Skip to content

พลิกปฐพี 134-1

ตอนที่ 134-1

เดี๋ยวนะ ท่านบอกว่าใครมานะ?

หลังจากนั้นเวลาหนึ่งเดือน โรงโอสถย่อยแห่งแคว้นอวี๋ ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น ในทุกๆ ปีเว้นปี โรงโอสถย่อยทั้งหมด ล้วนมีการแข่งขัน เพื่อทำการคัดเลือกหนึ่งครั้ง ลูกศิษย์ที่ชนะการแข่งขัน จะมีโอกาสไปยังแคว้นอันคับหนึ่งของอาณาจักรนี้!

เข้าสู่อาณาจักรเซิ่งหยวนก็หมายความว่า จะมีโอกาสมากมายในการยกระดับฐานะของตนเอง ที่นั่น มียอดฝีมือสายม่วงในตำนาน มีสมบัติลํ้าค่าจำนวนมาก มีนักปรุงยาระดับจิต ถึงขั้นที่ว่า ที่นั่นมีอาจารย์ปรุงยาระดับสมบัติ!

สำหรับลูกศิษย์โรงโอสถแล้ว การที่จะสามารถผ่านการคัดเลือกได้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการก้าวสู่การพัฒนา!

เพราะฉะนั้นในการแข่งขันเพื่อคัดเลือกในทุกครั้งล้วนมีความสำคัญ!

และในปีนี้ การคัดเลือกยังไม่ทันได้เริ่มขึ้น ก็มีข่าวว่า—ในการคัดเลือกในครั้งนี้ จะมีคนใหญ่คนโต หลายท่านที่ไม่เคยเข้าร่วมมาเข้าร่วมด้วย!

เพราะฉะนั้นบรรยากาศทั่วทั้งโรงโอสถจึงคึกคักขึ้นมา นักปรุงยาแทบจะทุกคน ล้วนใช้เวลาในการเตรียมตัว เพื่อแสดงความสามารถของตนเองออกมาในการคัด

เลือก

สามวันก่อนหน้านี้ เตียวหยวนที่กำลังเก็บตัวอยู่ก็ถูกท่านอาจารย์เรียกตัวออกมา ลูกศิษย์และอาจารย์คู่นี้คุยกันอยู่ในห้องลับ จากนั้นก็เตียวหยวนจากไปด้วยความ ตื่นตระหนก

ส่วนจะคุยเรื่องอะไรกันบ้างไม่อาจมีใครรู้ได้ มีเพียงเตียวหยวนที่รู้ หัวชางซู่บอกกับเขาว่า ผู้ใหญ่ที่มาในครั้งนี้มีผู้หนึ่งคือผู้ที่ตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาทั้งสอง

หากทำให้เขาชื่นชอบได้ ไม่แน่ว่าพวกเขาทั้งสองจะสามารถออกจากแคว้นอวี๋ที่เป็นแค่แคว้นอันดับสามและเมื่อกลับโรงโอสถกลางไป ยังจะสามารถมีตำแหน่งที่สูงกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น!

หัวชางซู่บอกเขาว่าจะต้องรักษาโอกาสครั้งนี้เอาไว้และแสดงความสามารถต่อหน้าคนผู้นั้น จะต้องสร้างความประทับใจที่ดีเอาไว้ให้ได้!

ในวันที่เริ่มการแข่งขันเพื่อคัดเลือก สามชั่วยาม ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ซางจื่อซูและจ้าวหนานซิงมายังที่ๆ จูหลิงเก็บตัวพร้อมกัน

จ้าวหนานซิงแนบมือลงบนประตู แล้วปล่อยพลังเวทลงไป

พลังเวทสีเขียวที่ติดอยู่บนประตู กะพริบหลายทีด้วยจังหวะสั้นยาวที่ไม่เสมอกัน

จากนั้น จ้าวหนานซิงก็เก็บมือและรอพร้อมกับซางจื่อซู ในขณะที่กำลังรอคอย จ้าวหนานซิงก็พูดกับซางจื่อซูว่า “ศิษย์น้องมู่เก่งกาจเป็นอย่างมาก สามารถคิดวิธีการใช้รหัสลับเช่นนี้ แม้ว่าจะมีคนเห็นแต่ก็ไม่เข้าใจว่ามันคือสิ่งใด”

ซางจื่อซูไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่ในสายตากำลังบ่งบอกว่านางเห็นด้วยกับคำพูดของจ้าวหนานซิง

ตอนแรก ทุกคนคุยกันว่าเพื่อไม่ให้จูหลิงถูกหลอกให้ออกจากห้องปรุงยา ควรจะมีสัญญาณลับเช่นนี้ หากไม่รู้สัญญาณลับ จูหลิงก็สามารถไม่สนใจได้

คิดหาวิธีครู่ใหญ่ ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน สุดท้าย มู่ชิงเกอเป็นคนสอนวิธีหนึ่งให้กับทุกคน นั่นคือการปล่อยพลังเวท เพื่อเป็นสัญลักษณ์ โดยมีเวลาใน การกะพริบไม่เท่ากัน หากคนที่ไม่รู้แน่นอนว่าไม่สังเกต แม้จะเลียนแบบ แต่เพียงแค่ผิดพลาดไปตัวเดียว ก็สามารถทำให้จูหลิงรู้ว่ามีคนแอบอ้างสวมรอย

อีกประการหนึ่ง มู่ชิงเกอยังบอกทุกคนว่า ใช้สัญญาณลับที่สั้นยาวไม่เสมอกันเช่นนี้ ยังมีความหมายที่แตกต่างกัน

ทุกคนจึงเรียนรู้จากนางด้วยความสนใจในทันที

ไม่ได้ให้จ้าวหนานซิงและซางจื่อซูรอนานมากนัก ประตูหินที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออกจากข้างใน แล้วจูหลิงก็เดินออกมา

เมื่อเห็นทั้งสอง นางจึงเผยรอยยิ้มอันน่าเย้ายวน

“จูหลิง เจ้าผอมไปมาก” ซางจื่อซูมองจูหลิง นํ้าเสียงอันเย็นชาแฝงความห่วงใย

จูหลิงจึงพูดว่า “ช่วยไม่ได้ เพื่อรักษาชีวิต ทำได้เพียงแค่สู้สุดชีวิต”

จ้าวหนานซิงพยักหน้าอย่างชื่นชม “ถือว่ามีความมุมานะ แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง”

จูหลิงมองทั้งสองแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้บอกผลลัพธ์การเก็บตัวของตนเอง เพียงแค่พูดอย่างลึกลับว่า “บอกไปเดี๋ยวจะไม่ตื่นเต้น เรามาลุ้นกันบนเวทีดีกว่า”

ซางจื่อซูอึ้งและพยักหน้าอย่างแนบนิ่ง

‘ดูเหมือนว่า จูหลิงจะมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก’

จ้าวหนานซิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ได้! หากเจ้าพูดเช่นนี้ เราเองก็ล้วนจะเก็บเป็นความลับ เมื่อถึงเวลา ค่อยดูว่าใครมีการพัฒนามากที่สุด”

“ได้” จูหลิงยักคิ้วทีหนึ่ง มองเขาด้วยสายตาที่แฝงความน่าเย้ายวนแวบหนึ่ง

จ้าวหนานซิงพยักหน้าอย่างมั่นใจ และพูดกับทั้งสองว่า “เราไปกันเถิด กลับที่พักกันก่อน ดูว่าศิษย์น้องมู่เสร็จจากการเก็บตัวหรือยัง”

“ศิษย์น้องมู่เก็บตัวในที่พักหรือ” จูหลิงพูดด้วยความแปลกใจ

จ้าวหนานซิงพยักหน้า “อืม เขาบอกว่าที่พักสงบมาก เพียงแค่บอกข้าว่าอย่าไปรบกวนเขา ศิษย์พี่เหมยกำลังช่วยอาจารย์เตรียมของเพื่อใช้ในการคัดเลือก จึงไม่มี เวลามารับเจ้าพร้อมกับเรา”

“ไม่เป็นไร” จูหลิงไม่ได้แสดงความเสียใจออกไป

ออกจากห้องปรุงยาแล้วไม่เห็นเหมยจื่อจ้ง จูหลิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ว่า นางเองก็รู้ว่า คนอย่างเหมยจื่อจ้งไม่มีทางชอบนาง เพราะฉะนั้น นางไม่เคยเอาความชอบของตนเองไปรบกวนเขา

แม้ว่าในตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสนิมสนมกันขึ้นมาบ้าง แต่นางก็เก็บใจของตนเองไว้อย่างดี ไม่เคยบอกกล่าวกับเขา

ทั้งสามออกจากอาณาเขตห้องปรุงยาและเดินมุ่งไปยังที่พักของโหลวชวนป่าย

ระหว่างทาง จ้าวหนานซิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงโอสถ หลังจากที่จูหลิงเก็บตัวโดยคร่าวๆ พูดถึงเรื่องที่ฟ่งอวี๋กุยถูกไล่ออกจากโรงโอสถและซมซานกลับแคว้นลี่ไป ตอนนี้ชื่อเสียงเสียหายกระจายไปทั่วแคว้นลี่ จูหลิงพูดขึ้นในทันทีว่า “วิธีของศิษย์น้องมู่ดีเยี่ยมไปเลย!”

จ้าวหนานซิงจึงพูดอย่างไม่ชอบใจว่า “ข้ายังไม่ได้พูด ว่าเกี่ยวกับศิษย์น้องมู่ เจ้าเดาออกได้อย่างไร”

จูหลิงพยายามเก็บรอยยิ้ม “ครั้งแรกที่เราพบกับศิษย์น้องมู่ คือตอนที่ไปงานเลี้ยงตามคำเชิญของฟ่งอวี๋กุย ตอนนั้น เราเห็นว่าศิษย์น้องมู่และฟ่งอวี๋กุยมีความขัด แย้งกัน หลังจากนั้นก็เข้าสู่โรงโอสถ มีช่วงหนึ่ง ข้าเห็นฟ่งอวี๋กุยอยู่กับเตียวหยวน เตียวหยวนเป็นคนใจแคบ ไม่รู้จักเปิดใจ ตอนแรกมีศิษย์พี่เหมยที่เหนือกว่าแล้วคนหนึ่งก็ทำให้เขารู้สึกแย่มากแล้ว นับประสาอะไรกับการมีศิษย์น้องมู่ที่ความสามารถมากกว่ามาเพิ่มอีกคนล่ะ หลังจากนั้น ฟ่งอวี๋กุยก็ถูกจับเข้าคุกนํ้า ข้าแอบได้ยินมาว่า เรื่องนี้ทำให้เตียวหยวนโกรธมาก และพอจะเดาได้ว่า เขาอาจจะต้องการทำความชั่วบางอย่าง อย่างไรฟ่งอวี๋กุยก็เป็นองค์ชาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันทำเรื่องอย่างขโมยยา มิเช่นนี้ชื่อเสียงของแคว้นลี่ไม่เสียหายหมดหรือ หากเขาต้องการร่วมมือกับเตียวหยวนเพื่อหาเรื่องศิษย์น้องมู่ สำหรับศิษย์น้องมู่แล้วก็ต้องลงมือ เพื่อจัดการปัญหานี้ให้เด็ดขาด”

จ้าวหนานซิงมองนางอย่างชื่นชม “ดูไม่ออกจริงๆเลยว่า เจ้าจะละเอียดรอบคอบเช่นนี้ แจกแจงเรื่องนี้ได้อย่างมีเหตุผล”

“ความจริงเป็นอย่างไร” จูหลิงขมวดคิ้วมองเขา

จ้าวหนานซิงพยักหน้า “เป็นอย่างที่เจ้าพูด เพียงแค่ว่าผู้ที่ลงมือไม่ใช่ศิษย์น้องมู่ แต่เป็นข้า ควรจะบอกว่าศิษย์น้องมู่มอบอำนาจเรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการแทน”

พูดจบ เขาก็ยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ราวกับไม่รู้สึกผิดที่ใส่ความลูกศิษย์ในโรงโอสถด้วยกันเลยแม้แต่น้อย

จูหลิงเบิกตาโตและพูดด้วยความแปลกใจว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย!” จากนั้นนางก็พยักหน้า “วิธีของศิษย์น้องมู่ช่างยอดเยี่ยมนัก ทำให้ตนเองที่เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งรอดพ้น และให้ท่านเป็นคนจัดการ ท่านเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของโรงโอสถและเป็นบุคคลต้นแบบ อีกทั้งไม่ได้มีความขัดแย้งกับฟ่งอวี๋กุย นอกจากนี้ท่านยังมีฐานะเป็นองค์ชาย ไม่มีใครสงสัยว่าท่านเป็นคนใส่ความฟ่งอวี๋กุยเป็นแน่ ข้าคิดว่า ในตอนนั้นฟ่งอวี๋กุยจะต้องบอกว่าตนเองถูกใส่ร้าย แต่กลับไม่สามารถแก้ตัวได้”

จ้าวหนานซิงถอนหายใจ “ศิษย์น้องจู ข้าไม่พูดอีกครั้งคงจะไม่ได้ เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิด”

จูหลิงเผยรอยยิ้ม ไม่ได้สนใจคำชมของจ้าวหนานซิง แต่กลับพูดว่า “แต่ว่า ไล่ฟ่งอวี๋กุยออกจากโรงโอสถถือว่า ให้โอกาสเขามากไปแล้ว ควรจะสั่งสอนให้ในอนาคต เมื่อพบกับศิษย์น้องมู่ เขาจะต้องกลัวจนหลบหน้า”

จ้าวหนานซิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องมู่มากแผนการ ความคิดของเขาเราเดาไม่ออกหรอก ใครจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่”

“ที่ท่านพูดก็ถูก” จูหลิงพูดพร้อมรอยยิ้มอย่างร่าเริง

“แต่ว่า ข้าได้ยินมาว่า องค์หญิงใหญ่ที่หายไปจากแคว้นลี่เป็นเวลานานได้กลับสู่วังหลวง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้แควันลี่กลับยกเลิกคำสั่งปลดตำแหน่งองค์ หญิงของนาง และชื่อเสียงขององค์หญิงพระองค์นี้เมื่อครั้งอดีต ไม่ใช่สิ่งที่ฟ่งอวี๋กุยจะสามารถเทียบได้ องค์หญิงใหญ่เพิ่งจะกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม ราชสำนักแคว้นลี่ ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ฟ่งอวี๋กุยก็ถูกขับไล่ออกจากโรงโอสถเพราะขโมยยา ทุกคนล้วนรู้และซมซานกลับแคว้นไป หึๆ ข้าว่าแคว้นลี่กำลังมีละครโรงใหญ่แสดงอยู่เป็นแน่! อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่า การที่ข้าสามารถมีส่วนร่วมในละครฉากใหญ่นี้ได้ถือว่าเป็นเกียรตินัก” จ้าวหนานซิงพูดอย่างตื่นเต้น

แต่ว่า จูหลิงกลับคิดว่าท่าทางตื่นเต้นของเขา เป็นเพราะมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่นเสียมากกว่า!

ทั้งสามพลางเดินพลางคุย จนกลับมาถึงที่พักของโหลวชวนป่าย

พอมาอยู่ตรงหน้าห้องของมู่ชิงเกอทั้งสามก็เลือกที่จะรออย่างเงียบๆ

“ไม่รู้ว่าศิษย์น้องมู่เสร็จจากการเก็บตัวแล้วหรือยัง อย่าได้ทำให้ต้องพลาดการคัดเลือกเลย” จ้าวหนานซิงมองบนท้องฟ้า ตอนนี้ห่างจากการแข่งขันเพื่อการคัด เลือกอีกไม่ถึงสองชั่วยามจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

ซางจื่อซูกลับบอกว่า “วางใจเถิด ศิษย์น้องมู่รู้จักแยกแยะดี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version