Skip to content

บุรุษน่าตาย 10

Cover Bn For Web

Chapter 10

ท้อปีศาจกับเหนียน

หลอมรวมทัณฑ์สวรรค์ไปด้วยจะทำให้ศาสตราชิ้นนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น สายฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างไม่ยอมแพ้ เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!…

จนในที่สุดเฉินมู่อิ๋งก็ดูดมวลเมฆทัณฑ์สวรรค์เข้าไปด้วยจนหมดสิ้น มวลเมฆทัณฑ์สวรรค์กลุ่มนั้นถูกหลอมรวมกับศาสตราชิ้นนั้น ตี้โฮ่วมองอย่างดีใจแทน ศิษย์เธอคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ สอนไม่เท่าไหร่ก็หลอมราชันศาสตราได้แล้ว เก่งมาก!

เฉินมู่อิ๋งหลอมต่อไป ตี้โฮ่วก็ส่งพลังเข้าไปในร่างเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่หยุดไม่พัก แน่นอนว่าพลังของเธอมีไม่จำกัด ดังนั้นแค่ส่งต่อพลังให้แค่นี้จึงเป็นเรื่องจิ๊บๆ

จนกระทั่งเฉินมู่อิ๋งหลอมเสร็จ ราชันศาสตราชิ้นนั้นก็บินไปหาเฉินมู่อิ๋งทันที มันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นสร้อยรูปมังกรคล้องอยู่ที่คอของเขา สร้อยสีดำสนิทรูปมังกรดำดูแล้วไม่โดดเด่นสะดุดตาเลย เพียงแต่ว่าพอตัดกับผิวที่ขาวผ่องของเฉินมู่อิ๋งจึงทำให้สร้อยเส้นนั้นดูสะดุดตาขึ้นมาทันที เฉินมู่อิ๋งก้มลงมองราชันศาสตราที่คออย่างอึ้งๆ ตี้โฮ่วดึงมือออกแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ “เอาล่ะ หลอมเสร็จแล้วข้าก็ไปนอนล่ะ”

“ขอบคุณเจ้ใหญ่ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรีบกุมมือคารวะ เขาซาบซึ้งใจมาก หากว่าไม่ได้เจ้ใหญ่ช่วย เขาคงหลอมราชันศาสตราชิ้นนี้ไม่ได้แน่นอน ตี้โฮ่วหันไปบอกยิ้มๆ “เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นท้อสวรรค์สักจานก็พอ”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำสีหน้ายินดียิ่ง เขาคิดว่าหลังจากนอนเต็มอิ่มแล้วค่อยไปเก็บท้อสวรรค์ในสวนให้เจ้ใหญ่ล่ะกัน ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ เขาจึงรีบกลับไปนอนพักทันที

วันต่อมา เฉินมู่อิ๋งตื่นแล้วก็รีบไปเก็บท้อสวรรค์ให้เจ้ใหญ่ ขณะที่เดินเก็บลูกท้อสวรรค์อยู่นั้น เขาก็เห็นต้นท้อต้นหนึ่งมีผนึกอาคมครอบคลุมต้นท้อต้นนั้นเอาไว้ เขาจึงมองดูต้นท้อนั้นที่มีลูกท้อเต็มต้น เขาเห็นมีท้อลูกหนึ่งน่าจะสุกแล้ว เพราะมันแทบจะหลุดจากขั้วลงมาแล้ว เขาจึงยื่นมือไปเด็ดมาใส่ตะกร้า กลิ่นหอมของท้อลูกนี้หอมแรงกว่าท้อชนิดอื่นมาก หอมจนเขายกขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ เลยทีเดียว

ขณะที่เขาดมกลิ่นลูกท้ออยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังแว่วมา “ท้อปีศาจ—”

เขาหันไปมองตามเสียงก็เห็นสัตว์ตัวใหญ่โตตัวหนึ่งวิ่งมาทำให้อาคาร ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในเส้นทางที่มันวิ่งมานั้นพังระเนระนาดไปหมด มันร้องว่า “ท้อปีศาจ—”ๆๆๆๆ

มันร้องซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น พุ่งตรงมายังเฉินมู่อิ๋งที่ยืนตกตะลึงอยู่ เฉินมู่อิ๋งตั้งสติได้ใน 2 อึดใจต่อมา เขารีบวิ่งหนีสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ตัวนั้นทันที “ตัวอะไรเนี่ย!?”

เขาวิ่งไปทางไหน มันก็วิ่งตามเขาไป ซ้ำยังร้องว่า “ท้อปีศาจ—”ๆๆๆๆ ไม่หยุด ทำให้เขามองลูกท้อที่สีแปลกกว่าท้อต้นอื่นๆ นั้น อีกทั้งท้อต้นนี้ยังมีผนึกอาคมปกป้องเอาไว้ เช่นนั้นท้อลูกนี้น่าจะเป็นท้อปีศาจที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นร้องเรียกแน่ๆ เขาจึงโยนท้อลูกนั้นทิ้งไปทันที ลูกท้อตกลงพื้น แล้วกลิ้งตุบๆ ไปอีกนิดหนึ่งก็หยุดลง เขายังวิ่งหนีไปข้างหน้า หันกลับไปมองก็เห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้นหยุดอยู่ตรงท้อลูกนั้น มันตวัดลิ้นกินท้อลูกนั้นเข้าไปทันที เฉินมู่อิ๋งหยุดวิ่ง เขามองมันที่กินท้อเข้าไปแล้ว มันหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นทำสีหน้าเหมือนกับดื่มเหล้าเลิศรสเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น สักพักสีหน้ามันก็เปลี่ยนไปเป็นเคลิบเคลิ้ม แล้วมันก็ร้องออกมา “อวิ๋นอวี้—”

มันหันตัวกลับไปแล้ววิ่งไปทางด้านหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งวิ่งตามมันไปอย่างอยากรู้ เขาอยากรู้ว่ามันจะวิ่งไปไหน สัตว์ยักษ์ตัวนั้นพุ่งไปพลางร้องว่า “อวิ๋นอวี้” ไปตลอดทาง เฉินมู่อิ๋งวิ่งตามมันไปจนกระทั่งเห็นมันพุ่งไปทางตำหนักที่ท่านย่าอวิ๋นอวี้อาศัยอยู่ เขาเบิกตาโต “หรือว่ามันหมายถึงท่านย่าอวิ๋น!?”

อวิ๋นอวี้ได้ยินเสียงดังโครมครามมาแต่ไกลจึงลุกขึ้นยืนดู เห็นเหนียน* พุ่งมา นางจึงตกใจ “อ้า! เจ้า!”

(เหนียน คือเทพปีศาจบรรพกาล)

เหนียนพุ่งไปหาอวิ๋นอวี้อย่างไวยิ่ง อวิ๋นอวี้วิ่งหลบไม่ทันจึงถูกมันคว้าจับตัวเอาไว้ นางตวาดใส่มันเสียงดังลั่น “อ้า! เจ้าบ้า! ปล่อยข้านะ!”

เหนียนยกอวิ๋นอวี้ขึ้นไป แลบลิ้นเลียนางอย่างหลงใหล แผล๊บ!

อวิ๋นอวี้โมโหจนโทสะท่วมฟ้าแล้ว นางถูกมันเลียทีเดียวเนื้อตัวนางก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายเต็มไปหมด เหนียนร้องว่า “อวิ๋นอวี้” แล้วเลียนางอีก แผล๊บ!

เฉินมู่อิ๋งที่วิ่งตามมาตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าท่านย่าอวิ๋นจะถูกสัตว์ยักษ์ตัวนั้นกินลงท้องไป คนอื่นๆ ได้ยินเสียงดังโครมครามก็รีบมาดู พวกเขาเห็นเหนียนก็ตกตะลึงไป “เหนียน!”

หลงจิ่งเทียนที่เคยเห็นท่าทางของเหนียนเช่นนี้ถึง 2 ครั้งมาแล้วจึงตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสี “มันกินท้อปีศาจเข้าไป!”

“อ่า!” คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงงันกันไปหมด ตี้โฮ่วมาถึงเห็นเหนียนเป็นเช่นนั้นก็รีบเอาโอสถนิทราระดับมหาเทพออกมาแล้วใช้พลังจิตยัดโอสถใส่ปากเหนียนทันที เหนียนกลืนโอสถนิทราลงไป มันแลบลิ้นเลียอวิ๋นอวี้อีกที แผล๊บ!

จากนั้นมันก็ล้มลงหมอบกับพื้น หลับสนิทไปทันที อวิ๋นอวี้ถูกมันกำเอาไว้จึงล้มลงไปด้วย ศีรษะนางฟาดกับอกมันจนนางเจ็บมึนเลยทีเดียว เมื่อเหนียนหลับไปแล้วตี้โฮ่วจึงใช้พลังจิตแงะกรงเล็บเหนียนพาท่านย่าออกมา อวิ๋นอวี้โกรธจัดจนหน้าแดงหน้าเขียว เมื่อนางยืนบนพื้นนางจึงพุ่งเข้าไปเตะเหนียนหลายที ผั๊วะ!ๆๆๆๆ…

“ไอ้เหนียนบ้านี่! ตายซะเถอะ!”

ผั๊วะ!ๆๆๆๆ… นางเตะมันอีกหลายทีจนเหนื่อยหอบถึงได้สะบัดตัวเดินจากไป ตี้โฮ่วหันไปมองคนอื่นๆ แล้วถามว่า “เหนียนกินท้อปีศาจได้ไง?”

เฉินมู่อิ๋งเดาสาเหตุได้จึงก้าวไปบอกว่า “เอ่อ เจ้ใหญ่ เป็นข้าเด็ดท้อที่อยู่ในผนึกอาคมเองขอรับ ข้าไม่รู้ว่านั่นคือท้อปีศาจขอรับ”

“อ่อ” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับรู้ เฉินมู่อิ๋งก็ถาม “สัตว์ตัวนี้คือสัตว์อะไรขอรับ?”

“เหนียนยังไงล่ะ” ตี้โฮ่วบอก “นี่คือร่างแท้จริงของจางจงเหนียนอย่างไรล่ะ เขาเป็นเทพปีศาจบรรพกาลน่ะ”

“เหนียนกินท้อปีศาจเข้าไปทีไรก็จะเป็นเช่นนี้แหละ เจ้ใหญ่ถึงได้ผนึกกลิ่นของท้อปีศาจเอาไว้” หลงจิ่งเทียนบอก เสี่ยวเฟิ่งก็เสริมว่า “เขากินเข้าไปทีไรก็จะบ้ากามขึ้นมาทุกที”

เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วอึ้งไป ทำหน้าไม่ค่อยถูกเลย ตี้โฮ่วมองความเสียหายที่เหนียนก่อแล้วส่ายๆ หน้า “คอยดูเถอะ เขาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ข้าจะให้เขาชดใช้ค่าเสียหายให้กระอักเลือดทีเดียว ฮึ่ม!”

“เจ้ใหญ่ขอรับ ข้าขอโทษ” เฉินมู่อิ๋งบอกอย่างรู้สึกผิด หากว่าเขาไม่เก็บท้อปีศาจก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่นอน ตี้โฮ่วส่ายหน้า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ช่างเถอะ คราวหน้าเจ้าก็อย่าเก็บท้อปีศาจโดยไม่ได้ผนึกกลิ่นของมันก่อนเก็บอีกละกัน”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำอย่างรู้สึกผิด จินเย่เดินเข้าไปปลอบใจ “ไม่เป็นไรๆ เจ้าไม่รู้นี่นา ไปๆ เอาท้อไปปอกหั่นใส่จานกันดีกว่า”

นางดึงเฉินมู่อิ๋งไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไปอย่างคอตก เทพบริวาร 5 หานก็เร่งจัดการความเสียหายที่เหนียนก่อเอาไว้ พวกพยัคฆ์คำราม 4 ถางก็ช่วยเช่นกัน พวกเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นร่างแท้จริงของเหนียนคราวนี้เอง ช่างเป็นเทพปีศาจที่น่ากลัวยิ่ง!

คนอื่นๆ ก็ช่วยกันจัดการความเสียหายที่เกิดขึ้น ตี้โฮ่วก็กลับไปดูแลลูกชายต่อ ส่วนตี้จวินก็กำลังสอนลูกฝึกฝนพลังอยู่จึงไม่อาจไปดูเรื่องราวด้วยตัวเองได้ แต่จากเสียงที่ดังแว่วๆ มานั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นฮูหยินของเขาย่อมจัดการเรื่องราวได้อยู่แล้ว เพราะหากมีเรื่องใหญ่โตอะไรเกินกว่าที่นางจะจัดการได้เดี๋ยวนางก็ใช้หยกส่งเสียงมาหาเขาเอง

เหนียนก็หลับอยู่ตรงนั้นไปอีกนานทีเดียว อวิ๋นอวี้เดินออกมาจากตำหนักทีไรนางก็เดินเข้าไปเตะมันทุกทีอย่างโมโหไม่หาย แต่แรงของนางต่อให้เตะสุดกำลังก็ยังไม่อาจสะกิดขนหนาๆ กับหนังหนาๆ ของมันได้เลย ถึงจะเป็นอย่างนั้นนางก็ยังเตะมันอยู่ดี ถ้าไม่เตะมันระบายอารมณ์นางคงอกแตกตายกระมัง ชิ! ไอ้เหนียนบ้า!

วันคืนผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งจิงจ้านกลับมาถึงแดนเทพ เขาก็รีบไปหาองค์ราชาทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ราชาเขาก็กุมมือคารวะ “องค์ราชาพะย่ะค่ะ”

“อืม” หยางเจียงหยุนมองจิงจ้านที่ดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว จิงจ้านนำเรือเยว่กวงออกมามอบคืนให้ หยางเจียงหยุนก็เก็บเรือไป จิงจ้านเอาน้ำเต้าออกมามอบให้ “สองคนนั้นอยู่ในนี้พะย่ะค่ะ”

หยางเจียงหยุนรับน้ำเต้ามาแล้วเปิดจุกมองดูภายในน้ำเต้า เห็นคนคู่หนึ่งนอนสลบไสลอยู่ก้นน้ำเต้า หน้าตาของทั้งสองคือเฉินจงกุ้ยกับเฉินม่านอิ๋งไม่มีผิด เพียงแต่ว่าสองคนนี้ดูหนุ่มสาวกว่าในความทรงจำของเขา เขาปิดจุกน้ำเต้าแล้วเก็บไป สั่งจิงจ้านว่า “เจ้าไปพักก่อน”

“พะย่ะค่ะ” จิงจ้านรับคำสั่งแล้วถอยไปหาที่นอนทางด้านหนึ่ง เขาเลือกที่เหมาะๆ ได้แล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับไปทันที เขาเร่งเดินทางเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ใช้พลังจนเรียกว่าแทบจะเหือดแห้งเลยทีเดียว

เฉินมู่อิ๋งอยู่ในตำหนักไป๋หยุน เขารู้ว่าเจ้ใหญ่มีโลกใบเล็ก ซึ่งเป็นโลกแยกคล้ายๆ กับดินแดนส่วนตัว ทำให้เขาอยากจะมีบ้าง เขาจึงขอให้เจ้ใหญ่สอนสร้างโลกใบเล็ก ตี้โฮ่วก็สอนให้อย่างเต็มอกเต็มใจ เฉินมู่อิ๋งจึงไม่ได้ฝึกหลอมโอสถหรือหลอมศาสตรา เพราะกำลังหมกมุ่นกับการสร้างโลกใบเล็ก

“เจ้าต้องคิดเริ่มจากเล็กๆ ก่อน เอาแค่ห้อง 1 ห้องก่อนเพราะพลังจิตของเจ้ายังไม่มากพอที่จะสร้างโลกใบเล็ก วันหน้าเจ้ามีพลังมากกว่านี้เมื่อไหร่ค่อยสร้างออกมาเป็นโลกใบเล็กก็ได้” ตี้โฮ่วบอกอยู่ตรงหน้า เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วคิดตาม “ห้อง 1 ห้อง”

เขานึกภาพห้อง 1 ห้องในหัว แต่ภาพก็เลือนรางยิ่งนัก ตี้โฮ่วก็ลุกจากไปปล่อยให้เฉินมู่อิ๋งคิดสร้างโลกใบเล็กไปเรื่อยๆ การสร้างโลกใบเล็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้เฉินมู่อิ๋งจะพยายามมากขนาดไหนโอกาสที่จะสร้างได้ก็ยังมีอยู่น้อยมากจริงๆ แต่เมื่อเริ่มอยากสร้างแล้ว สักวันต้องสำเร็จแน่นอน

“ห้อง 1 ห้อง…ห้อง 1 ห้อง…ห้อง 1 ห้อง…” เฉินมู่อิ๋งคิดภาพอยู่ในหัว ปากก็ท่องคำว่า ‘ห้อง 1 ห้อง’ ไปเรื่อยๆ

หยางเจียงหยุนเฝ้ามาอีกเดือนหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นทั้งเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตาหล่อเหลาและเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตาสามัญคนนั้นเลย อีกทั้งยังไม่เห็นใครออกจากตำหนักไป๋หยุนด้วย เห็นแต่เจ้าสำนักโอสถที่เทียวมาเทียวไป กับราชาเฟิ่งที่เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป และราชามังกรที่มาๆ ไปๆ จิงจ้านก็เฝ้าอยู่ข้างกายองค์ราชาไม่ไปไหน องค์ราชาไม่มีคำสั่งอื่นเขาก็คอยรับใช้อยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไป 1 เดือนแล้ว เฉินมู่อิ๋งที่คิดสร้างโลกใบเล็กมาตลอด 1 เดือน ในที่สุดก็เกิดภาพในหัวเป็นห้อง 1 ห้องชัดเจนขึ้นมา ห้องนั้นคือห้องนอนของเขาในเรือนของเขาเอง พลัน! เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงดัง เปรี้ยง!

เสียงนี้ดังมากจนเขาสะดุ้งยกมือปิดหู แต่เขาก็ยังคงได้ยินเสียงดังชัดอยู่ดี เขาเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา สว่างเสียจนเขาต้องหลับตาลง หูยังคงได้ยินเสียงดังเปรี้ยงลากยาวราวกับไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย เขาเผยอตาแต่แสงสว่างก็สว่างจ้าเสียจนเขามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากแสงจ้านั้น เขาหลับตาลง จนกระทั่งเสียงดังเปรี้ยงเหมือนเสียงฟ้าผ่านั้นหายไป เขาลืมตาดู พบว่าแสงจ้าก็หายไปแล้วเช่นกัน เขามองไปแล้วตกตะลึงอึ้งงันไปเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในตำหนักหรูหรา แต่อยู่ในห้องๆ หนึ่ง ห้องที่เหมือนกับห้องนอนของเขาในเรือนของเขาไม่มีผิด “นี่!”

เขายกมือขยี้ตาตัวเอง เมื่อมองไปอีกครั้งก็ยังคงเห็นห้องนอนตัวเอง เขายื่นมือไปลูบโต๊ะไม้ที่อยู่ใกล้ๆ สัมผัสนี้คุ้นเคยยิ่ง เป็นโต๊ะไม้ตัวที่เขาใช้งานมานานปี แม้กระทั่งรอยบิ่นเล็กๆ ที่เกิดจากคมกระบี่ก็มีอยู่ เป็นโต๊ะไม้ตัวนั้นจริงๆ! เขาดึงมือกลับมาหยิกแขนตัวเอง “โอ๊ย!”

เขารู้สึกเจ็บจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน เขายื่นมือไปลูบโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง ลูบอย่างไรก็คุ้นมือยิ่ง เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง

“อ่า!” เขาตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง เมื่อพบว่าด้านนอกหน้าต่างมีแต่ความมืดมิด ไม่ใช่มืดเพราะว่าเป็นตอนกลางคืน แต่ข้างนอกนั่นคือความเวิ้งว้างมืดมิดไม่มีอะไรเลย เขาเดินไปเปิดหน้าต่างอีกบานก็พบแต่ความเวิ้งว้างมืดมิดเช่นเดิม เขาเดินไปเปิดประตูห้อง ก็พบแต่ความเวิ้งว้างมืดมิดอีกเช่นกัน เขาดูจนทั่วห้อง พบว่ามีเพียงห้องนี้ห้องเดียว คล้ายกับว่าห้องนี้ลอยอยู่กลางอากาศที่เวิ้งว้างมืดมิดอย่างไรอย่างนั้น

เขานึกถึงห้องในตำหนัก พลัน! เขารู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดวูบ! พริบตาต่อมาเขาก็อยู่ในห้องในตำหนักเหมือนก่อนหน้าที่จะได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่าสายนั้นแล้ว เขาลุกขึ้นยืนรู้สึกว่าขาเป็นเหน็บชาจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ เขานึกถึงห้องนอนตัวเองอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดวูบ! พริบตาต่อมาเขาก็ยืนอยู่กลางห้องนอนที่คุ้นเคยอีกครั้ง “นี่!”

เขาหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาถือไว้ แล้วคิดถึงห้องในตำหนัก วูบ! พริบตาต่อมาเขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม เพียงแต่ในมือเขามีถ้วยชาใบหนึ่ง ถ้วยชานี้เขาใช้มานานมากเขามองถ้วยชาในมืออย่างอึ้งๆ เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วหยิบถ้วยชาหยกขาวบนโต๊ะมาถือไว้ จากนั้นก็คิดถึงห้องนอนห้องนั้นอีกครั้ง วูบ!

เขาอยู่กลางห้องนอนที่คุ้นเคยอีกครั้ง เขาก้มลงมองมือตัวเองที่ถือถ้วยชาหยกขาว เขาวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะแล้วเพ่งมองถ้วยชาหยกขาวใบนั้น ถ้วยชาของตำหนักที่เขาอยู่ หากว่าเขาเพียงแค่ฝันไปเช่นนั้นถ้วยนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อีกทั้งถ้วยชาในห้องก็ขาดไปใบหนึ่ง เขากะพริบตามองถ้วยชาใบนั้น “หรือว่าที่นี่คือโลกใบเล็กของข้า!?”

เขาไม่แน่ใจนักเขาจึงคิดถึงห้องในตำหนักอีกครั้ง แล้วรีบลุกไปหาตี้โฮ่วทันที เมื่อเจอตี้โฮ่วเขาก็กุมมือคารวะ “เจ้ใหญ่”

“อ้าว มีอะไรรึ?” ตี้โฮ่วถาม เฉินมู่อิ๋งจึงบอกว่า “ข้าไม่แน่ใจว่าข้าสร้างโลกใบเล็กได้หรือยัง จึงอยากให้เจ้ใหญ่ช่วยดูหน่อยขอรับ”

“งั้นลองพาข้าไปซิ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งจึงยื่นมือไปจับมือตี้โฮ่วแล้วคิดถึงห้องนอนห้องนั้น เขารู้สึกเหมือนถูกดูดวูบอีกครา ตี้โฮ่วที่เข้าออกโลกใบเล็กจนคุ้นชินแล้วจึงไม่แปลกใจอะไรเมื่อพบว่าตัวเองอยู่กลางห้องๆ หนึ่ง เฉินมู่อิ๋งมองตี้โฮ่วที่อยู่ในห้องนอนของเขา “นี่ใช่โลกใบเล็กไหมขอรับ?”

ตี้โฮ่วเดินไปเปิดหน้าต่าง มองออกไปเห็นแต่ความเวิ้งว้างมืดมิดจึงหันไปบอกว่า “นี่แหละโลกใบเล็ก เก่งจริงๆ”

เธอชมพลางยิ้มดีใจ เฉินมู่อิ๋งได้ยินคำยืนยันจากตี้โฮ่วก็รู้สึกดีใจมาก ดีใจยิ่งกว่าตอนหลอมโอสถสวรรค์ได้ ดีใจยิ่งกว่าตอนหลอมราชันศาสตราได้ เรียกว่าดีใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เลยจริงๆ “ข้าสร้างโลกใบเล็กได้แล้ว! ข้าทำได้แล้ว!”

“ใช่ เจ้าทำได้แล้ว เก่งมาก” ตี้โฮ่วชมแล้วเดินไปตบๆ บ่า เฉินมู่อิ๋งดีใจจนน้ำตาคลอ โผกอดเจ้ใหญ่หมับ “ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณขอรับ”

“อื้มๆ” ตี้โฮ่วกอดตอบตบๆ หลังพลางบอกว่า “แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าสามีข้าเจ้าใช้มายาลวงตาอยู่จะกอดข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ เขาน่ะขี้หึงมาก”

“อ่า!” เฉินมู่อิ๋งทำหน้าไม่ค่อยถูกเลย ก็ใช่ เขาใช้มายาลวงตาอยู่ทำให้คนอื่นเห็นเป็นบุรุษ ตี้จวินเห็นบุรุษอื่นกอดฮูหยินของเขาก็ย่อมหึงหวงน่ะซิ เขาผละออก “ข้าจะระวังขอรับ”

“หึๆๆๆ…” ตี้โฮ่วหัวเราะเบาๆ แล้วชวนว่า “ออกไปกันเถอะ”

เฉินมู่อิ๋งจึงพาตี้โฮ่วออกจากโลกใบเล็ก เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาเห็นตี้จวินอยู่ตรงหน้าพอดี “ตี้จวิน!”

เขาผงะรีบปล่อยมือจากตี้โฮ่วทันที ตี้จวินมองเฉินมู่อิ๋งกับฮูหยินแล้วถามว่า “ไปไหนกันมา?”

“มู่อิ๋งสร้างโลกใบเล็กได้แล้วจึงชวนข้าไปดูน่ะ” ตี้โฮ่วบอก ตี้จวินส่งเสียงคำหนึ่ง “อ่อ”

“อย่างนี้ต้องฉลอง”ตี้โฮ่วพูดขึ้นมาแล้วก้าวไปจับมือสามีพลางชวนเฉินมู่อิ๋งว่า “ไปๆ พวกเราไปฉลองกันหน่อย”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ ตี้โฮ่วก็จูงสามีเดินนำหน้าไป เฉินมู่อิ๋งลอบถอนหายใจทีหนึ่ง “เฮ้อ…”

เมื่อกี้เขารู้สึกเหมือนหายใจหายคอไม่ค่อยออกเลยทีเดียว สายตาตี้จวินดุยิ่งนัก อีกทั้งแรงกดดันก็น่ากลัวยิ่ง ขนาดอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้วเขายังไม่ชินกับกลิ่นอายกดดันของตี้จวินเลย แค่เข้าใกล้ก็เหมือนถูกภูเขาไท่ซานทับอย่างไรอย่างนั้น ขนาดเสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนยังแอบบอกเขาเลยว่าพวกเขาก็ไม่ชินกับกลิ่นอายกดดันของตี้จวินสักที เรียกว่าถ้าตี้จวินอยู่ตรงไหน คนอื่นๆ มักจะเว้นระยะห่างไปโดยปริยายนั่นเอง!

มีแค่ตี้โฮ่ว ท่านน้ายี่จื่อ ท่านน้าจือหยี ท่านน้าจ้าวมู่ ท่านย่าอวิ๋นอวี้เท่านั้นที่กล้าอยู่ใกล้ตี้จวินในระยะประชิด ส่วนคนอื่นล้วนถอยห่างหมด ไม่มีใครกล้าอยู่ใกล้จริงๆ วันนั้นทุกคนล้วนดื่มกินฉลองความสำเร็จของเฉินมู่อิ๋งอย่างดีใจด้วย ขาดก็แต่เหนียนที่ยังหลับไม่ตื่น เสี่ยวเฟิ่งอยากจะเข้าไปดูโลกใบเล็กของเฉินมู่อิ๋งจึงออกปาก แต่พอตี้โฮ่วได้ยินจึงขัดขึ้นว่า “มู่อิ๋งยังสร้างได้แค่ห้องนอนห้องเดียว เจ้าเป็นผู้ชายจะเข้าไปในห้องนอนผู้หญิงได้อย่างไร”

“อ่า…” เสี่ยวเฟิ่งเงียบไปเลย ไม่ขอเข้าไปดูโลกใบเล็กของเฉินมู่อิ๋งอีก จินเย่ยิ้มเยาะ “หึ! เจ้าไก่อ้วน”

เสี่ยวเฟิงถลึงตาใส่จินเย่ทีหนึ่ง จินเย่ก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ หลงจิ่งเทียนทนไม่ไหวจึงพูดว่า “พวกเจ้าสองคนก็โตๆ กันแล้วยังจะทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ อีก น่าขายหน้าจริงๆ”

“ยุ่งน่า” ทั้งจินเย่ทั้งเสี่ยวเฟิ่งหันไปพูดใส่หลงจิ่งเทียน หลงจิ่งเทียนกลอกตามองบนแล้วไม่สนใจสองคนนั้นอีก เขาเบนสายตาไปมองแม่นางเฉินพลางยิ้มให้นาง เฉินมู่อิ๋งยิ้มตอบ เขารู้ดีว่าหลงจิ่งเทียนชอบตัวเองแต่เขากลับไม่รู้สึกรักใคร่ตอบจึงทำเหมือนหลงจิ่งเทียนเป็นสหายบุรุษคนหนึ่งเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับเสี่ยวเฟิ่งนั่นแหละ เขาเห็นทั้งสองเป็นสหายเท่านั้น ไม่เคยคิดในแง่ชู้สาวกับทั้งสองคนเลย

เมื่อฉลองกันเต็มที่แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับตำหนักใครตำหนักมัน สภาพแต่ละคนเมาไม่น้อยทีเดียว มีเพียงตี้จวินที่ดูอย่างไรก็ไม่เมาเลย ทั้งๆ ที่ดื่มไปไม่น้อยเลยแท้ๆ ตี้จวินอุ้มตี้โฮ่วขึ้นมาพลางบอกลูกชาย “ไป กลับตำหนักกัน”

“ขอรับ” หานปิงเซียนรับคำแล้วเดินตามท่านพ่อไป ตี้โฮ่วก็ซบอกสามีอย่างมีความสุขยิ่ง หลินยี่จื่อก็อุ้มภรรยาของเขากลับตำหนักไปเช่นกัน เหอเทียนเหิงก็อุ้มฮูหยินของเขากลับตำหนักไป เหลียงถิงเวยก็อุ้มฮูหยินของเขากลับตำหนัก แน่นอนว่าจ้าวมู่จะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร เขาก็อุ้มฮูหยินของเขากลับตำหนักไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบนคอของเขามีลูกสาวขี่บ่าอยู่ จ้าวซีหงนั่งอยู่บนบ่าท่านพ่อส่งเสียง “จิ๊บๆ” ไปตลอดทาง เสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนก็กอดคอกันเดินกลับตำหนักไปด้วยกัน 5 หานก็กอดคอกันกลับตำหนักไปพลางคุยกันไปส่งเสียงล้งเล้งไปตลอดทาง ส่วน 4 ถางก็กอดคอกันกลับตำหนักพวกเขาไป อวิ๋นอวี้ก็ถือไหเหล้าเดินกลับตำหนักไป เฉินมู่อิ๋งก็กลับตำหนักไปเช่นกัน ส่วนงานเก็บล้างต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของสาวใช้ทั้งหลาย

อวิ๋นอวี้กลับถึงตำหนักก็มองเหนียนอย่างโมโห นางเดินไปเตะมันทีหนึ่ง ผั๊วะ!

“ไอ้เหนียนบ้า!” นางด่ามันแล้วก็นั่งลงพิงขามันยกไหเหล้าขึ้นดื่มต่อ ดื่มไปดื่มมานางก็ฟุบหลับอยู่ตรงนั้น ตัวจมลงไปบนขนหนาๆ ราวกับผ้าห่มขนสัตว์ทำให้นางไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ส่วนเฉินมู่อิ๋งกลับถึงตำหนักก็หลับเป็นตายเลยทีเดียว

ตอนสาย เฉินมู่อิ๋งตื่นขึ้นมา เขาอาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงลุกไปที่ห้องครัว ภายในห้องครัวเงียบมาก ไม่มีใครเลยสักคน แสดงว่าคนอื่นๆ คงยังไม่ตื่นกระมัง เขาจึงไปเดินเล่น เดินไปเดินมา เขาเดินไปถึงประตูตำหนักไป๋หยุนเลยทีเดียว เขามองประตูบานใหญ่นั้นแล้วเปิดประตูออกไปยืนมองทิวทัศน์หน้าประตู เขามองลงไปเบื้องล่าง เพิ่งจะมีโอกาสมายืนมองชัดๆ ก็คราวนี้แหละ เขาจึงมองไปรอบๆ อย่างละเอียดลออ

จะมีสักกี่คนกันที่มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ เรียกว่านับคนได้เลยกระมัง ตำหนักไป๋หยุนไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาก็มาได้ คนที่มาที่นี่ล้วนสูงศักดิ์กันทั้งนั้น แม้แต่ราชาแดนเทพทั้ง 4 แดนก็ยังไม่มีโอกาสมาเข้าเฝ้าตี้จวินถึงที่นี่เลย ส่วนราชาเฟิ่งกับราชามังกรที่มีโอกาสมาที่นี่ก็เป็นเพราะลูกชายของพวกเขานั่นเอง เขาคิดไปคิดมาก็คิดถึงพี่สาวมังกรขึ้นมา เขาจึงคิดว่าจะไปหาพี่สาวมังกรสักหน่อย เขาจึงหยิบหยกฝากเสียงขึ้นมาแล้วพูดใส่หยกก้อนนั้นว่า “เจ้ใหญ่ขอรับ ข้าจะไปหาพี่สาวมังกรที่ตำหนักเก้าชั้นฟ้าสักพักนะขอรับ”

เขาพูดจบแล้วก็ปล่อยหยกก้อนนั้นไป หยกก็บินไปที่ตำหนักเจ้ใหญ่ทันที เขามองตามหยกแล้วเหินตัวขึ้นมุ่งหน้าไปตำหนักเก้าชั้นฟ้า

หยางเจียงหยุนเห็นเจ้าเฉินมู่อิ๋งหน้าตาหล่อเหลาออกมาจากตำหนักไป๋หยุนก็ตาวาวโรจน์ทันที ในที่สุดมันก็โผล่หัวออกมาแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version