ตอนที่ 133-3
เจ้าโจรใจกล้าขโมยโอสถ!
“รู้จักฟ่งอวี๋กุยหรือไม่” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม
“ฟ่งอวี๋กุยอย่างนั้นหรือ” ท่าทางของฟ่งเหนียงฉายความสับสนขึ้นมา “จะไม่รู้จักได้อย่างไร อนุชาคนที่สามของข้าเอง”
มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “จากข้อมูลของข้า ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จแม่ของท่านและเสด็จแม่ของเขาไม่ดีนัก”
สายตาของฟ่งเหนียงเปลี่ยนไป พลันหันมองมู่ชิงเกอ “ใช่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสด็จแม่ของข้าเกี่ยวข้องกับเสด็จแม่ของเขา”
มู่ชิงเกอยิ้ม “อย่างนั้นก็ง่ายแล้ว ท่านคงจะอยากแก้แค้นให้กับเสด็จแม่ของท่าน และต้องการจะรู้ความจริงว่า ในตอนนั้นเหตุใดเสด็จพ่อของท่านจึงห้ามความ สัมพันธ์ระหว่างท่านและมู่ยี่ ส่วนข้าก็มีความแค้นกับฟ่งอวี๋กุย”
ฟ่งเหนียงไม่พูดอะไร ราวกับกำลังรอคำพูดต่อไปของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอโน้มตัวไปมองนาง “ข้าต้องการให้ท่านกลับไปในฐานะขององค์หญิงใหญ่แคว้นลี่แล้วนั่งบัลลังก์ในฐานะองค์รัชทายาทและเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นลี่!”
ฟ่งเหนียงเบิกตาโตในทันที ในสายตาเต็มไปด้วยความตะลึง
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเกียจคร้าน “ฟ่งอวี๋กุยอยากได้บัลลังก์นี้มาก เขายิ่งต้องการ ข้ายิ่งอยากให้เขาไม่ได้ครอบครอง ท่านกลับวังหลวงไป ทั้งสามารถไปตามหาคำตอบที่ต้องการได้ด้วยตนเองและยังสามารถแก้แค้น ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
ฟ่งเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “ตอนนั้น เสด็จพ่อประกาศว่าข้าไม่ใช่องค์หญิงของราชวงศ์อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้หากกลับไป แล้วยังจะแย่งชิงบัลลังก์ ยาก
มาก”
“จะกลับไปและกลับคืนสู่การเป็นองค์หญิงอีกครั้งอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่ท่านต้องจัดการ ส่วนข้าจะให้ความช่วยเหลือท่านเมื่อท่านต้องการ ทำให้ท่านได้ขึ้น ตำแหน่งรัชทายาท หลังจากที่ทุกอย่างจบลงแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือ ชีวิตของฟ่งอวี๋กุย!”
อยู่ๆ ฟ่งเหนียงก็เผยรอยยิ้ม “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดฟ่งอวี๋กุยถึงได้ตาบอด มามีเรื่องกับท่าน”
มู่ชิงเกอยักไหล่ “ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เขาทำให้ข้าลำบากหลายครั้งหลายครา เพื่อให้ทุกอย่างจบลง ข้าจึงทำได้เพียงแค่ฆ่าที่มาของปัญหานั่นเสีย”
ฟ่งเหนียงค่อยๆ หุบยิ้ม “ข้าเคยรับปากมู่ยี่ว่า จะไม่ไปนั่งตำแหน่งนั้น”
“ตอนนี้ ท่านไปแย่งตำแหน่งนั้น เหตุผลส่วนมากก็เพราะเขา หลังจากที่ท่านได้เป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นลี่แล้ว ท่านก็จะมีกำลังที่จะไปตามหาเขามากขึ้น ส่วน นอกหลินชวน ท่านยังมีผู้ช่วยอย่างข้าที่จะหาเบาะแสของเขาแทนท่าน” มู่ชิงเกอพูด
ฟ่งเหนียงเม้มปาก ราวกับกำลังใช้ความคิดกับคำพูดของมู่ชิงเกอ
นางไม่ได้กำลังคิดถึงข้อตกลงของมู่ชิงเกอ แต่กำลังคิดว่าตนเองจะกลับไปยังที่ที่เคยเป็นบ้านของนางได้อย่างไร
ครู่หนึ่ง ฟ่งเหนียงจึงเงยสายตาขึ้นและพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ได้ คำไหนคำนั้น”
นางยืนขึ้น พูดกับมู่ชิงเกอว่า “หนึ่งเดือนหลังจากนี้ องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่ ฟ่งอวี๋เฟยจะหวนคืนสู่วังหลวง”
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มบางๆ “หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน องค์ชายสามแห่งแคว้นลี่จะถูกขับไล่ออกจากโรงโอสถ และซมซานกลับแคว้นไป”
ฟ่งเหนียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วเดินจากไป หลังจากที่ฟ่งเหนียงจากไป ฮวาเยวี่ยจึงเดินเข้ามา พูดกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย ฟ่งเหนียงจากไปเพียงคน เดียวเจ้าค่ะ”
มู่ชิงเกอยืนขึ้น บิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ปล่อยนางไปเถิด” หากฟ่งอวี๋เฟยไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะกลับเมืองฮ่วนแห่งแคว้นลี่ ก็ไม่ต้องไปรนหาที่ตายในวังหลวงแล้ว
มู่ชิงเกอเดินกลับห้องไป มองทอดไปยังต้นไม้ต้นที่ฟ่งอวี๋เฟยยืนมองก่อนหน้านี้ แล้วพึมพำว่า “ฟ่งอวี๋กุย หวังว่าเจ้าจะชอบของขวัญชิ้นใหญ่ที่ข้าเตรียมไว้ให้’’
ทันใดนั้น สายลมพัดผ่าน ใบไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นปลิวกระจาย
มู่ชิงเกอจ้องใบไม้ที่ลอยอยู่กลางอากาศเพราะสายลม พลางคิดในใจว่า “แคว้นลี่ ลมกำลังจะพัดแล้ว”
คืนนั้น ขุมกำลังจำนวนหนึ่งที่ยืดพื้นที่อยู่บริเวณเมืองซางจื่อ ถูกกำลังคนและม้าที่ไม่รู้ที่มากวาดล้างจนไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว วันต่อมา มีผู้เห็นเหตุการณ์เล่า ว่า “ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยซากศพ โลหิตไหลนองดั่งสายน้ำ”
และมีคนบอกว่า “เพลิงลุกโหมกระจายเต็มนภา ส่องสว่างในยามค่ำคืนก่อนอรุณรุ่ง”
เมื่อมั่วหยางปรากฏตัวตรงหน้านางอีกครั้ง ร่างกายของเขาก็ได้ผ่านการอาบนํ้าชำระร่างกายมาแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นคาวโลหิตจางๆ
“ภารกิจสำเร็จแล้วก็ออกจากเมืองซางจื่อ ช่วงนี้ เจ้าพากำลังคนและม้ากลุ่มหนึ่ง เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ หลังจากนั้นเดือนครึ่ง เจ้าช่วยข้าส่งคนผู้หนึ่งกลับแคว้นฉิน จำไว้ว่าต้องปิดบังร่องรอย และทำทุกอย่างให้รอบคอบ รักษาความปลอดภัยให้กับนาง” มู่ชิงเกอพูดกับมั่วหยาง ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
มั่วหยางพยักหน้าแล้วถอยออกไป
เสร็จจากเรื่องนี้ มู่ชิงเกอก็ต้องกลับไปเก็บตัวที่โรงโอสถ ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมตัวกับการคัดเลือก นางเองก็ชะล่าใจไม่ได้
ในขณะที่มู่ชิงเกอกลับมาถึงโรงโอสถก็มีข่าวจำนวนหนึ่ง กระจายเข้าสู่โรงโอสถ
“หึ! ไร้ประโยชน์ ล้วนเป็นพวกไร้ประโยชน์!” หัวชางซู่โกรธจนคว่ำโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าโหดเหี้ยมจนน่าเกลียดเป็นอย่างมาก
เตียวหยวนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าดูแย่มาก กองกำลังเหล่านั้น ล้วนเป็นกำลังที่เขาโน้มน้าวมาอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกกวาดล้างจนสิ้นซากในคืนเดียว มันเป็นใครกันถึงมีความสามารถมากถึงเพียงนี้
สิ่งที่เจ็บแค้นที่สุดคือ กองกำลังที่ถูกฆ่า ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา พวกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป้าหมายของอีกฝ่ายคือเขา!
กองกำลังเหล่านี้ ไม่เพียงแค่เป็นของเขา ส่วนมากเป็นกลุ่มที่เขาไปโน้มน้าวตามคำสั่งของท่านอาจารย์ สิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือนอกจากเขาที่เป็นนักปรุงยาระดับกลางแล้ว แน่นอนว่ายังมีนักปรุงยาระดับสูงอย่างหัวชางซู่
ตอนนี้ ความทุ่มเทมานานปี ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ความเจ็บแค้นของอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้จะมากเพียงใด คงจะสามารถจินตนาการได้
“ใครกันแน่ เจ้าไปสืบแล้วหรือยัง” หัวขางซู่พูดกับเตียวหยวนด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึม
เตียวหยวนส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “ได้รับข่าวช้าเกินไป อีกฝ่ายได้จากไปแล้ว ส่วนที่เกิดเหตุได้ถูกเก็บกวาดจนสะอาด ไร้ซึ่งร่องรอย”
“กล้าทำร้ายคนเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องเพราะข้า ผู้ที่เป็นศัตรูกับเรา มีใครที่มีความสามารถมากถึงเพียงนี้หรือไม่” หัวชางซู่ถาม
เตียวหยวนกลับขมวดคิ้ว
สามารถจัดการกลุ่มกองกำลังเหล่านี้ด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมภายในคืนเดียว คงจะมีกำลังทหารที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ท่ามกลางคนที่เขารู้จัก ราวกับจะไม่มีคนที่มีเบื้องหลังเช่นนี้
คนเดียวที่เคลื่อนขบวนกำลังทหารได้คือ จ้าวหนานซิง แต่ว่า ข้างกายเขาก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่มาจากวังหลวง ยอดฝีมือที่ดูแลเขาก็ไม่ได้มีกำลังทหารอันใด
ใครกันแน่
คำถามนี้ เตียวหยวนถามตนเองไม่รู้หยุด ‘หรือจะเป็นมัน’ อยู่ๆ เตียวหยวนก็คิดถึงใครคนหนึ่ง แต่ว่า เขาก็ปฏิเสธในทันที ‘เป็นเพียงแค่คนที่ไม่มีเบื้องหลัง มีพรสวรรค์นิดหน่อยก็เท่านั้น จะมีวิธีการร้ายกาจเช่นนี้ได้อย่างไร’
เตียวหยวนพูดกับหัวชางซู่ “อาจารย์ แล้วทางมังกรวารีมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หัวชางซู่มองเขาด้วยสายตาที่ฉายความเคร่งขรึม พูดด้วยนํ้าเลียงอันโหดเหี้ยมว่า “เจ้าถามข้าหรือ ข้าต่างหากที่อยากถามเจ้าว่า เหตุใดมังกรวารีปรากฏตัวแล้ว พวกมันยังสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาหน่อจันทร์มายากลับมาด้วย”
เตียวหยวนเงียบ เขาไม่รู้จริงๆ
เขาถามว่า “เช่นนั้น เราไปถามมังกรวารีให้รู้แล้วรู้รอด”
สีหน้าของหัวชางซู่อำมหิต พลันส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสืบเรื่องนี้ การแข่งขันเพื่อคัดเลือกจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าไม่สามารถหาโอกาสไปผืนป่าหมีเมิ่งได้ อีก ประการหนึ่ง ช่วงนี้ไอ้แก่โหลวชวนป่ายจ้องข้าอยู่ ดูเหมือนว่ามันกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง”
เตียวหยวนเงียบ
หัวชางซู่เดินไปมาในห้องหลายก้าว ท่าทางที่คล้ายกับเทพเซียนนั้น ได้ถูกความโหดเหี้ยมทำลายอย่างหมดสิ้นไปตั้งนานแล้ว
เตียวหยวนแต่เดิมก็ดูมีกลิ่นอายโหดเหี้ยมอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูเหี้ยมเกรียมมากขึ้นอีกหลายส่วน
“หึ!” หัวชางซู่อุทานอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง
ช่วงนี้ โชคร้ายมากจริงๆ
อย่างแรก แผนการที่วางเอาไว้อย่างดีผิดพลาด กลับไปเพิ่มความดีความชอบให้กับฝ่ายศัตรู ในตอนนี้ กองกำลังนอกเมืองซางจื่อก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น และเขาก็หาตัวคนร้ายไม่เจอ สิ่งที่น่าแค้นมากที่สุดคือ จูหลิงผู้กินบนเรือนขี้รดบนหลังคากลับหลบหนีและเข้าไปเก็บตัวในห้องปรุงยา
ช่างไม่ได้ดั่งใจสักเรื่อง!
“จูหลิงยังไม่ออกมาอย่างนั้นหรือ” นํ้าเสียงของหัวชางซู่แฝงความโหดเหี้ยม
เตียวหยวนส่ายหน้า “ข้าให้คนไปเฝ้าอยู่ด้านนอก นางไม่ออกมาเลย”
ดวงตาอันโหดเหี้ยมของหัวชางชู่หรี่ลง พูดกับเตียนหยวนว่า “เอาเถิด เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เจ้าไปเตรียมตัวให้ดี จะต้องได้ที่หนึ่งในการคัดเลือก”