Skip to content

พลิกปฐพี 133-4

ตอนที่ 133-4

เจ้าโจรใจกล้าขโมยโอสถ!

เตียวหยวนพูด “ช่วงนี้ศิษย์รู้สึกได้ว่าเข้าใกล้จุดสำคัญ ของการเป็นนักปรุงยาระดับสูง หากสามารถทะลวงได้แล้ว ศิษย์มั่นใจว่า จะสามารถปรุงยาคุณภาพดีอย่างที่เจ้าแช่มู่ปรุงในงานประลองวันนั้นได้”

หัวชางซู่กลับเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “เจ้าคิดว่ายาที่มีคุณภาพสูงปรุงได้ง่ายดายอย่างนั้นเลยหรือ เหมยจื่อจ้ง ยังไม่สามารถปรุงยาที่มีคุณภาพระดับสูงได้ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้า”

เตียวหยวนเจ็บใจ

สิ่งที่เขาเกลียดที่สุด แน่นอนว่าคือการที่มีคนเอาเขาไปเปรียบเทียบกับเหมยจื่อจ้ง

เหมยจื่อจ้งทำไม่ได้ เขาก็ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ

“เอาเถิด ใครใช้ให้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าล่ะ’’ หัวชางซู่ เอาขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งให้กับเตียวหยวน “นํ้าในนี้ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของยาให้สูงขึ้นได้ ข้าเอามาจากโรงโอสถกลาง จำนวนไม่มากนัก ในนี้มีเพียงหยดเดียว ในช่วงเวลาสำคัญเจ้าต้องใช้มันในการครอบครองชัยชนะ”

มีของที่วิเศษเช่นนี้เชียว!

เตียวหยวนรู้สึกแปลกใจ และกำขวดในมือแน่นกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน เขาก็แอบเจ็บใจ มีสมบัติอันลํ้าค่าเช่นนี้ เหตุใดอาจารย์ถึงไม่เคยบอก ในตอนนี้เมื่อถึงเวลาอันสำคัญ เขาก็ให้เพียงหยดเดียว ช่างน่าแค้นนัก!

“ออกไปเถิด” หัวชางซู่มองขวดในมือเขาอย่างปวดใจ และสั่งให้เขาออกไป

เตียวหยวนถอยออกไป

หัวชางซู่กลับขมวดคิ้ว แอบคิดว่าเป็นใครกันที่มีความ สามารถมากถึงเพียงนี้ สามารถฆ่าคนมากมายได้ภายในคืนเดียว ความสามารถของคนเหล่านั้น เขารู้ดีกว่าใคร หากไม่เก่งกาจ เขาก็คงไม่เลือกพวกนั้น ท่ามกลางกลุ่มกองกำลังมากมายหรอก

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ณ โรงโอสถ

“ช่วยด้วย! มีคนขโมยยา—!”

เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง ทำลายความเงียบสงบลง

ลูกศิษย์โรงโอสถจำนวนมากออกจากบ้านไม้ และเดินไปตามเสียงอย่างเร่งรีบ

เงาสีดำเงาหนึ่ง เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความมืด ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง

ท่ามกลางความชุลมุน ท่าทางของเขาเผยความตื่นเต้นริ้วหนึ่ง ของที่อยู่ในอก ราวกับทำให้เขารู้สึกไม่รู้จะพูดอย่างไร

เขาเพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากคุกนํ้า ยังไม่ทันได้ใปหาฟู่เทียนหลงและมู่ชิงเกอเพื่อระบายแค้น พอตื่นมากลางดึกก็พบว่าตนเองอยู่หน้าประตูหอโอสถ ในมือยังมียา อยู่เม็ดหนึ่ง

และในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินผู้คนตะโกนว่ามีโจรขโมยยา

ท่ามกลางความตื่นตระหนก เขาอยากจะรีบหนีไป แต่กลับลืมทิ้งยาที่อยู่ในมือ

ทันใดนั้น ตรงหน้าของเขาก็มีแสงตะเกียงส่องสว่าง

เขาหยุดฝีเท้าในทันที มองผู้คนที่ขวางอยู่ข้างหน้า “ฟ่งอวี๋กุย เจ้าริบังอาจขโมยยา!”

ผู้เป็นผู้นำ ซึ่งก็คือ ลูกศิษย์ลำดับที่สองของปรมาจารย์โหลว จ้าวหนานซิง เขานำกำลังลูกศิษย์โรงโอสถสิบกว่าคนมาขวางทางฟ่งอวี๋กุยเอาไว้

แสงไฟสาดความสว่างลงบนใบหน้าของฟ่งอวี๋กุย กลบใบหน้าที่ขาวซีดของเขา ทำให้ทุกคนเห็นเพียงท่าทางที่ดูตื่นตระหนกของเขา

ท่าทางเช่นนั้น ราวกับทำความผิด ยิ่งทำให้คนที่อยู่ตรงหน้ามั่นใจในความคิดของตนเอง

“ไม่! ข้าไม่ได้ทำ!” ฟ่งอวี๋กุยพยายามอธิบาย

แต่ว่า เขากลับลืมไป ขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ยังมียาที่เพิ่งเอาออกมาอยู่ด้วย

จ้าวหนานซิงชี้ที่มือของเขาและพูดด้วยท่าทางอันเคร่งขรึมว่า “หลักฐานอยู่ในมือของเจ้า ยังจะกล้าแก้ตัว”

“นี่ไม่ใช่ของข้า!” ฟ่งอวี๋กุยแก้ตัว

จ้าวหนานซิงยิ้มอย่างเย็นเยียบ “แน่นอนว่าไม่ใช่ของเจ้า ยานี้เป็นของโรงโอสถ หากเป็นของเจ้า จะเรียกว่าขโมยหรือ”

คำว่า ‘ขโมย’ เขาพูดอย่างชัดเจนและเน้นมากเป็นพิเศษ

“เจ้า! ใส่ความข้าหรือ” ฟ่งอวี๋กุยพูดด้วยเสียงเกลียดชัง

เขาถูกใส่ร้ายและความรู้สึกข้างในของเขากำลังบอกเขาว่า คนที่ใส่ร้ายเขา ก็คือมู่ชิงเกอ!

จ้าวหนานซิงยิ้มเยาะ “ใส่ความเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าและข้าไม่มีความแค้นอันใดต่อกันเจ้าลองพูดมาสิว่า ข้าใส่ความเจ้าด้วยเหตุผลใด อีกประการหนึ่ง เราได้รับคำสั่งให้มาจับโจร และตอนนี้ยาที่ถูกขโมยไปอยู่ในมือของเจ้า ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าจะบอกข้าว่า ยานี้โจรที่ขโมยยาผู้นั้นให้เจ้ามา”

“ความจริงเป็นเช่นนั้น! ข้านอนพักอยู่ในเรือนแท้ๆ พอตื่นมากลับพบว่าในมือของตนเองมียาเม็ดนี้อยู่และถูกพาตัวมาที่นี่” ฟ่งอวี๋กุยพูด

จ้าวหนานซิงเผยรอยยิ้ม “ยังจะแก้ตัวอีก! มีคนเห็นว่าเจ้าออกจากบ้านไม้แล้วแอบเข้าไปในหอโอสถ และยังมีคนเห็นอีกว่าเจ้าออกมาจากโรงโอสถ จึงได้แจ้ง ความ เราตามมาตลอดทาง ไม่พบเห็นผู้ที่น่าสงสัยแต่อย่างไร”

“หึ! นี่เป็นกับดัก เป็นกับดักของเจ้าแซ่มู่ !” ฟ่งอวี๋กุยตะโกน

“ฟ่งอวี๋กุย เจ้าอย่ามาพูดจามั่วซั่ว! ใครกันแน่ที่กำลังใส่ความใคร ตอนนี้ศิษย์น้องมู่กำลังเก็บตัว เพื่อยกระดับฝีมือการปรุงยา ทุกคนในโรงโอสถล้วนรู้ เขาไม่รู้เรื่องคืนนี้ด้วยซํ้า แล้วจะสร้างกับดักมาใส่ความเจ้าได้อย่างไรเล่า” จ้าวหนานซิงพูดตามหลักเหตุผล แอบคิดว่า คนที่ใส่ความเจ้าคือข้าต่างหาก! ถึงแม้ว่า ข้าเองจะได้รับการมอบหมายจากศิษย์น้องมู่ก็ตาม

“พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกัน อยากจะใส่ความข้า! ฝันไปเถอะ” ฟ่งอวี๋กุยอธิบายไม่หยุด ในมือรวบรวมแสงสีคราม แล้วปล่อยพลังเวทไปที่พวกของจ้าวหนานซิงใน ทันที

สายตาของจ้าวหนานซิงฉายความเคร่งขรึม และพูดกับทุกคนว่า “ฟ่งอวี๋กุยเป็นคนขโมยยาแท้ๆ แต่กลับยังกล้าทำร้ายลูกศิษย์ด้วยกันเอง เราช่วยกันจับมันเอาไว้”

ทั้งสิบกว่าคนลงมือโดยพร้อมเพรียงกัน

แต่จ้าวหนานซิงกลับเงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนว่า “ศิษย์ จ้าวหนานซิง ศิษย์ชั่วเกิดอาละวาด ข้าและลูกศิษย์คนอื่นๆไม่ใช่คู่มือเขา ท่านผู้อาวุโสผู้คุ้มครองโรงโอสถโปรด ลงมือช่วยจับศิษย์ชั่ว—-”

 

ฟ่งอวี๋กุยที่กำลังโกรธแค้น โจมตีทั้งสิบกว่าคนจนล้มลงกับพื้น

เขามองจ้าวหนานซิงด้วยความแค้นและเตรียมจะทำร้ายเขา แต่กลับมีเงาร่างสีนํ้าเงินสายหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ขาทั้งสองข้างเหยียบลงบนไหล่สองข้างของเขา ราวกับภูเขาตกลงมาทับ ทำให้เขาต้องคุกเข่าลงกับพื้นในทันที

เหตุใดฟ่งอวี๋กุยต้องมาโดนดูถูกเช่นนี้

เขาโกรธมาก ตะโกนเสียงดังและอยากใช้พลังเวทสะบัดคนที่เหยียบบนไหล่ของตัวเองอยู่ออกไป

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของเขา สายตาของผู้ที่ยืนอยู่บนไหล่ฉายความเคร่งขรึม จึงออกแรงตรงฝ่าเท้า เหยียบจนฟ่งอวี๋กุยจมลึกลงไปในพื้นกว่าเดิมหลายส่วน เหลือเพียงส่วนหน้าอกขึ้นไปที่อยู่บนพื้น

ฟ่งอวี๋กุยไม่สามารถขยับตัวได้ รู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทั้งสิบกว่าคนที่ถูกเขาทำร้าย ลุกขึ้นยืน ล้วนเอาอาวุธออกมาชี้รอบตัวฟ่งอวี๋กุย จ้าวหนานซิงรีบเดินเข้าไปโค้งคำนับผู้ที่ยืนอยู่บนไหล่ของฟ่งอวี๋กุย “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่มาช่วย มิเช่นนั้น เราคงทำให้ศิษย์ชั่วคนนี้หนีไปได้”

ท่านผู้อาวุโสที่ดูแลโรงโอสถก้มลงมองฟ่งอวี๋กุยที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้วอุทานอย่างเย็นเยียบ ก่อนจะพูดกับจ้าวหนานซิงว่า “ลูกศิษย์ที่ทำผิดกฎเช่นนี้ จะปล่อยให้อยู่ ในโรงโอสถเพื่ออะไร เพิ่งออกจากคุกนํ้าก็มาขโมยยา ครั้งต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะจุดไฟเผาโรงโอสถ”

ท่านผู้อาวุโสผู้นี้ เป็นคนเดียวกับที่ลากตัวฟ่งอวี๋กุยเข้าคุกนํ้าในตอนนั้น แน่นอนว่าคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี

“ท่านผู้อาวุโสพูดถูก ข้าจะไปรายงานท่านอาจารย์ รายงานหัวหน้า จะต้องจัดการกับเจ้าคนเลวคนนี้อย่างสาสม” จ้าวหนานซิงรีบพูด

ท่านผู้อาวุโสในโรงโอสถพยักหน้าอย่างเย่อหยิ่งและสะบัดตัวออกไป

ทันทีที่เขาจากไป ฟ่งอวี๋กุยก็ถูกปลายดาบจำนวนนับไม่ถ้วนชี้เอาไว้ ปลายแหลมของมีดและดาบเหล่านั้น จี้บนร่างกายของเขา ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย เขามองจ้าวหนานซิงด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม

“ข้า ต้องการพบหัวหน้าหัว ให้ท่านทวงความยุติธรรมให้กับข้า!”

จ้าวหนานซิงยิ้ม “แน่นอนว่าจะต้องให้เจ้าพบกับหัวหน้า อย่างไรก็ต้องให้ท่านเป็นคนลงมาจัดการกับเจ้า”

ฟ่งอวี๋กุยหรี่ตาลง จากรอยยิ้มของจ้าวหนานซิง เขาราวกับสัมผัสได้ถึงความไม่หวังดีบางอย่าง

แน่นอนว่า เมื่อเขาถูกมัดและส่งตัวมาพบกับหัวหน้าหัว และเห็นท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างหัวชางซู่ เขาก็รู้ว่าตนเองยากที่จะหนีรอดแล้ว

เรื่องที่เขาขโมย มีหลักฐานมัดตัว บอกว่าตนเองถูกใส่ความ แต่ไม่มีหลักฐานเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางสายตาของท่านผู้อาวุโสแห่งโรงโอสถที่คอยจดจ้อง หัวชางซู่ได้ตัดสินใจแล้ว

วันต่อมา ทั่วทั้งโรงโอสถ ก็มีแต่ข่าวที่ฟ่งอวี๋กุยถูกขับไล่ออกจากโรงโอสถ และข่าวนี้ก็เข้าสู่แคว้นลี่ด้วยวิธีอันรวดเร็ว เกรงว่า พอเขาซมซานกลับไปถึงแคว้นลี่ ผู้คนทั่วทั้งแคว้นลี่คงรู้ ‘เรื่องราว’ ที่ว่าองค์ชายสามของพวกเขาถูกไล่ออกจากโรงโอสถเพราะขโมยยาหมดแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version