ตอนที่ 122-2
ผู้ชมที่ตกตะลึง!
คำพูดนี้ทำให้คนพูดตกใจจนเงียบไป
ราวกับว่า คำพูดก่อนหน้านี้ของเขาไม่เพียงแค่ไม่เป็นการขอความเห็นใจให้กับซ่งอวี้แต่ยังเป็นการเหยียบเขาให้จมดิน
การปรุงยาระดับสูง หากเทียบกับยาระดับกลางแล้ว จะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงแค่ส่วนประกอบของยาที่เพิ่มขึ้น และยังมีขั้นตอนของการหลอมรวม ล้วนมีความยากอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้น เวลาที่ต้องใช้ก็จะมากกว่า
อีกประการหนึ่ง ในตอนนี้มู่ชิงเกอเองก็ไม่อยากจะแสดงความสามารถออกมามากนัก จึงได้ค่อยเป็นค่อยไป
ในขณะที่ยากว่าครึ่งของนางได้หลอมรวมกันแล้ว การปรุงยารอบที่สองของซ่งอวี้ก็เดินทางมาถึงขั้นสุดท้าย ในครานี้ เขาไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย เพียงแค่รวบรวมสมาธิทั้งหมดในการปรุงยาขั้นตอนสุดท้าย
“ข้าได้กลิ่นหอมของยาแล้ว ช่างเข้มข้นเสียจริง!”
“ข้าด้วย ข้าด้วย หอมจริงๆ ชวนให้คนนํ้าลายสอ!”
“นี่คงจะเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของยาระดับกลางที่มีคุณภาพระดับกลางควรจะมี!”
“ดูเหมือนว่า ซ่งอวี้จะทำสำเร็จแล้ว!”
“ซ่งอวี้ทำสำเร็จแล้ว” จูหลิงมองซางจื่อซูด้วยรอยยิ้มอันร่าเริง คำพูดราวกับแฝงเป้าหมายบางอย่าง
แต่ว่า ซางจื่อซูกลับเย็นชา และไม่ได้แสดงอาการอันใดเลย
“ฮึบ!” ซ่งอวี้ลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างกะทันหัน มือข้างหนึ่งสะบัดลงบนหม้อปรุงยา
ทันใดนั้น ฝาหม้อปรุงยาได้พุ่งขึ้นฟ้า ยาเม็ดสีทองและมีขนาดราวกับเม็ดลำไยลอยออกจากหม้อปรุงยาพร้อมสาดฉายแสงลีทองจางๆ
“ว๊าว! หอมมาก!”
“สวยงามจริงๆ!”
“ยาเม็ดนี้สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด!”
บนอัฒจันทร์เสียงชื่นชมดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ซ่งอวี้ได้ใจเป็นพิเศษ และเขาเองก็รู้สึกว่า นี่เป็นยาที่เขาปรุงได้ดีที่สุดเท่าที่เคยปรุงมา เขาหันมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง อีกฝ่ายยังคงปรุงยาอย่างสงบ ไม่ได้รับผลกระทบจากความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นจากเขาเลยแม้แต่น้อย
อุทานอย่างเย็นเยียบในใจคำหนึ่ง ซ่งอวี้เพียงยกมือขึ้น ยาเม็ดสีทองก็ลอยเข้ามาอยู่บนฝ่ามือของเขาพลันหมุนอย่างไม่รู้หยุด
ก้มสายตาลงแวบหนึ่ง ซ่งอวี้เผยรอยยิ้มที่ทั้งพอใจและเย่อหยิ่ง พลันเดินเข้าไปหาท่านผู้อาวุโส “ผู้อาวุโส โปรดลองดู”
ท่านผู้อาวุโสมองเขาแวบหนึ่ง กลับผลักมือที่ยื่นออกมาของเขาออก พลันพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความเคร่งขรึมว่า “การประลองยังไม่จบ”
สายตาของซ่งอวี้มืดมนลงพลันเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “หรือท่านผู้อาวุโสคิดว่าเจ้าคนอวดดีผู้นี้จะสามารถปรุงยาระดับสูงได้จริง”
“การประลองจบลงจึงจะสามารถตรวจสอบยาได้นี่เป็นกฎกติกา” ท่านผู้อาวุโสพูดอย่างเคร่งขรึม
เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ สีหน้าของซ่งอวี้ก็มืดมนลงมากกว่าเดิม และอดทนรอให้มู่ชิงเกอพลาด เพื่อที่การประลองจะได้สิ้นสุดลง แม้ว่ายาของซ่งอวี้จะปรุงเสร็จแล้ว แต่จุดสนใจของผู้ชมยังคงเป็นการปรุงยาของมู่ชิงเกอ
แต่นาง ยังคงไม่เร่งและไม่รีบ
“ข้าเคยได้ยินมาว่า การจะหลอมรวมยาระดับสูงนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก หากไม่ระวังหม้อก็จะระเบิด คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะหลอมรวมส่วนผสมของยาไปกว่าครึ่งแล้ว หรือว่าเขาจะสามารถปรุงยาระดับสูงได้จริง”
“ใครจะรู้ล่ะ เขาพลาดมาสองครั้งติดกันแล้วนะ ใครจะรู้ได้ว่าในวินาทีต่อไปจะพลาดหรือไม่”
“หากว่าเขาสามารถปรุงยาระดับสูงได้จริง ก็ถือว่ามีฝีมือเทียบเท่าศิษย์พี่เหมยแล้วมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นอันดับของศิษย์พี่เตียวหยวน…”
“เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล! เดี๋ยวศิษย์พี่เตียวได้ยิน แม้ว่าเขาจะสามารถปรุงยาระดับสูงได้ ก็เพียงแค่มาแทนที่อันดับของซ่งอวี้ หากอยากจะปีนป่ายขึ้นไป เขาก็ต้องไปท้าประลองกับศิษย์พี่เตียวหรือศิษย์พี่เหมย หรือไม่ก็รอการประลองการจัดอันดับในรอบถัดไป”
“ชู่ว หยุดพูดเถิด ศิษย์พี่เตียวกำลังมองอยู่ เขาเป็นเพียงลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามา จะมีความสามารถในการปรุงยาระดับสูงได้อย่างไรเล่า เราอย่าได้เป็นกังวลมากไปเลย!”
“ฟ่งอวี๋กุย” เตียวหยวนเอ่ยเรียกผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ นํ้าเสียงเย็นเยียบอย่างหาที่เปรียบมิได้
ฟ่งอวี๋กุยแอบคิดอย่างเคียดแค้น ‘เจ้าก็เป็นเพียงแค่นักปรุงยาคนหนึ่ง หากในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในโรงโอสถ ข้าผู้เป็นองค์ชายไม่มีวันที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอย่างเจ้าหรอก วันใดที่เจ้าเข้าสู่แคว้นลี่ ข้าจะเอาคืนเจ้าเป็นเท่าทวี!’
“ศิษย์พี่เตียว” พยายามเก็บความโกรธเอาไว้ เขาตอบกลับด้วยนํ้าเสียงโทนตํ่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาได้กินยาไปแล้วจริง ๆ” เตียวหยวนถามด้วยน้ำเสียงอันโหดเหี้ยม ในตอนแรก การผิดพลาดสองครั้งติด ทำให้เขาเองก็คิดว่ามู่ชิงเกอกินยาไปแล้วจริง
แต่ว่า ท่าทางในตอนนี้ของเขา กลับทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นอีกหน
ฟ่งอวี๋กุยขมวดคิ้ว พร้อมความรู้สึกตื่นตระหนก แต่ก็ทำได้เพียงแค่พูดว่า “คงจะกินไปแล้ว หากพลาด ฟู่เทียนหลงไม่มีทางที่จะมานั่งอยู่กับพวกเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ได้”
ดวงตาที่ฉายความโหดเหี้ยมของเตียวหยวนค่อยๆ หรี่ลง ครู่หนึ่งจึงได้พูดว่า “ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง หลังจากที่การประลองจบลงแล้ว หากมู่ชิงเกอชนะ เจ้าก็อย่า ได้คิดถึงเรื่องที่จะเข้าสู่สำนักของท่านอาจารย์ของข้าอีก”
“ศิษย์พี่เตียว!” ฟ่งอวี๋กุยมองเขาด้วยความตื่นตระหนก เสียดายที่ท่าทางอันเย็นชาของเตียวหยวน กำลังบอกว่าเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ในตอนนี้ เขาเองก็ทำได้เพียงแค่หวังให้ฟู่เทียนหลงวางยามู่ชิงเกอแล้วจริง ๆ และยานั้นได้ออกฤทธิ์แล้ว
บนอัฒจันทร์ทุกคนล้วนคิดไปต่าง ๆ นานา
บนเวทีประลอง มู่ชิงเกอกำลังจดจ่ออยู่กับการปรุงยา
สำหรับยาคงรูปโฉมนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางปรุง สูตรยานี้นางพบในตัวของซางจื่อซูโดยบังเชิญในขณะที่ทั้งสองพบกันในตึกตำรา ซางจื่อซูราวกับร่างสูตรยาคงรูปโฉมเอาไว้ และถูกนางกวาดสายตามองทั้งจดจำเอาไว้
ในตำรายามหาเทพ ส่วนมากเป็นสูตรยาโบราณ มู่ชิงเกอไม่อยากจะเปิดเผยมากนัก
ยาคงรูปโฉมเป็นยาระดับสูงโดยทั่วไปและเป็นยาที่ปรุงไม่ยากนัก จึงได้กลายเป็นตัวเลือกเดียวของมู่ชิงเกอ
นางเคยคิดแล้วว่า หากได้รับการจำกัดสิทธิในโรงโอสถ เพราะระดับความสามารถ นางก็จะแสดงความสามารถบางส่วนออกมา เพื่อเปลี่ยนป้ายนักปรุงยาระดับตํ่าเป็นระดับสูง หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถขึ้นไปยังชั้นบนของ
ตึกตำรา และเรียนรู้สูตรยาที่มีประโยชน์ได้มากขึ้น มิเช่นนั้น นางจะตอบรับคำท้าของซ่งอวี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
เทผงยาชนิดสุดท้ายลงในหม้อ มู่ชิงเกอเองก็ได้เดินทางมาถึงขั้นตอนสุดท้าย
ในตอนนี้ เมื่อมองไปยังอัฒจันทร์ทุกอย่างได้เงียบสงบ ทุกคนไม่ว่าจะมาเพื่อจุดประสงค์อันใด ไม่ว่าจะหวังให้นางสำเร็จหรือหวังให้นางพลาด ต่างก็กำลังกลั้นหายใจ เพื่อรอคอยวินาทีสุดท้าย
แม้กระทั่งซ่งอวี้ที่รออยู่ข้าง ๆ ในตอนนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมา จนฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ
กลิ่นหอมยาอันสะกิดใจ ได้ลอยขึ้นมาจากหม้อยา และค่อย ๆ กระจายไปทั่ว
ทุกคนที่ได้กลิ่นหอมยานี้ล้วนรู้สึกสดชื่น และอดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างผ่อนคลาย “ดูเหมือนว่า จะสำเร็จแล้ว!” เหมยจื่อจ้งตาเป็นประกาย และพูดแฝงรอยยิ้ม เหมยจื่อจ้งเป็นลูกศิษย์คนเดียวของโรงโอสถ ที่สามารถปรุงยาระดับสูงได้ เขาบอกว่าจะสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าเชื่อถือได้
จูหลิงอดไม่ได้ที่จะพินิจมู่ชิงเกออีกหน พลันยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมพูดว่า “ดูไม่ออก ศิษย์น้องมู่ที่เพิ่งมาผู้นี้จะพอมีความสามารถ”
“ไม่ใช่เพียงแค่พอจะมีความสามารถ” จ้าวหนานซิงพูดกับจูหลิงพร้อมรอยยิ้มว่า “ทั้งข้าและเจ้าต่างก็ไม่สามารถปรุงยาระดับสูงได้” คำพูดที่แฝงความเยาะเย้ย ทำให้สายตาของจูหลิงฉายรังสีสังหารในทันที