ตอนที่ 134-2
เดี๋ยวนะ ท่านบอกว่าใครมานะ?
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม มู่ชิงเกอยังคงไม่ออกมา
“พวกเจ้าทั้งสามยังอยู่ที่นี่อีกหรือ” ข้างหลังของทั้งสาม อยู่ๆ ก็มีเสียงไพเราะโดดเด่นราวกับเทพเซียนดังขึ้น
ทั้งสามหันกลับไป เห็นเหมยจื่อจ้งในชุดที่พลิ้วไหวราวกับลอยละล่องเข้ามา
เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าของทั้งสาม มองผ่านพวกเขาไปยังห้องของมู่ชิงเกอที่ปิดสนิท พลันขมวดคิ้วพูดว่า “มู่เกอยังไม่ออกมาหรือ”
จ้าวหนานซิงพูด “ยัง เราเองก็กำลังรอ”
เหมยจื่อจ้งขมวดคิ้วมากกว่าเดิม “หัวหน้าหัวประกาศว่า ผู้ใหญ่กำลังจะมาถึงให้ลูกศิษย์โรงโอสถทุกคนไปคุกเข่าต้อนรับนอกประตูโรงโอสถ”
“คุกเข่าต้อนรับอย่างนั้นหรือ” จ้าวหนานซิงได้สติเป็นคนแรก หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความไม่จำยอม “ผู้ใหญ่จากไหนกัน ให้เราไปต้อนรับยังไม่พอ ยังต้องคุกเข่า” เหมยจื่อจ้งเม้มปาก “บางทีอาจจะเป็นคนจากอาณาจักรเซิ่งหยวน”
อาณาจักรเซิ่งหยวน คำนี้ ทำให้จ้าวหนานซิงเงียบ
เขาเป็นเพียงแค่องค์ชายของแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นอันดับสาม ไม่มีสิทธิ์ไปเย่อหยิ่งต่อหน้าผู้ใหญ่ของอาณาจักรเซิ่งหยวนอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่จำยอมนัก แต่ก็จำต้องทำตาม
เขาจะทำให้ราชวงศ์แคว้นอวี๋ต้องเดือดร้อนเพียงเพราะเขาคนเดียวไม่ได้!
จูหลิงมองจ้าวหนานซิงที่ไม่จำยอม แล้วมองใบหน้าอันเย็นชาของซางจื่อซู จึงพูดว่า “คุกเข่าก็คุกเข่าสิ อย่างไรก็ไม่ได้มีแค่เราที่ทำ หากว่าพวกท่านไม่สบายใจ ก็ให้ ถือเสียว่าโขกหัวให้กับญาติผู้ใหญ่ที่จากไปแล้ว”
จ้าวหนานซิงอึ้ง ก่อนจะได้สติ แล้วจึงพูดพร้อมเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ พูดได้ดี ถือเลียว่าโขกหัวให้ญาติผู้ใหญ่ที่จากไปแล้ว”
ใบหน้าอันเย็นชาของซางจื่อซูก็ดูอบอุ่นขึ้น
เหมยจื่อจ้งมองพวกเขา แล้วพูดกับพวกเขาว่า “จะไม่ทันแล้ว เราไปก่อนเถิด มู่เกอยังไม่ออกมาก็ดีแล้ว ด้วยนิสัยของเขา บางทีก็อาจจะไม่ยอมคุกเข่าต้อนรับ”
ทั้งสามล้วนพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของเหมยจื่อจ้ง
หลังจากที่คุยกันแล้ว จ้าวหนานซิงจึงทิ้งข้อความเอาไว้ ให้มู่ชิงเกอตรงด้านนอกประตู แล้วทั้งสามก็มุ่งไปยังนอกประตูโรงโอสถพร้อมกับเหมยจื่อจ้งอย่างเร่งรีบ
ระหว่างทาง ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยล้วนเพิ่งรู้ข่าวและมารวมตัวกันตรงบริเวณนอกประตูโรงโอสถ ถึงขั้นที่ว่า มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งตามอาจารย์ของตนเอง เดินผ่านพวกเขาไปด้วยท่าทางอันเร่งรีบ
“อาจารย์ล่ะ” จ้าวหนานซิงมองเหมยจื่อจ้งแล้วถาม
เหมยจื่อจ้งตอบว่า “อาจารย์ไปก่อนแล้ว”
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า
เมื่อทั้งสี่เดินมาอยู่นอกประตูโรงโอสถ ลูกศิษย์นับพันของโรงโอสถก็ได้เต็มไปทั้งลานกว้างนอกประตูโรงโอสถ ลูกศิษย์บางสำนัก ล้วนยืนอยู่ด้วยกันโดยมีอาจารย์ของตนเองเป็นผู้นำ ลูกศิษย์ที่ไม่มีสำนัก ล้วนยืนอยู่กับผู้ที่ตนเองคุ้นเคย
จ้าวหนานซิงตาไว สังเกตเห็นว่าท่านผู้อาวุโสที่ดูแลคุ้มครองโรงโอสถที่ไม่ปรากฏตัวง่ายๆ ก็ล้วนปรากฏตัวและยืนอยู่หน้าสุดพร้อมกับหัวชางซู่
จูหลิงยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน อยู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่ามีสายตาอันโหดเหี้ยมจับจ้องตนเองอยู่
นางเงยสายตาขึ้น ราวกับมองทะลุผ่านผู้คนไปเห็นเตียวหยวน
เมื่อคิดทบทวนแล้ว นางจึงพูดกับซางจื่อซูและคนอื่นๆ ว่า “ข้ากลับไปยืนตรงนั้นก่อน จะได้ไม่เป็นที่นินทา”
ซางจื่อซูขมวดคิ้วส่ายหน้าด้วยความเป็นห่วง เพื่อห้ามความคิดของจูหลิง
จ้าวหนานซิงเองก็ไม่เห็นด้วย “อยู่กับเราปลอดภัยกว่า เจ้ากลับไป หากพวกเขาทำให้เจ้าลำบากและแอบวางแผนอะไร ความพยายามก่อนหน้านี้ก็เท่ากับศูนย์มิใช่ หรือ”
จูหลิงแอบมองเตียวหยวนแวบหนึ่ง รับรู้ได้ว่าเขายังคงจ้องตนเอง จึงพูดว่า “หากว่าข้าไม่ไป อาจจะเป็นเรื่อง อีกอย่างไรก็ตามก็เพียงแค่ต้อนรับ หลังจากที่จบลง แล้ว ข้าจะกลับมาหาพวกท่านอย่างเร็วที่สุด”
เหมยจื่องจ้งหยุดคิดครู่หนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่เถิด ถึงในตอนนี้หัวชางซู่ไม่มีเวลาสนใจเจ้า แต่เตียวหยวนนั้นไม่แน่ อย่าได้ไปเสี่ยง หากเจ้ากลัวว่าเตียวหยวนจะหาเรื่องเจ้าเพราะเรื่องนี้ เจ้าก็บอกเรื่องที่เขาบังคับให้เจ้ากินยาหุ่นเชิดออกมาเสีย ให้ผู้ใหญ่จากอาณาจักรเซิ่งหยวนเหล่านี้ได้ตัดสินอย่างยุติธรรม”
คำพูดเหล่านี้ ทำให้จูหลิงอุ่นใจ นางมองเหมยจื่อจ้งด้วยสายตาอ่อนโยนดั่งสายนํ้าแวบหนึ่ง พลันพยักหน้ารับ
สุดท้าย จูหลิงจึงไม่ได้กลับไปรวมกลุ่มกับหัวชางซู่ นาง เหมยจื่อจ้งและอีกสองคนยืนอยู่ข้างหลังของโหลวชวนป่าย
โหลวชวนป่ายยืนอยู่ไม่ไกลจากหัวชางซู่นัก จูหลิงยืนอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องเห็น สายตาของเขาฉายความโหดเหี้ยมทีหนึ่ง เผยให้เห็นไอสังหาร แล้วหันมองเตียวหยวน ทั้งสองสบตากัน แต่ล้วนไม่ได้พูดอะไร
‘ทุกอย่างยึดความตามภาพรวมเป็นหลัก’ โอกาสที่พวกเขาจะกางปีกบินไปไกล จะเสียการใหญ่เพียงเพราะจูหลิงคนเดียวไม่ได้!
ทุกคนในโรงโอสถล้วนมาครบแล้ว ขบวนคนนับพัน ในชุดสีขาวอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้ความรู้สึกราวกับมีกลิ่นอายเซียนลอยละล่อง ทุกคนล้วนเงียบรอ หัวชางซู่พูด กับโหลวชวนป่ายเบาๆ ว่า “ปรมาจารย์โหลว ท่านยังมีลูกศิษย์อีกคนมิใช่หรือ”
โหลวชวนป่ายยิ้ม “มู่เกอยังไม่ออกจากการเก็บตัว”
หัวชางซู่แววตาเป็นประกายแวบหนึ่ง พลันเปลี่ยนความคิดและแอบคิดว่า “เจ้าเด็กแซ่มู่ไม่มาก็ดีแล้ว จะได้ไม่ทำให้คนผู้นั้นสนใจ จะดีที่สุดหากเขาจะไม่ปรากฏตัวแม้กระทั่งในการคัดเลือกที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้!”
หัวชางซู่เกิดความคิดอันชั่วร้ายในใจ
ครู่หนึ่ง บนท้องฟ้าก็พลันเกิดลมพัดอย่างรุนแรง มีสัตว์ปีกสองตัวบินเข้ามาจากระยะอันไกลออกไป สัตว์ปีกในโรงโอสถไม่อาจเปรียบกับสองตัวนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
สัตว์ทั้งสองตัวปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเหนือโรงโอสถ ราวกับเมฆดำ ผู้คนในลานกว้างล้วนตกอยู่ท่ามกลางเงาของมันที่ปกคลุมอยู่
“สวรรค์! นี่มันสัตว์บินได้ประเภทใดกัน!” ท่ามกลางผู้คน มีคนอดไม่ได้ที่จะถามคำถามที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ แต่ทว่า กลับไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ สัตว์ปีกขนาดใหญ่สองตัวนั้น อยู่เหนือกว่าความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาเคยมีมา สัตว์ปีกสองตัวนี้ ล้วนเป็นประเภทเดียวกัน ปีกบนหลังข้างหนึ่งโบกสะบัดก็ทำให้เกิดลมกระโชกแรง พัดจนเสื้อผ้าของลูกศิษย์โรงโอสถที่อยู่ด้านล่างปลิวว่อน พวกมันบินวนไปมากลางอากาศ พร้อมกับส่งเสียงคำรามอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อพวกมันบินตํ่าลงมาเรื่อยๆ ทุกคนในโรงโอสถที่เงยหน้าขึ้นมองอยู่จึงพบว่า บนหลังของสัตว์ปีกสองตัวนี้ มีคนยืนอยู่ตัวละสองคน
สัตว์ปีกที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ เพียงพอกับการยืนจำนวนหลายร้อยคน ในตอนนี้กลับยืนอยู่เพียงสองคน
ในขณะนั้นเอง ในใจของลูกศิษย์โรงโอสถจำนวนไม่น้อย ล้วนพูดคำว่า ‘เอาแต่ใจ! สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว!’
สัตว์ปีกมาอยู่เหนืออากาศบริเวณลาน แล้วก็แยกกันยืนเป็นสองฝัjงซ้ายขวา แต่ไม่ได้ร่อนลงมาด้านล่าง ทั้งสี่ที่ยืนอยู่บนสัตว์ปีกมีลักษณะและท่าทางที่โดดเด่นต่างจากคนทั่วไป เพียงสามารถเห็นได้อย่างเลือนรางว่าพวกเขาอยู่ในชุดตัวยาวสีเทาขาว แต่ว่ามองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน
พวกเขายืนอยู่บนตัวของสัตว์ปีก ราวกับไม่มีความคิดที่จะลงมาและไม่พูดคุยกับคนที่อยู่บนพื้นดิน เพียงแค่ยืนอยู่เงียบๆ ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
หัวชางซู่เงยหน้าขึ้นมองไปยังสัตว์ปีกตัวใหญ่ เห็นทั้งสี่ที่อยู่ในชุดสีเทาขาว มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็สั่นเบาๆ
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คนที่นี่ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่า ชุดสีเทาขาวเหล่านั้นหมายความถึงสิ่งใด
นั้นเป็นชุดของอาวุโสผู้ติดตามในโรงโอสถกลาง!
อาวุโสติดตาม อยู่ในโรงโอสถกลาง ล้วนมีอำนาจดูแล เรื่องราวทั้งหมดในโรงโอสถ พวกเขามีอำนาจมากกว่าอาวุโสในนามเหล่านั้น ถึงขั้นว่าหัวหน้าโรงโอสถในทุกๆ รุ่นล้วนเกิดมาจากอาวุโสเหล่านี้
เขาไม่คิดว่า ในครั้งนี้จะมีอาวุโสติดตามมาถึงสี่ท่าน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกประการหนึ่ง ยังมีคนผู้นั้น………..
ในขณะที่หัวชางซู่กำลังตกอยู่ท่ามกลางความตื่นเต้น บนฟ้าก็มีเสียงคำรามอันน่าเกรงขามดังขึ้นอีกครั้ง
ในจุดที่ห่างไกลออกไป ก็มีจุดสีดำปรากฏขึ้นหลายจุด เพียงพริบตา จากจุดที่ห่างไกลลิบตา ก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน
เมื่อทุกคนเห็นชัดแล้วว่า จุดสีดำเหล่านั้นคือสิ่งใด สีหน้าล้วนเปลี่ยนไป!
‘นั้นมันตัวประหลาดอันใดกัน!’
หัวเป็นมังกร ลำตัวเป็นเสือดาว มีปีก ร่างกายเป็นสีคราม บนร่างกายสามารถเห็นสัญลักษณ์สีทองอันเลือนราง ทั้งลึกลับและสูงส่ง เคลื่อนไหวอย่างมีพลัง ราวกับ เพียงแค่คว้าจับ ก็สามารถฉีกท้องฟ้าลงได้
หางเสือดาวยาวเต็มไปด้วยหนามอันแหลมคม ให้ความรู้สึกน่ากลัว กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล!
“นี่…นี่เหมือนจะเป็นมังกรพยัคฆ์วายุหกปีก!” มีคนอึ้งจนพูดติดอ่าง บนหลังของมังกรพยัคฆ์วายุเหล่านั้นมีปีกอยู่สามคู่ ราวกับกำลังบอกฐานะของพวกมัน!
มังกรพยัคฆ์วายุหกปีก!