ตอนที่ 106-1
ไอหยา ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!
ไอสังหารอันหนาแน่น ทำให้อุณหภูมิภายในห้องเย็นลงหลายองศาในทันที
ไอสังหาร พัดพาผมยาวที่อยู่บริเวณใบหูของมู่ชิงเกอขึ้นมา ราวกับว่า เพียงอีกแค่นิ้วเดียวมันก็จะบาดคอของนาง
แต่ทว่า มู่ชิงเกอกลับไม่ได้โกรธ แต่กลับยิ้มอย่างขบขันให้กับหานฉายไฉ่
ทันใดนั้น ไอสังหารก็ได้จางหายไป
ริมฝีปากสีแดงก่ำอันน่าเย้ายวนของหานฉายไฉ่กระตุกขึ้น พลันหันไปรินนํ้าชาให้กับตนเอง ท่าทางอันเกียจคร้านนั้น ราวกับผู้ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เมื่อครู่ที่ผ่านมานี้ไม่ใช่ตัวเขา
“สำหรับเบาะแสของพญาเพลิง ข้ามีจริงๆ แต่ ตอนนี้ยังไม่มั่นใจในตำแหน่ง เจ้าวางใจเถิด รอให้มั่นใจแล้ว แน่นอนว่าข้าจะบอกเจ้า” อยู่ๆ หานฉายไฉ่ก็พูดขึ้นมา
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้างลง จ้องเขาครู่หนึ่งแล้ว จึงพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่าผิดคำพูด” พอพูดจบนางก็หันหลังกลับไปอย่างไม่แยแส
หลังจากที่นางหายไปจากร้านนํ้าชา หานฉายไฉ่จึงวางถ้วยนํ้าชาในมือลง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น บ่นพึมพำและคิดพินิจว่า “มู่ชิงเกอ เจ้ามีความเป็นมายังไงกันแน่ ตระกูลมู่ไม่มีทางจะมีสายโลหิตพิเศษอะไรเป็นแน่ แต่เจ้ากลับมี ถ้าเช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว”
ในดวงตาเรียวและงดงามนั้นแฝงความเย็นเยียบ หานฉายไฉ่ตะโกนกับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “เข้ามา”
ทันใดนั้น ลูกน้องทั้งสี่ของหานฉายไฉ่ก็ได้ปรากฏตัวตรงหน้าเขา
“ไปสืบเบื้องหลังของฮูหยินจวนตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินมาให้ละเอียด” สายตาของหานฉายไฉ่ค่อยๆ หรี่ลง ในร่องตาสาดฉายแสงประกายอันคลุมเครือ
ออกจากร้านชา มู่ชิงเกอพลันถอนหายใจ แล้วจึงไปรวมตัวกับพวกมั่วหยางและออกเดินทางพุ่งไปยังที่ที่นัดกับลุงโจวแห่งตระกูลเว่ย ระหว่างทางนางได้เสียเวลาไปมากถึงเพียงนั้น คิดว่าพี่น้องตระกูลเว่ยคงจะถึงเมืองฮ่วนตั้งนานแล้ว
ระหว่างทาง มู่ชิงเกอดูเงียบๆ
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยดูออกว่าอารมณ์ของนางไม่ได้ดีมากนัก จึงไม่กล้าไปรบกวนนาง
ความจริงแล้ว มู่ชิงเกอกำลังคุยกับเหมิงเหมิง
การที่รู้ว่าในร่างกายของหานฉายไฉ่มีสายโลหิต แน่นอนว่าทำให้นางแปลกใจเป็นอย่างมาก
หอสรรพสิ่งมีที่มาที่ไม่ชัดเจนมากนัก ราวกับว่าได้มาปรากฏอยู่ภายในหลินชวนอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ในเวลาสั้นๆ เพียง 100ปี การค้าของหอสรรพสิ่งก็ได้ครอบคลุมทั้งหลินชวน
ในเวลา 100 ปีมานี้ ยอดฝีมือได้เกิดขึ้นมากมาย
แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบไปยังหอสรรพสิ่งเลยแม้แต่น้อย มิหนำซํ้ายังยิ่งใหญ่มากขึ้น ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกว่าเบื้องหลังนั้นมีอำนาจมากเพียงใด
วันนี้ นางกลับรับรู้ว่าเจ้านายแห่งหอสรรพสิ่งมีสายโลหิตพิเศษนางจึงคิดว่าหานฉายไฉ่เป็นคนนอก หอสรรพสิ่งก็เป็นการแทรกซึมของผู้มีอำนาจจากภายนอก
‘เหมิงเหมิง เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าในหลินชวนไม่มีสายโลหิตที่เป็นคนดั้งเดิมในพื้นที่แน่นอน’ มู่ชิงเกอถาม เหมิงเหมิงในใจ
เสียงอันอ่อนนุ่มของเหมิงเหมิงดังขึ้น ‘ข้าสาบาน! ว่าไม่มีแน่นอน!’
‘เพราะอะไร’ มู่ชิงเกอแปลกใจเป็นอย่างมาก
เหมิงเหมิงตอบว่า ‘เพราะพื้นที่มีจำกัด ตระกูลที่มีสายโลหิต ในอดีตนับว่าเป็นตระกูลที่สูงส่ง พวกเขาไม่มีทางที่จะอยู่ในหลินชวนอันล้าหลังแห่งนี้เป็นแน่’
ความเหยียดหยันที่แฝงอยู่ในคำพูดของเหมิงเหมิง ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเบาๆ
‘อีกประการหนึ่ง ตระกูลที่มีสายโลหิตนั้นมีอยู่น้อยมาตั้งแต่แรก ฐานะสูงส่งมากถึงเพียงนี้ จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร’ เหมิงเหมิงพูดเสริม
คิ้วที่ขมวดอยู่มู่ชิงเกอค่อยๆ ผ่อนคลายลง บางที นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
หากยอดฝีมือภายนอกที่เก่งกาจมากกว่าผู้คนในหลินชวนเข้าสู่หลินชวนได้อย่างง่ายดาย ถ้าเช่นนั้น หลินชวนก็จะสูญเสียความสงบสุขเป็นแน่
‘เจ้าเคยบอกว่า ในร่างกายของข้ามีสายเลือดปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธ ถือเป็นสัญญาณของการที่จะได้กลายเป็นปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธ ถ้า เช่นนั้นก็หมายความว่า ปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธในใต้หล้านี้มาจากตระกูลเดียวกันอย่างนั้นหรือ ข้าจำได้ว่า ในหลินชวนก็มีหอหลอมอาวุธ ที่นั้นมีปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธมากมาย’ มู่ชิงเกอตั้งคำถามอีกครั้ง
‘ไม่ใช่อย่างนี้นะเจ้านาย!’ มืออ้วนๆ ของเหมิงเหมิงประสานกันเอาไว้ข้างหลัง พลางพยักหน้า ‘สายโลหิตในร่างกายของเจ้านายยังไม่ได้รับการกระตุ้น แต่ก็สามารถสร้างอาวุธได้มิใช่หรือ ปรมาจารย์แห่งการหลอมอาวุธในหออาวุธก็เช่นกัน พวกเขาไม่ได้มีสายโลหิต แต่สามารถสร้างอาวุธได้ด้วยตำราโบราณ แต่ เพราะไม่มีสายโลหิตคอยสนับสนุน อาวุธที่เก่งกาจที่สุดที่พวกเขาสามารถสร้างได้ก็มีเพียงอาวุธในระดับที่เป็นสมบัติ อาวุธแห่งการสงครามและอาวุธวิญญาณ อาวุธในระดับสมบัติถือเป็นระดับที่สูงที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว แต่สำหรับคนที่มีสายโลหิต กลับสามารถพัฒนาอาวุธระดับเทพ อาวุธระดับปราชญ์และอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในตำนานได้’
มู่ชิงเกอเงียบและอุทานในใจว่า ดูเหมือนว่าสายโลหิตที่ว่านี้ จะเป็นการเนรมิตของสวรรค์!
ผู้ที่มีสายโลหิต แตกต่างจากคนธรรมดาตั้งแต่เกิด ก็ไม่แปลกที่จะมีฐานะอันสูงส่ง ช่างเป็นการแบ่งคนประเภทต่างๆ ออกจากกันอย่างชัดเจน
‘ถ้าเช่นนั้น สายโลหิตในร่างกายของหานฉายไฉ่ เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน’ มู่ชิงเกอยังคงถาม
เหมิงเหมิงพูดว่า ‘แท้จริงแล้ว สายโลหิตนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ต่างก็อยู่ในฐานะปรมาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือ พลังของสายโลหิตนั้นมีมาก ผู้ที่ สามารถฝึกจนถึงขั้นสูงสุดจะสามารถเรียกลม เรียกฝน ควบคุมไฟและทำให้เกิดสายฟ้าได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เพราะวิวัฒนาการของมนุษย์จึงกลายเป็นบทบาทที่ไม่ได้สำคัญมากนักและมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ เช่น ผู้ที่มีสายโลหิตแห่งเปลวเพลิง สามารถปรุงยาหรือสร้างอาวุธได้ ผู้ที่มีสายโลหิตแห่งสายนํ้า สามารถฝึกทักษะการรักษาได้’
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
ราวกับสัมผัสได้ถึงความฉงนใจภายในใจของมู่ชิงเกอ เหมิงเหมิงรีบอธิบายว่า “ผู้ที่มีสายโลหิตแห่งเปลวเพลิง มีความสามารถในการควบคุมไฟ หากสายโลหิตได้รับการกระตุ้นจนตื่นขึ้น ความใกล้ชิดระหว่างพวกเขาและเปลวเพลิงก็จะเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการสร้างอาวุธและการหลอมโอสถเองก็ต้องมีความสามารถในการควบคุมไฟได้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นจุดเด่นของพวกเขา แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว ถือเป็นความสามารถระดับพลิกฟ้า ส่วนผู้ที่มีสายโลหิตแห่งสายนํ้า เพราะสายนํ้าคือพลังชีวิต เพราะฉะนั้นหากพวกเขาเรียนทักษะการรักษา เมื่อเทียบกับคนธรรมดาก็ถือว่าชนะมาแล้วครึ่งทาง”
การอธิบายนี้ทำให้มู่ชิงเกอกระจ่างแจ้งแล้ว
ความจริงแล้ว คือการใช้สายโลหิตพิเศษเหล่านี้ในการสร้างอาชีพ บางทีอาจจะเป็นเพราะสายโลหิต จึงทำให้คนเหล่านี้มีความสามารถอันพลิกฟ้า
‘สายโลหิตในร่างกายของหานฉายไฉ่ได้ถูกกระตุ้นจนตื่นขึ้นแล้วหรือ’ มู่ชิงเกอนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้อย่างกะทันหัน
เหมิงเหมิงพยักหน้า ‘ใช่ สายโลหิตในตัวของคนผู้นั้นได้รับการกระตุ้นแล้ว เพียงแต่ว่ามันจางมากๆ’
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แล้วเขาต้องการพญาเพลิงไป เพื่ออะไรอีก’ มู่ชิงเกอพึมพำ
หลังจากที่เหมิงเหมิงได้ยิน ก็รีบให้คำตอบว่า ‘บางที เขาอาจจะต้องการพญาเพลิงในการทำให้สายโลหิตของเขาเติบโตและเพิ่มพลังให้กับสายโลหิต สายโลหิตของเขาคือสายโลหิตแห่งเปลวเพลิง ไม่แน่จะสามารถเก็บพญาเพลิงระดับเทพไว้ภายในร่างกายของตนเองได้’
‘หมายความว่าอย่างไร?!’ มู่ชิงเกอหรี่ตาลง
‘สายโลหิตแห่งเปลวเพลิงมีความสามารถอันเหนือฟ้า คือการสะสมสารประเภทไฟ ความจริงแล้วตระกูลที่มีสายโลหิตแห่งเปลวเพลิง ต่างก็มีวิธีการ กระตุ้นสายโลหิตของตนเอง มีการกระตุ้นตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้สามารถรู้ได้ถึงความสามารถอันพลิกฟ้าของเด็กที่อยู่ในตระกูลที่มีสายโลหิตแห่งเปลวเพลิงและการฝึกฝนหลังจากที่โตขึ้นมา การใช้พญาเพลิงในการกระตุ้นสายโลหิตนั้นถือเป็นการเสี่ยงและการพนัน หากล้มเหลว สายโลหิตจะถูกทำลายลง สายโลหิตทั้งร่างกายอาจจะถูกจำกัด จนไม่สามารถฝึกพลังเวทได้อีก เป็นดั่งร่างอันไร้ค่า หนูเหมิงคิดว่า พี่ชายที่คล้ายดั่งพญาดอกไม้คนนั้นอยากจะใช้พญาเพลิงในการเพิ่มพลังในสายโลหิตของตนเอง เพื่อเป็นการเพิ่มพลังให้กับตนเอง ไม่แน่ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เพราะสายโลหิตที่จางมาก ทำให้ถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลและถูกทำร้ายมามาก จึงอยากจะเก่งกาจขึ้นเพื่อเป็นการตบหน้าตระกูลตัวเองแรงๆทีหนึ่ง!หึๆ-’
ความคิดเห็นที่เหมิงเหมิงเสริมเข้ามามู่ชิงเกอไม่ได้ตั้งใจฟัง นางกำลังคิดทบทวนในอีกคำพูดหนึ่งของเหมิงเหมิง
‘หากไม่ใช่สายโลหิตแห่งเปลวเพลิงก็จะไม่สามารถเก็บพญาเพลิงไว้ในร่างกายได้หรือ’ ม่ชิงเกอถาม
พญาเพลิง ของอันลํ้าค่าเช่นนี้ ไม่สามารถเก็บไว้ ใช้ได้ทำให้นางรู้สึกปวดใจ! และคิดว่าเป็นการสิ้นเปลืองเป็นอย่างมาก!
‘โดยปกติแล้วเป็นไปไม่ได้ไม่ว่าอย่างไรหนูเหมิงก็ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อน’ เหมิงเหมิงพูด
ในส่วนลึกของสายตาของมู่ชิงเกอแฝงความผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ดื้อดึงอะไร
สิ่งที่นางมีถือ เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างอิจฉาเป็นอย่างมาก ก็คงไม่ดีหากยังอยากมีอยากได้ในทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์อีก
เมื่อมู่ชิงเกอและเหมิงเหมิงจบบทสนทนาลง พวกเขาก็ได้มาหยุดอยู่ที่นัดหมายแล้ว
มู่ชิงเกอไม่คุ้นชินกับเมืองฮ่วน เพราะฉะนั้นที่ ห่งนี้ ลุงโจวจึงเป็นคนเลือก
เพื่อให้มู่ชิงเกอสามารถตามหาพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ลุงโจวจึงเลือกโรงเตี้ยมที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่ง ชื่อว่า ‘โรงเตี้ยมมหาเทพ’ ได้ข่าวว่า เป็นที่ที่มีชื่อเสียงของเมืองฮ่วน ซึ่งหาง่ายมาก แม้แต่เด็ก 3 ขวบก็สามารถหาเจอได้อย่างง่ายดาย
แต่ทว่า มู่ชิงเกอยังไม่ทันจะเข้าสู่โรงเตี๊ยมมหาเทพ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังออกจากภายในโรงเตี๊ยม
นอกโรงเตี๊ยม ในตอนนี้ได้เต็มไปด้วยผู้คน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดจึงไร้ซึ่งเหตุผลเช่นนี้ที่นี่ไม่ใช่ของเจ้า มีสิทธิ์อะไรมาไล่เรา?!”
มู่ชิงเกอพลันขมวดคิ้ว เสียงนี่คุ้นหูเป็นอย่างมาก