ตอนที่ 134-3
เดี๋ยวนะ ท่านบอกว่าใครมานะ!
คำพูดนี้ที่แม้จะเสียงเบา แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างตกตะลึงจนต้องสูดหายใจ
พวกเขาอาจจะไม่รู้จักมังกรพยัคฆ์วายุหกปีก แต่รู้ว่าสัตว์ที่เหนือกว่าสัตว์ในโลกชนิดนี้นั้นเป็นสัญลักษณ์ในการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่เก่งกล้ามากที่สุดในแผ่น ดินนี้
ชายผู้นั้นเป็นจุดมุ่งหมายที่ชายหนุ่มจำนวนมากต้องการจะเป็นและเป็นผู้ที่พวกเขานับถือ!
คนผู้นั้น เป็นตำนานในตำนาน เป็นเทพที่ไม่อาจก้าวข้ามได้!
มังกรพยัคฆ์วายุหกปีกอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าคนผู้นั้น…
ทุกคนล้วนมองรถลากสีดำดูเรียบง่ายที่มังกรพยัคฆ์วายุหกปีกลากมาเป็นตาเดียวกัน
คนผู้นั้น จะอยู่ที่นี่หรือไม่
เหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงเองก็เงยหน้าขึ้นมองสัตว์ชนิดแปลกประหลาดนี้ ส่วนลึกของแววตาเต็มไปด้วย ความตื่นตระหนก
ในตอนนี้เอง พวกเขาที่ไม่อยากคุกเข่าลงต้อนรับในตอนแรก ก็กลับไม่ได้รู้สึกว่ามันยากที่จะยอมรับถึงเพียงนั้นแล้ว หากเป็นชายผู้นั้น พวกเขาก็ยินดีคุกเข่าให้ด้วย ความเต็มใจ!
“ศิษย์พี่ ท่านว่า ท่านผู้นั้นมาจริงๆ หรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกราวกับฝันไป” จ้าวหนานซิงพึมพำ ความสูงส่งของเหมยจื่อจ้ง ถูกทำลายลงในนาทีนี้
แม้ว่าเขาจะไม่สนโลกมากเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนผู้นี้ สายตาที่แนบนิ่งมาโดยตลอดของเขา แฝงการรอคอย พลันตอบคำถามของจ้าวหนานซิง “หากเป็นจริง ข้าเองก็อยากชื่นชมความสูงส่งของท่านด้วยตาของตน เอง!”
ในอีกด้านหนึ่ง จูหลิงก็กำลังคุยกับซางจื่อซูว่า “จื่อซู เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
ในสายตาของซางจื่อซูแฝงความตื่นตะลึง พลันส่ายหน้าเบาๆ
ท่ามกลางผู้คน พี่น้องตระกูลเว่ย ฟู่เทียนหลงและสุ่ยหลิงที่ยืนอยู่ด้วยกัน พวกเขาและคนรอบข้างพวกเขาล้วนมองมังกรพยัคฆ์วายุบนฟ้าอย่างตื่นตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เว่ยกว่านกว่านพูดกับเว่ยฉีว่า “เรากลับจวนไปแล้ว จะเล่าให้ท่านพ่อฟังว่าวันนี้ใครมาที่โรงโอสถ ท่านจะต้องอิจฉาเราเป็นแน่!”
ใบหน้าของเว่ยฉีเองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ข้า…ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ กว่านกว่าน…เจ้าหยิกข้า…หยิกข้าที!”
“ซี๊ด—!” เว่ยฉีสูดลมหายใจอันเย็นเอียบเข้าไปในทันที จับแขนเอาไว้ แล้วพูดกับเว่ยกว่านกว่านว่า “เจ้าหยิกข้าจริงหรือนี่!”
เว่ยกว่านกว่านขมวดคิ้ว “เจ้าให้ข้าหยิกมิใช่หรือ”
เว่ยฉีมองนาง ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอย่างไร พลันจ้องนางเขม็งทีหนึ่ง แล้วเคลื่อนสายตากลับไปกลางอากาศ
ฟู่เทียนหลงพูดกับสุ่ยหลิงด้วยความตื่นเต้น “ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านนั้นจริงๆ หรือ คนเฒ่าคนแก่เคยบอกว่า เมื่อสองร้อยปีก่อน แคว้นปาของเราพบกับภัยพิบัติรุนแรง เป็นท่านผู้นั้นเหาะลงมาจากฟากฟ้า ช่วยทุกคนเอาไว้ ทำให้แคว้นปารอดมาได้”
สุ่ยหลิงพยักหน้าอย่างตะลึง “ข้ารู้ ข้าเคยได้ยินท่านปู่พูดถึง ตอนที่ท่านยังเด็ก ในวินาทีแห่งความตาย แค่พลังฝ่ามือเดียวของผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นก็สังหารงูเก้าปรภพได้”
ฟู่เทียนหลงกลืนนํ้าลาย พยักหน้าและพูดว่า “งูเก้าปรภพอสูรร้ายในยุคโบราณ ว่ากันว่ามันไม่ควรมีอยู่ในหลินชวน มันเคยปรากฏตัวในแคว้นปาตัวหนึ่ง เป็นงู เก้าปรภพที่หลับใหลมานานนับหมื่นปี แม้จะเป็นยอดฝีมือสายม่วงแต่หากพบกับมันก็ยากที่จะสู้ได้ ประชาชนจำนวนมากในแคว้นปาของเรา ล้วนตายและกลายเป็นอาหารของมัน”
“ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเป็นผู้มีพระคุณของแคว้นปาเรา!” สุ่ยหลิงพูดอย่างจริงใจ
ฟู่เทียนหลงเองก็ไม่มีข้อโต้แย้งกับคำพูดนี้
เพราะว่า ในแคว้นปา แทบจะทุกบ้านทุกเรือน ทุกเมือง ทุกชนเผ่า ล้วนบูชารูปของใครคนหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่ใบหน้านั้นเลือนรางเห็นไม่ชัด!
ทุกคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไป เพียงเวลาผ่านไปไม่ถึงเค่อ
หลังจากที่มังกรพยัคฆ์วายุหกปีกปรากฏตัวขึ้น ท่าทางเย่อหยิ่งของทั้งสี่ที่ยืนอยู่บนหลังสัตว์ปีกพลันหายไป เก็บกลิ่นอายโค้งคำนับลงต้อนรับอย่างนอบน้อม
“น้อมต้อนรับองค์มหาปราชญ์!” คำพูดนี้ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงท่ามกลางผู้คน แม้พอจะเดาออกบ้างบางส่วน แต่เมื่อได้ยินกับหูก็ยังคงตื่นตระหนกเป็นอย่างมากอยู่ดี
หัวชางซู่ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน รีบคุกเข่าลงกับพื้น และตะโกนเสียงดังว่า “น้อมต้อนรับองค์มหาปราชญ์!”
ลูกศิษย์นับพันล้วนคุกเข่าลงตามเสียงของเขาและตะโกนคำว่า ‘น้อมต้อนรับองค์มหาปราชญ์!’ ด้วยความจริงใจ
โหลวชวนป่ายที่คุกเข่าอยู่ข้างหัวชางซู่ ตื่นเต้นจนมือไม้สั่น
เมื่อครั้งยังเด็กเขาก็หวังจะได้พบกับชายผู้ที่โลกใบนี้ยอมรับให้เป็นผู้ที่เก่งกล้ามากที่สุดแต่ก็ไม่มีโอกาส คิดไม่ถึงว่า ความฝันจะเป็นจริงตอนแก่
บนท้องฟ้า เงาสีดำสองสายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ต่างก็ยืนอยู่บนหลังของมังกรพยัคฆ์วายุทั้งสองตัว เงาร่างอันสูงโปร่งเป็นสง่า ท่าทางเย็นชา ทำให้ในใจของทุกคนเกิดความกลัวชนิดหนึ่งขึ้น
ราวกับว่า การปรากฏของชายหนุ่มทั้งสอง บ่งบอกถึงความแตกต่างของพวกเขาและผู้ที่อยู่ในรถ
“ท่านประมุขบอกว่า ให้ลุกขึ้นได้” กู่เย่มองคนนับพันที่อยู่บนพื้นดินแล้วพูดอย่างเย็นเยียบ
ส่วนกู่หยากลับกำลังตามหาเงาร่างที่คุ้นเคยท่ามกลางผู้คน
หากไม่ใช่เพราะท่านประมุขเป็นห่วงคนผู้นั้น จะสนใจว่าคนเหล่านี้จะยืนหรือคุกเข่าไปเพื่ออะไร เพียงแต่ว่า…เหตุใดจึงไม่เห็นคนผู้นั้น
“ขอบพระทัยองค์มหาปราชญ์!
ทั้งสี่ที่อยู่บนหลังสัตว์ปีกพูดขึ้นก่อน พลันยืนหลังตรง หัวชางซู่จึงนำทุกคนกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะลุกจากฟื้น
อยู่ๆ สัตว์ปีกก็บินร่อนลง ปีกใหญ่ขยับไปมา ทำให้ผู้คนที่อยู่บนพื้นล้วนถอยหลัง เว้นพื้นที่ที่เพียงพอให้พวกมันบินลงมาหยุดได้
สัตว์ปีกเก็บปีก กรงเล็บเกาะพื้นเอาไว้แน่น หินหยกอันแข็งแรงแตกกระจายเพราะพวกมันในทันที
ลูกศิษย์โรงโอสถเห็นความดุดันของพวกมัน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เผยให้เห็นความหวาดกลัว
สัตว์ปีกหมอบลงกับพื้น ให้คนที่อยู่บนหลังสามารถลงมาได้อย่างสะดวก
ทันทีที่ทั้งสี่ลงสู่พื้นดินแล้วก็เดินไปหาหัวชางซู่
ไม่ได้ทักทายเขา เพียงหันหลังไปพร้อมกันและมองไปยังท้องฟ้า
มังกรพยัคฆ์วายุและรถสีดำหายไปจากตรงหน้าทุกคนในทันที
คนนับพันเห็นเพียงแค่ร่างในชุดสีดำสองร่างและสีขาวอีกหนึ่งร่าง ค่อยๆ เหินลงมาจากกลางอากาศ
เงาร่างอันสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงกลาง ดึงดูดความสนใจจากสายตาของทุกคนในทันที
สีขาวอันบริสุทธิ์ไร้มลทิน สีม่วงอันลึกลับและสูงส่ง ล้วนทำให้เห็นเค้าโครงร่างกายของเขาอย่างชัดเจน เส้นผมสีดำยาวดั่งหมึก ทิ้งตัวลงมาจนถึงตาตุ่ม ขยับไหวไปมา แม้ไม่มีลมพัดผ่าน
เขาค่อยๆ เหินลงมาดั่งเทพที่ลงมาจากฟากฟ้า ทำให้ผู้คนอดไม่ได้อยากจะหมอบลงพื้น และแสดงความเคารพอย่างจริงใจ
เมื่อใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาของทุกคนอย่างชัดเจน ก็ราวกับเวลาได้หยุดลง…
ซือมั่วรูปลักษณ์งดงาม สูงส่งไร้ที่เปรียบ รูปลักษณ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกอย่างไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ความงดงามของเขาเหนือจินตนาการ เมื่อพบกับเขา ก็ราวกับพระอาทิตย์อับแสงไป
ราวกับว่า เขาต่างหากเป็นที่มาของแสงเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้!
ซือมั่วทำให้ทุกคนรู้สึกละอายใจและรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและเทพ
แต่ว่า กลับทำให้ทั้งสี่คนในนั้นตื่นตระหนกราวกับถูกฟ้าผ่า!
“เขา….เขา….เขา….เหตุใดใบหน้าเขาจึงเหมือน กับลูกพี่ลูกน้องของมู่เกอมากถึงเพียงนะ
นั้น…!” เว่ยกว่านกว่านพูดจาไม่เป็นคำ ความตื่นตระหนกในใจแทบจะกลืนกินนางเข้าไป เว่ยฉีและสุ่ยหลิงเองก็ไม่ได้ต่างจากนางมากนัก
โดยเฉพาะฟู่เทียนหลง เขานั้นยืนตัวแข็งอยู่กับที่ หากท่านนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของมู่เกอ ถ้าเช่นนั้นที่มาและเบื้องหลังของมู่เกอนั้น…อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเย็นวาบตรง
ลำคอ
ราวกับว่า ท่ามกลางความไม่รู้ ขาข้างหนึ่งของเขาก็ได้ก้าวเข้าไปสู่ความตายหลายครั้งแล้ว!
ฟู่เทียนหลงหันกลับมา สบกับสายตาของสุ่ยหลิงพอดี
ดวงตากลมโตคู่นั้น ราวกับกำลังบอกเขาว่า ‘ดูสิว่า เจ้าทำอะไรลงไป! เกือบจะนำพาความเดือดร้อนให้กับแคว้นปาแล้ว!’
ฟู่เทียนหลงก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด อยากจะตบหน้าให้ตนเองตายไปเสียเลย
รูปลักษณ์ของซือมั่วสร้างความตื่นตระหนก เป็นความปรารถนาที่ทุกคนไม่กล้าแม้จะเพ้อฝัน แม้แต่ลูกศิษย์หญิงที่หลงชายหนุ่มเหล่านั้นก็ล้วนไม่กล้าริบังอาจ ยิ่ง ไม่กล้าแสดงกริยาอันใด
วินาทีที่ซือมั่วยืนอยู่ในลานกว้าง ทุกคนก็ล้วนรับรู้ได้ถึง กลิ่นอายที่แข็งแกร่งบางอย่างแผ่กระจายออกมาจากกายของเขา แล้วก็กระจายไปทั่วทั้งโรงโอสถอย่างรวดเร็ว มนต์ตองห้ามที่พวกเขาภูมิใจนักหนา ไม่อาจขัดขวางการสำรวจของเขาไปได้
ท่าทางของซือมั่ว ไม่มีการปิดบัง ทุกอย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก
แต่คนนับพันกลับไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
เมื่อกลิ่นอายของซือมั่วมาอยู่ตรงหน้าห้องที่มู่ชิงเกอเก็บตัวอยู่ ข้างในมีกลิ่นอายอันคุ้นเคย จึงทำให้เขารีบเก็บพลังของตนเองกลับไปในทันที ในดวงตาลึกซึ้งเรียบเฉย เผยรอยยิ้มจางๆ