใจ รีบขยับเข้าไปช่วยลูบหลัง ตะโกนสั่งควานช้างว่า “หยุดก่อน!”
“ขอรับ” ควานช้างรีบหยุดช้างทันที ทำให้กองทัพในส่วนของจ้าวราชคีร์หยุดชะงักตามๆ กันไป เสียงแม่ทัพนายกองตะโกนสั่งหยุดทัพในส่วนของจ้าวราชคีร์บอกต่อๆ กัน ทำให้จ้าวราชคฤห์สงสัย
“มีอะไรรึ?” เขาถามแม่ทัพสิลา
“ขบวนทัพของจ้าวราชคีร์หยุดทัพขอรับ” แม่ทัพสิลาตอบ จ้าวราชคฤห์หันไปมองอย่างสงสัย แม่ทัพสิลาก็รีบพูดว่า “ได้ยินว่าเมียของจ้าวราชคีร์เจ็บไข้ได้ป่วยขอรับ”
เพียงแค่ได้ยินว่านางเจ็บไข้ จ้าวราชคฤห์ก็รู้สึกร้อนรุ่มกระวนกระวายใจทันที หันไปสั่งควานช้างว่า “หยุดทัพก่อน”
“ขอรับ” ทั้งควานช้างทั้งแม่ทัพรับคำสั่ง พอช้างหยุดเดิน จ้าวราชคฤห์ก็ลุกจากเสลี่ยง ควานช้างรีบบังคับช้างให้หมอบลง จ้าวราชคฤห์กระโดดลงจากหลังช้างอย่างใจร้อน รีบขึ้นขี่ม้าควบไปหานาง เอ้ย…น้องชาย ครั้นพอไปถึงก็ถามว่า “ได้ยินว่านางเจ็บไข้ เป็นอะไรรึ?”
สายตาก็มองคนเจ็บอย่างร้อนรนกระวนกระวายใจ จ้าวราชคีร์หันไปมองพี่ชายตอบว่า “นางอาเจียนขอรับ”
แล้วเขาก็หันไปลูบหลังให้นาง รุ้งมณีโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง พออาเจียนจนหมดเธอก็ขยับตัวนั่งพิงเสลี่ยงอย่างหมดแรง จ้าวราชคฤห์มองอย่างเป็นห่วงเป็นใย แล้วบางอย่างก็แว๊บขึ้นมาในความคิด…หรือว่านางท้อง!?
“ตามหมอหลวงมาเร็ว!” เขาตะโกนสั่งลั่น
“ขอรับ” ทหารรับพระบัญชาแล้วก็รีบควบม้าไปตามหมอ
“กางกระโจมเร็วเข้า หยุดทัพไว้ก่อน” จ้าวราชคฤห์รับสั่งอย่างร้อนรน จ้าวราชคีร์มองพี่ชายอย่างสะกิดใจ เหตุใดท่านพี่จึงดูร้อนรนกระวนกระวายเช่นนี้? หรือว่าท่านพี่ยังตัดใจจากนางมิได้?
“พานางไปพักในกระโจมก่อน” จ้าวราชคฤห์บอก แล้วเขาก็ชักม้าไปคุมทหารกางกระโจมที่พัก
“นังหนูเป็นอะไรหรือ?” มากสบโอกาสถามพลางมองอย่างเป็นห่วง รุ้งมณีหันไปส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง ส่วนพวกนางสนมข้าทาสต่างก็หันไปมองอย่างงุนงงสงสัย แล้วก็พากันซุบซิบกันไปต่างๆ นานา พอกระโจมกางเสร็จ จ้าวราชคฤห์ก็ชักม้าไปหาน้องชายแล้วก็บอกว่า “กระโจมกางเสร็จแล้ว เจ้าพานางไปนอนในกระโจมให้หมอหลวงตรวจดูเสียก่อนเถอะ”
“ขอรับ” จ้าวราชคีร์พยักหน้า แล้วก็หันไปสั่งควานช้างว่า “ไปที่กระโจม”
“ขอรับ” ควานรับคำแล้วก็บังคับให้ช้างเดินไปที่กระโจม จ้าวราชคฤห์ก็ชักม้าตามไปอย่างร้อนใจ พอถึงกระโจม ควานก็บังคับช้างให้หมอบลง จ้าวราชคีร์ขยับตัวลงจากหลังช้าง แต่ก็ยังมิทันพี่ชายที่ตวัดตัวลงจากหลังม้ามารออยู่ข้างๆ ช้าง พลางพูดว่า “ส่งนางมาให้ข้าเถอะ แผลเจ้ายังมิหายดี เจ้าคงอุ้มนางมิไหวแน่”
จ้าวราชคีร์มองพี่ชายแล้วก็ตัดสินใจส่งตัวนางให้พี่ชายอุ้ม
“ค่อยๆนะ” จ้าวราชคฤห์บอกอย่างเป็นห่วง แล้วก็ยื่นแขนไปรอรับ รุ้งมณีมองหน้าคนนั้นคนนี้อย่างอ่อนแรง ใครจะอุ้มยังไงก็ไม่สนใจแล้ว จ้าวราชคีร์ประคองรุ้งมณีส่งให้พี่ชาย จ้าวราชคฤห์รับตัวนางมาแล้วเขาก็อุ้มนางเข้าไปในกระโจมอย่างร้อนใจ แต่ภายในใจส่วนลึกกลับรู้สึกดีใจที่ได้อุ้มนางเช่นนี้ นับตั้งแต่จับตัวนางมาครานั้นเขาก็มิเคยได้ใกล้ชิดกับนางอีกเลย
“เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง?” เขาถามพลางมองวงหน้าหวานในอ้อมแขน พอถึงตั่งเขาก็ปล่อยนางลงนั่ง รุ้งมณีขยับตัวนั่งอย่างหมดแรง เธอยกมือไหว้พูดว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
จ้าวราชคฤห์แย้มยิ้มอย่างดีใจ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาก็หันไปมอง พอเห็นน้องชายมาเขาก็ขยับออกห่าง หมอหลวงคลานเข่าเข้ามารีบก้มกราบ “ข้ามาแล้วขอรับ”
“เจ้ารีบมาตรวจนางเข้าเถอะ นางเจ็บไข้ได้ป่วย ข้าอยากรู้ว่านางเป็นอะไรมากหรือไม่” เจ้าราชคฤห์สั่งอย่างร้อนใจ
“ขอรับ” หมอหลวงรีบคลานเข้าไปตรวจคนไข้ จ้าวราชคีร์เดินไปนั่งบนตั่งเคียงข้างนางอย่างเป็นห่วง
ส่วนหมอก็ตรวจคนไข้อย่างเกร็งจัด ก็จะจับจะต้องตัวคนไข้แต่ละที ทั้งจ้าวราชคฤห์ทั้งจ้าวราชคีร์ก็มองเขม็ง
โอย…ข้าจะมือขาดหัวกุดไหมหนอ? หมอได้แต่รำพึงอยู่ในใจอย่างหวั่นกลัว ตรวจไปก็รายงานไปด้วยว่า “มีไข้ตัวรุมๆ ขอรับ”
“นางอาเจียนเช่นนี้ นางท้องใช่หรือไม่?” จ้าวราชคฤห์ถาม รุ้งมณีฟังเข้าใจก็จะตอบว่า “ไม่…”
จ้าวราชคีร์รีบยื่นมือไปปิดปากนางแล้วก็ขัดขึ้นว่า “เจ้าจะอาเจียนอีกหรือ รอประเดี๋ยวนะ”
แล้วเขาก็หันไปสั่งหมอหลวงว่า “เอากระโถนมาเร็ว”
รุ้งมณีร้อง “ฮื้อ”
ผลักมือออก แต่จ้าวราชคีร์ก็ปิดปากซะแน่น
“เอากระโถนมาเร็วซิ มัวชักช้าอยู่ได้” เขาดุหมอหลวง
“ขอรับ” หมอหลวงรีบหันไปหากระโถน จ้าวราชคีร์หันไปพูดกับพี่ชายว่า “ข้าว่านางคงกำลังจะท้องเป็นแน่ขอรับท่านพี่”
แล้วเขาก็หันไปพูดกับหมอหลวงว่า “ใช่หรือไม่หมอหลวง?”
หมอหลวงหันไปมองจ้าวราชคีร์อย่างงงๆ จ้าวราชคีร์รีบย้ำว่า “เมียข้าต้องกำลังท้องแน่ๆ ก็นางอาเจียนเสียขนาดนี้ ข้าว่านางต้องท้องเป็นแน่”
หมอหลวงพยักหน้ารับ แล้วก็หันไปพูดกับจ้าวราชคฤห์ว่า “อาจจะ…ขอรับ”
จ้าวราชคฤห์หน้าซีดทันตา แต่ก็เพียงแว๊บเดียวเขาก็รีบแสร้งแย้มยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็น่ายินดียิ่งนัก ข้าดีใจกับเจ้าด้วยราชคีร์”
เขาเอื้อมมือไปตบบ่าน้องชาย จ้าวราชคีร์แย้มยิ้มให้พี่ชายแล้วก็หันไปถามรุ้งมณีว่า “เจ้าดีใจหรือไม่ที่กำลังจะมีลูก?”
เขาลดมือลงไปจับมือนาง รุ้งมณีทำหน้างงๆ “มีลูก?”
จ้าวราชคฤห์รู้สึกปวดใจจนต้องรีบออกไปข้างนอก นางกำลังจะมีลูกกับราชคีร์แล้ว…โอ้…สวรรค์ใยกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ เหตุใดต้องกลั่นแกล้งให้ข้ารักนางแต่มิอาจครอบครองนางเช่นนี้ด้วย!
พอพี่ชายออกไปแล้วจ้าวราชคีร์ก็หันไปไล่หมอหลวงว่า “ข้าต้องการอยู่กับเมียข้าตามลำพัง”
“ขอรับ” หมอหลวงรีบคลานออกไปข้างนอกอย่างว่องไว รุ้งมณีมองตามหมอหลวงแล้วก็หันไปถามจ้าวราชคีร์ว่า “มีลูกอะไร? ใครจะมีลูกจ๊ะพี่ราชคีร์?”
จ้าวราชคีร์แย้มยิ้มแล้วก็ชี้ที่ตัวนาง “ก็เจ้าไง”
รุ้งมณีงงหนัก “ฉันจะมีลูกได้ไงในเมื่อฉัน…”
จ้าวราชคีร์รีบปิดปากนางพร้อมกับพูดว่า “จุ๊ๆ ปากมีหูประตูมีช่อง”
เขาก้มไปกระซิบว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นพระสนมของท่านพี่หรือแม่รุ้ง?”
รุ้งมณีส่ายหน้าทันควัน “ไม่เอานะ”
จ้าวราชคีร์แย้มยิ้มกระซิบว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับว่าเป็นเมียข้าต่อไป ท่านพี่มิกล้าข่มเหงเจ้าหรอก ยิ่งรู้ว่าเจ้ากำลังจะมีลูกกับข้าเช่นนี้ท่านพี่มิกล้าทำอะไรเจ้าแน่”
“แล้วพี่ไม่สงสารจ้าวราชคฤห์เหรอ?” รุ้งมณีถาม
“ข้าสงสารเจ้ามากกว่า ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มีใจให้ท่านพี่ ข้ารู้ว่าเจ้ายอมตายหากถูกข่มเหง ข้าถึงได้ออกอุบายตั้งเจ้าเป็นเมียของข้าเสีย ท่านพี่ก็มิกล้าหักหาญน้ำใจเจ้าและข้าหรอก” จ้าวราชคีร์กระซิบ เขาลูบหัวนางแล้วก็บอกว่า “เจ้ามิสบายก็นอนพักเสียเถอะ เจ้าน้องน้อยของข้า”
รุ้งมณีพยักหน้ารับแล้วก็เอนตัวลงนอนหลับตาลง จ้าวราชคีร์ลูบหัวนางเบาๆ มองวงหน้าหวานอย่างเอ็นดู จนกระทั่งนางหลับสนิทเขาก็ค่อยๆ ออกไปข้างนอก ตรวจตรากองทัพพลางครุ่นคิดในใจ แม้ว่าจะรู้สึกสงสารพี่ชายแต่เขาก็รู้ดีว่า พวกนางสนมคงจะทำให้พี่ชายลืมนางไปได้สักวันหนึ่งเป็นแน่ เรื่องของหัวใจมิมีใครจะบังคับได้ เหมือนดั่งเช่นหัวใจของเขาก็มิมีใครจะบังคับได้เช่นกัน หากบังคับได้ เขาคงจะบังคับหัวใจของเขาเองให้ลืม ‘เด็กคนนั้น’ ได้เสียที ป่านนี้ ‘เด็กคนนั้น’ คงจะโตเป็นสาวแล้วกระมัง เขาคิดพลางจับลูกทองถักที่ห้อยคอขึ้นมาดู ซึ่งภายในลูกทองถักเป็นสิ่งมีค่าของเขาที่ได้จาก ‘เด็กคนนั้น’ หลายปีแล้วซินะนับตั้งแต่วันนั้น…วันที่เขาลอบเข้าไปสืบความในเขตศัตรู
แม่ทัพคยาเดินเข้าไปคุกเข่าทำความเคารพแสดงความยินดีอย่างประจบว่า “ข้าดีใจด้วยขอรับที่จ้าวราชคีร์กำลังจะมีพระโอรส”
จ้าวราชคีร์หันไปมองแย้มยิ้มให้“ขอบใจเจ้ามาก”
เขาลดลูกทองถักลงแล้วก็เดินไป
แม่ทัพคยาหมอบกราบแล้วก็ยืนขึ้นซ่อนแววตามิพอใจเอาไว้อย่างมิดชิด เขาอุตส่าห์ยกลูกสาวให้เป็นนางทาส แต่จ้าวราชคีร์กลับมิชายตาแลลูกสาวของเขาเลยสักนิด หากรู้ว่าจ้าวราชคีร์จะมิสนใจสตรีเช่นนี้ เขาคงจะยกลูกสาวให้เป็นนางทาสของจ้าวราชคฤห์เสียดีกว่า อย่างน้อยป่านนี้ลูกของเขาก็คงจะได้เป็นสนมไปแล้ว ช่างน่าเจ็บใจนักที่เขาตัดสินใจผิดพลาดเพราะเชื่อคำของเมียรัก ครั้นจะขอลูกกลับคืนก็กระทำมิได้เสียอีกเพราะยกให้ไปแล้ว อีกทั้งผู้คนจะได้ครหานินทากันสนุกปากปะไร ยกลูกให้คนน้องแล้วจู่ๆ ก็ไปขอคืนเอาไปให้คนพี่ หากทำเช่นนั้นก็ผิดธรรมเนียมยิ่งนัก สถานะของเขาคงยิ่งสั่นคลอนหนักแน่
จ้าวราชคีร์เดินไปทางใดก็มีแต่ข้าราชบริพารเข้ามาแสดงความยินดีด้วย จนเขานึกรำคาญต้องเดินเลี่ยงไปทางท้ายกองทัพซึ่งเป็นกองเสบียงก็ได้ยินเสียงคุยกันว่า “เหตุใดจ้าวราชคฤห์สั่งให้หยุดทัพเล่า?”
“ได้ยินว่าพระสนมของจ้าวราชคีร์เจ็บไข้ จ้าวราชคฤห์จึงมีคำสั่งให้หยุดทัพ”
จ้าวราชคีร์ชะงัก! แอบฟังอยู่หลังเกวียน
“กะอีแค่เมียเชลยถึงกับสั่งให้หยุดทัพเชียวรึ?”
“ชู่ว…เอ็งอย่าได้อึงอลไป จ้าวราชคฤห์กับจ้าวราชคีร์เกือบจะฆ่ากันตายก็เพราะแย่งนังคนนี้เชียวหนา”
“ฮ้า…ถึงขนาดนั้นเชียวรึ!”
“เออซิวะ”
“แหม ข้าชักจะอยากเห็นหน้าพระสนมคนนี้เสียจริงว่างามขนาดไหนเชียว ถึงขนาดทำให้พี่น้องเกือบจะฆ่ากันได้”
“เขาว่างามนัก ผิวพรรณขาวดั่งไข่ปอก รูปร่างทรวดทรงองเอวก็แชล่มแช่มช้อย เขาว่างามเหนือกว่าแม่หญิงใดในแผ่นดินเชียวนะโว้ย อีกทั้งยังเก่งกล้าสามารถรักษาจ้าวราชคีร์ให้หายได้ แล้วก็มิใช่แค่นั้นนะโว้ย เรื่องฝีมือสู้รบพระสนมก็เอาเรื่องเชียวนะเอ็ง ขนาดล้มทหารตั้งหลายคนได้ในพริบตา”
“ฮ้า…ข้ามิเชื่อหรอก เอ็งโป้ปดคุยโวเสียกระมัง หากมีแม่หญิงเก่งและงามถึงปานนั้น ก็คงเป็นผีสางนางไม้จำแลงมาเป็นแน่ ถุย…หลงฟังเสียตั้งนาน”
แล้วเสียงพูดคุยก็เงียบลงพร้อมกับเสียงเดินจากไป จ้าวราชคีร์ชะโงกตัวไปมอง เห็นคนเลี้ยงม้ากับคนเลี้ยงช้างเดินแยกกันไปก็นึกขำในใจย นี่แม่รุ้งถูกมองว่าเป็นผีสางนางไม้ไปแล้วรึ หึๆๆๆ…
ครั้นพอจะเดินกลับ เขาก็เห็นคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นพี่ชายยืนอยู่ข้างช้าง เขาจึงเดินไปดูให้แน่ใจ
“นางท้อง นางกำลังจะมีลูกกับราชคีร์แล้ว ใยข้าและราชคีร์ต้องรักหญิงคนเดียวกันด้วย? ใยสวรรค์จึงกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้เล่า?” จ้าวราชคฤห์พูดกับช้างม้าอย่างเจ็บปวดใจ จ้าวราชคีร์ได้ยินพี่ชายรำพันอย่างเจ็บปวดก็รู้สึกสงสารยิ่งนัก เขามิคิดเลยว่าพี่ชายจะรักนางถึงเพียงนี้ คิดว่าพี่ชายคงจะหลงใหลความงามของนางเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ครั้นได้ยินถ้อยคำรำพันอย่างปวดใจเช่นนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าพี่ชายรักนางอย่างสุดหัวใจ เขาเดินไปหาพี่ชาย พลัน! ก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกว่า “ข้าศึกบุก!”
ทั้งกองทัพระส่ำระส่ายทันที เพราะมิคิดว่าจะถูกข้าศึกบุกโจมตีในยามนี้ จ้าวราชคฤห์บังคับช้างให้หมอบลงแล้วก็โหนตัวขึ้นขี่คอช้าง ส่วนจ้าวราชคีร์ก็รีบวิ่งกลับไปที่กระโจม พวกทหารแม่ทัพนายกองก็หยิบดาบจับอาวุธรับมือกับข้าศึกที่บุกมาอย่างมิทันตั้งตัว จ้าวราชคฤห์รีบขี่ช้างไปบัญชาการรบ ส่วนจ้าวราชคีร์ก็รีบวิ่งไปที่กระโจม เพราะมองแล้วว่าข้าศึกบุกมาทางทิศใด ซึ่งกระโจมที่เจ้าน้องน้อยอยู่กลับกลายเป็นอยู่ใกล้กับข้าศึกมากที่สุด
“ฆ่ามัน!” เสียงตะโกนโห่ร้องดังลั่นพร้อมกับกองทัพม้าของข้าศึกบุกเข้ามาดั่งสายน้ำเชี่ยวกราด