ตอนที่ 133-2
เจ้าโจรใจกล้าขโมยโอสถ!
แต่ว่า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อนางคิดได้เช่นนี้ ในหัวสมองก็มีเงาร่างของคุณตัวประหลาดซือมั่วแวบเข้ามา ทำให้นางตกใจจนสะดุ้ง อยากจะทำลายความคิดนั่นให้หายไปด้วยฝ่ามือเดียว
“แล้วท่านก็รับปาก?” และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกร้อนตัวของตนเอง จึงพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ฟ่งเหนียงพยักหน้าช้าๆ และเผยรอยยิ้มมีความสุข “จะไม่รับปากได้อย่างไรเล่า การปรากฏตัวของมู่ยี่ทำ ให้ข้ารู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นราชบัลลังก์ก็ดี อำนาจก็ช่าง สุด ท้ายก็ไม่อาจสู้รอยยิ้มเพียงรอยยิ้มเดียวของเขาหรือ เสี้ยววินาทีที่ได้อยู่กับเขาได้ ข้าจึงไปหาเสด็จพ่อ บอกความต้องการของข้า ขอให้พระองค์ให้อิสระแก่ข้า หาก ไม่ให้อภัยข้า ก็ถือเสียว่าไม่เคยมีลูกสาวคนนี้ ข้ารู้ว่าตนเองเห็นแก่ตัวมากที่ทิ้งทุกอย่างที่เสด็จพ่อมอบให้เพื่อมู่ยี่ แต่ว่าข้าไม่สามารถทรยศต่อใจของตนเองได้ เสด็จพ่อปฏิเสธด้วยความโกรธเกรี้ยว เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเสด็ พ่อทรงกริ้วถึงเพียงนั้น ในตอนนั้นพระองค์ยอมสังหารข้ามากกว่าที่จะยอมให้ข้าและมู่ยี่ได้อยู่ด้วยกัน ท่ามกลางความวู่วาม ข้าจึงถามเหตุผล ว่าเหตุใดท่านจึงไม่ยอมให้ข้าอยู่กับมู่ยี่”
อยู่ๆ ฟ่งเหนียงก็นิ่งไป
นางปรับจังหวะการหายใจของตนเอง แล้วพูดต่อว่า “และในตอนนั้น ข้าจึงได้รู้ความลับของมู่ยี่ ว่าความจริงแล้ว เขาไม่ใช่คนของหลินชวน แต่มาจากโลกภาย นอก เสด็จพ่อบอกว่า เขาไม่ได้จริงใจกับข้า ข้าไม่เชื่อ ข้าทั้งไม่เชื่อว่ามู่ยี่ไม่จริงใจกับข้า ทั้งไม่เชื่อเหตุผลที่ เสด็จพ่ออ้าง จากนั้นข้าจึงไปถามมู่ยี่ เขายอมรับว่าเขา ไม่ใช่คนของในหลินชวน แต่เป็นนายน้อยตระกูลมู่แห่งโลกยุคกลาง ข้าไม่รู้ว่าโลกยุคกลางคืออะไร และไม่รู้ความเป็นอยู่ของตระกูลมู่ในโลกนั้น ข้ารู้เพียงว่า ที่มู่ยี่มาโลกนี้ เพราะเขาไม่อยากแตกหักกับพี่น้องเพราะการแย่งชิง เขาบอกว่า เขาไม่ต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูล ความฝันของเขาคือการท่องโลกกว้าง เพราะฉะนั้น เขาจึงออกจากตระกูล และมายังหลินชวนด้วยอาคมลับ แล้วก็ได้มาพบกับข้า”
ฟ่งเหนียงมองมู่ชิงเกอ พร้อมพูดกับนางว่า “ท่านรู้หรือ ไม่ว่า ในตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ มันยากที่จะทำใจให้เชื่อมากเพียงใด ตอนนั้น มู่ยี่เห็นความลังเลของข้า เขาจึงพูด กับข้าว่า บางทีเสด็จพ่อของข้าอาจจะเข้าใจผิดว่าที่เขาปรากฏตัวเพราะมีเป้าหมายอื่น เขาพูดว่า ในโลกของเขา เป็นความจริงที่ว่ามีหลายตระกูลกระจายตัวมายัง หลินชวนเพื่อขยายอำนาจ อยากจะควบคุมผู้มีอำนาจของหลินชวนและใช้เป็นเครื่องมือ บางทีเสด็จพ่อของข้าคิดว่าที่เขาอยู่กับข้า เพราะต้องการใช้การอภิเษก สมรส ในการยึดอำนาจแคว้นลี่ให้กับตระกูลมู่ จึงได้ห้ามเรา”
“ท่านเชื่อหรือ” อยู่ ๆ มู่ชิงเกอก็ถามขึ้น
ฟ่งเหนียงอึ้งไป เหนือการคาดเดาของมู่ชิงเกอ นางส่ายหน้า “ข้าเชื่อการคาดเดาของมู่ยี่ แต่ไม่เชื่อว่าเสด็จพ่อจะทรงคิดง่ายๆ เช่นนี้ ในตอนนั้น ข้าค้นพบว่าหลัง จากที่ได้ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันท่านจะรู้จักคนที่ท่านสนิทชิดเชื้อมากขึ้น มู่ยี่ เขาเป็นคนจิตใจดี ง่ายที่จะตกเป็นเครื่องมือในการทำเรื่องชั่วร้ายของคนอื่น”
มู่ชิงเกอยิ้ม ความฉลาดหลักแหลมขององค์หญิงใหญ่ แห่งแคว้นลี่ ช่างไม่ผิดไปจากเรื่องราวเกี่ยวกับตัวนาง จริงๆ
“ไม่ว่าเสด็จพ่อจะทรงห้ามอย่างไร สุดท้ายข้าก็ยืนหยัดในการตัดสินใจของตนเอง ในเมื่อเสด็จพ่อไม่ยอมปล่อย ข้าจึงแอบหนีออกมา ซึ่งก่อนจากมา ข้าได้ไปเข้าพบเสด็จแม่ เสด็จแม่รู้ว่าข้าได้ตัดสินใจแล้ว จึงไม่ได้ห้าม แต่มอบกริชที่ถือว่าเป็นสมบัติที่คอยคํ้าจุนราชวงศ์มาตลอดให้กับข้า ท่านบอกว่า กริชเล่มนี้ถือเป็นของขวัญแต่งงาน ข้ากับมู่ยี่แอบหนีออกไปและรู้ว่าเสด็จพ่อของข้าส่งทหารออกตามหา ยิ่งกว่านั้นยังประกาศต่อสาธารณะว่า ข้าขโมยสมบัติที่สืบทอดกันมาของแคว้นไป”
ฟ่งเหนียงยิ้มเศร้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ข้าและมู่ยี่หลบหนีการตามล่า เข้าไปในผืนป่าลั่วรื่อ วันนั้นมู่ยิ่ บอกข้าว่า ให้ข้ารอเขาที่นั้น เขาจะไปหาของสิ่งหนึ่ง หากพบแล้วและของสิ่งนั้นยังใช้ใด้ เราก็จะสามารถออกจากที่นี่ไปยังอีกที่หนึ่งได้ แต่ว่า การรอคอยของข้าครั้งนี้ เนิ่นนานถึงสิบปี…”
เรื่องของฟ่งเหนียงได้เล่าจบแล้ว เรื่องราวหลังจากนั้นนางไม่ต้องเล่า มู่ชิงเกอก็พอจะเดาออก
หลังจากที่มู่ยี่หายไป ฟ่งเหนียงจะต้องตามหาจนทั่วผืนป่าลั่วรื่อแล้ว แต่กลับไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย นางไม่ยอมจากไป เพราะกลัวว่ามู่ยี่จะกลับมาหานางและไม่สามารถอยู่ในแคว้นลี่ได้อีก จึงมาอยู่ ในเมืองลั่วรื่อแห่งแคว้นฉิน แล้วก็เปิดโรงเตี๊ยม
ขณะที่รอข่าวจากมู่ยี่ ก็ให้ผู้ผจญภัยที่ผ่านไปผ่านมา ช่วยนางหาข่าวเกี่ยวกับมู่ยี่
แต่ทว่า น่าเสียดาย สิบปีมาแล้ว กลับไม่พบข่าวคราวอันใดเลย
“ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า เขาจะทิ้งท่านไป” มู่ชิงเกอถาม
ฟ่งเหนียงกลับส่ายหน้าอย่างมั่นใจ “ตั้งแต่ที่เขาหายตัวไป จนถึงตอนนี้ ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย!”
“ท่านเองก็ถือว่าเป็นผู้ลุ่มหลงในรักโดยแท้” มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม
ฟ่งเหนียงมองนาง ในแววตาสาดฉายความแน่วแน่ “คุณชายอาจจะยังไม่พบกับคนที่รักจริงๆ หากพบแล้ว ในวันนี้จะไม่ถามข้าเช่นนี้”
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก รู้สึกว่าตนเองถูกหัวเราะเยา เอาเถอะ นางไม่เข้าใจจริงๆ นั่นล่ะว่าสิ่งใดคือความรัก เหตุใดในโลกนี้จึงมีหนุ่มสาวที่ต่อสู้เพราะคำคำนี้อย่าง สุดชีวิต หวนคิดถึงโลกก่อนหน้านี้ที่นางอยู่ ชายหญิงเลิกกัน หย่าร้างกันมีถมไป ไม่เห็นว่าพวกเขาจะเป็นจะตายอย่างไร หรือว่า นั้นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!
“เรื่องที่คุณชายอยากรู้ ข้าได้เล่าทั้งหมดแล้ว ข้าอยากรู้ว่า ที่คุณชายให้ข้ามาที่นี่ เพราะมีข่าวเกี่ยวกับมู่ยี่หรือ’’ ฟ่งเหนียงกัดปาก มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการรอคอย
มู่ชิงเกอเงยสายตาทั้งสองขึ้นและสบตากับนาง แล้วพูดอย่างจริงใจเป็นที่สุด “ไม่มี”
คำง่ายๆ เพียงสองคำ ทำให้ความหวังในดวงตาของฟ่ง เหนียงดับวูบลง ความผิดหวังอันมากมายครอบงำนางเอาไว้
“แม้จะไม่มีข้อมูลที่แน่นอน แต่ก็พอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว” มู่ชิงเกอพูดเสริมขึ้นมา
“คาดเดาอย่างนั้นหรือ” ในดวงตาของฟ่งเหนียงมีเปลวเพลิงแห่งความหวังเกิดขึ้น แม้จะไม่มีข้อมูลที่แน่นอน แต่เป็นการคาดเดาก็ยังดี
สิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สำหรับฟ่งเหนียงแล้ว การรอคอยมู่ยี่จากในตอนแรก เปลี่ยนเป็นเพียงแค่เขาปลอดภัยก็ดีมากแล้ว
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจ แต่วันนี้ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของท่าน ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก”
ฟังเหนียงพูดอย่างกระวนกระวาย “คุณชายโปรดบอกข้า”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ “ความจริง การคาดการณ์เหล่านี้ หลายปีที่ผ่านมา ท่านต้องเคยคิดเช่นกัน เพียงแต่ว่ามีเหตุผลหนึ่งห้ามท่านเอาไว้”
ฟ่งเหนียงมองนาง โดยไม่ได้พูดอะไร
“ท่านไม่ยอมจากไป เพราะท่านกลัวว่าหากท่านจากไป แล้วมู่ยี่กลับมา จะไม่เจอท่านและพลัดพรากกันอีกครั้ง” มู่ชิงเกอชี้ปมในใจของฟ่งเหนียง
ฟ่งเหนียงยิ้มเศร้า “ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถปิดบังสายตาของคุณชายได้เลยจริงๆ”
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สนใจคำชมเชยของนาง แต่พูดว่า “ความจริงแล้วที่ที่มู่ยี่ไปนั้นเดาได้ไม่ยาก เขาเคยบอกว่าจะไปหาของสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้พวกท่านจากไปได้ สิ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่เขาใช้ในการมาหลินชวน จากคำพูดของเขาสามารถตัดสินได้ว่า ของสิ่งนั้นจะต้องเป็นสมบัติที่ต้องสูญเสียพลัง ทุกๆ การใช้หนึ่งครั้ง พลังจะ ลดน้อยลงหนึ่งครั้ง กระทั่งอาจไม่มั่นคงและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย เพราะฉะนั้น เขาเองก็ไม่กล้ายืนยัน ว่าของสิ่งนั้นยังสามารถใช้การได้หรือไม่ บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจากไปเพียงลำพัง เขากลัวว่าจะทำให้ท่านผิดหวัง แต่ก็ไม่อยากให้ท่านไปเสี่ยงกับเขาด้วย”
คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้ฟังเหนียงนิ่งเงียบไป
“หากเรามั่นใจว่ามู่ยี่ไม่มีทางทิ้งท่านไป ถ้าเช่นนั้น ก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียว คือ ของสิ่งนั้น เขาพบแล้ว แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝัน นำพาเขาออกจากหลินชวนไปและกลับสู่โลกยุคกลาง หรือที่อื่นใดเราไม่อาจรู้ได้ แต่ว่า นานเพียงนี้แล้วเขายังไม่กลับมาหาท่าน หากว่า เขาไม่เปลี่ยนใจจากท่านก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง หากไม่ตาย ก็ถูกขังเอาไว้” มู่ชิงเกอเสนอข้อวิเคราะห์ของตนเอง
ฟ่งเหนียงที่เงียบฟังยังคงรักษาท่าทางสงบนิ่ง ดังที่มู่ชิงเกอพูดก่อนหน้านี้ ความเป็นไปได้เหล่านี้ ในระยะเวลาสิบปี ฟ่งเหนียงไม่มีทางเดาไม่ออก
มู่ชิงเกอมองนาง พักใหญ่จึงพูดว่า “ที่ข้าพาท่านมา ความจริงแล้วเพียงแค่อยากจะบอกว่า ท่านไม่สามารถออกจากหลินชวนได้ แต่ข้าสามารถทำได้ โลกแห่งยุค กลางเป็นที่ที่ข้าจะต้องไป”
ฟ่งเหนียงเงยหน้าขึ้นทันทีและหันมองมู่ชิงเกอ ในแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
นางเข้าใจเหตุผลแอบแฝงที่มู่ชิงเกอตามตัวนางมาแล้ว
มู่ชิงเกอยอมช่วยตนเองหาตัวมู่ยี่ต่อและหาที่อยู่ของมู่ยี่ ไม่ว่ามู่ยี่จะตายไปแล้วหรือถูกขังเอาไว้ นางก็ต้องการคำตอบ
แต่ว่า———–
“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร” ฟ่งเหนียงพูดด้วยนํ้าเสียงอันเด็ดขาด
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม คุยกับคนฉลาดเช่นนี้ช่างดีจริงๆ!
นางยื่นนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว และพูดกับฟ่งเหนียงว่า “กริชเล่มนั้นของท่าน ข้าสามารถคืนท่านได้ เราเปลี่ยนข้อตกลงกันใหม่”
กริชอาวุธครึ่งเทพเล่มนั้น ความจริงแล้วอยู่กับนางไม่ค่อยได้ไช้นัก ใจกว้างเสียหน่อยจะดีกว่า
ใครจะรู้ว่าฟ่งเหนียงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ในเมื่อให้คุณชายไปแล้ว ข้าจะไม่เอาคืน เก็บไว้ที่คุณชายเถิด หากวันหนึ่งพบมู่ยี่แล้ว ก็ถือว่าเป็นของขวัญในการที่เรา ได้รู้จักกัน”
มู่ชิงเกอหยุดคิดครู่หนึ่งและไม่ได้ฝืนอีก
ฟ่งเหนียงถามอีกครั้ง “คุณชายต้องการให้ข้าทำอะไร”