№ 133 เปิดเผยตัวตน!
“นายท่าน”
เหลิ่งซวงขานเรียก ก่อนจะก้มหัวไปทางกวนสีหลิ่น “คุณชาย”
“ว่ายังไงบ้าง?” เฟิ่งจิ่วหันมองนางพลางเอ่ยถาม
“สองวันนี้ที่บ้านตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริงๆ ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งถูกจับขังเจ้าค่ะ”
“ถูกจับขังรึ?” เธอย่นคิ้วน้อยๆ น้ำเสียงยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าค่ะ เพราะเป็นเรื่องในจวนตระกูลเฟิ่ง คนภายนอกจึงไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แค่ว่าสองวันนี้ท่านแม่ทัพเฟิ่งเชิญหมอหลายท่านมาที่จวน ทุกการวินิจฉัยล้วนบอกว่าท่านผู้เฒ่าเฟิ่งอาการคลุ้มคลั่ง มีอันตรายที่อาจทำร้ายคนอื่นๆ ดังนั้นจึงถูกจับขังไว้เจ้าค่ะ”
หลังจากฟังคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วหน้าหมองลงไม่ปริปากแม้ครึ่งเสียง ทำให้กวนสีหลิ่นข้างๆ สงสัยยิ่งนัก มองเหลิ่งซวงแวบหนึ่ง แล้วมองเฟิ่งจิ่วอีกแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ถามไปอย่างอดใจไม่ไหว “เสี่ยวจิ่ว เจ้าถามหาเรื่องตระกูลเฟิ่งทำไมรึ?”
ได้ยินเช่นนั้น เธอก็หันมองเขา เห็นสีหน้าเคลือบแคลงใจ แม้แต่เหลิ่งซวงยังมองมาที่เธอด้วย นิ่งอยู่สักพัก ถึงจะกล่าวว่า “เรื่องนี้อาจควรบอกพวกเจ้าได้แล้ว”
ทั้งสองคนหวั่นใจเล็กน้อย สายตาจับจ้องบนร่างตาไม่กะพริบ ต่างรู้ว่าบนตัวมีความลับมาตลอด แต่นางไม่บอก พวกเขาจึงไม่ถาม
“ข้ายังมีอีกตัวตนหนึ่ง นั่นคือลูกสาวของเฟิ่งเซียว นามว่า เฟิ่งชิงเกอ”
“อะไรนะ!”
ฟังสิ่งที่นางพูดออกมา ราวกับฟ้าคะนองที่ก่อพายุขึ้นในหัวใจพวกเขาชั่วขณะ
“เจ้าคือเฟิ่งชิงเกอรึ? ละ แล้วเฟิ่งชิงเกอที่พวกเราพบวันนั้นเล่า? นางเป็นใคร?” กวนสีหลิ่นเบิกตาออกกว้างอย่างงงงัน สีหน้าตกตะลึง
ทว่า พอคิดว่าเสี่ยวจิ่วไม่น่าจะหลอกเขา ก็นึกถึงวันนั้นที่เขามักจะรู้สึกว่าเฟิ่งชิงเกอกับเสี่ยวจิ่วคล้ายกันอยู่นิดหน่อย เวลานี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก เพียงรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
แม้แต่เหลิ่งซวงที่เย็นชาเสมอ ตอนนี้ยังมีสีหน้าตกใจ
หากนายท่านเป็นเฟิ่งชิงเกอ งั้นก็อธิบายได้ว่าทำไมนางถึงสนใจเรื่องตระกูลเฟิ่งเพียงนั้น แต่ว่า หากนายท่านคือคุณหนูเฟิ่งชิงเกอแห่งจวนตระกูลเฟิ่ง เช่นนั้น เฟิ่งชิงเกอตัวปลอมก็เป็นคนที่ทำลายใบหน้านายท่านน่ะสิ?
“นางชื่อซูรั่วอวิ๋น ตอนอายุไม่กี่ขวบถูกข้าเก็บกลับมาจากข้างถนน ติดตามอยู่ข้างกายข้าเสมอ ทว่าใจคนยากแท้หยั่งถึง นางสวมรอยตัวตนข้า กรีดรอยบนใบหน้า แล้วให้คนส่งข้าไปขายยังหอนางโลม ซ้ำยังป้อนยาพิษให้ด้วยกลัวว่าข้าจะไม่ตาย”
น้ำเสียงเธอนิ่งสงบ เหมือนกำลังเล่าเรื่องราวของคนอื่น แต่กวนสีหลิ่นกับเหลิ่งซวงฟังแล้ว กลับกำหมัดขึ้นมาไว้แน่น ขณะที่ทุกข์ใจ ก็อดใจรอให้ได้ลงมือกำจัดหญิงสาวใจยักษ์นามซูรั่วอวิ๋นนั่นด้วยตัวเองแทบไม่ไหว!
เฟิ่งจิ่วซดซุปหวานที่เย็นชืดขึ้นนิดหน่อย ผุดเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เอ่ยว่า “แต่ว่า ถึงนางคิดแผนไว้แยบยล ก็คงคาดไม่ถึงว่าข้าจะยังมีชีวิตอยู่ และยิ่งนึกไม่ถึงว่าข้าจะกลับมา”
“เสี่ยวจิ่ว ที่เจ้าไม่กลับไปบ้านตระกูลเฟิ่ง เพราะกลัวว่าทั้งพ่อและปู่เจ้าจะมองใบหน้าเสียโฉมนี้ไม่ออกใช่หรือไม่เล่า?” กวนสีหลิ่นมองนางอย่างเจ็บปวด หัวใจก็บีบรัดจนกลายเป็นก้อนกลม
ตอนแรกที่พบกันในป่าเก้าหมอบ นางต่อกรกับฝูงหม่าป่าตัวคนเดียว ความฮึดสู้และบ้าระห่ำนั้น ยังคงตราตรึงมาถึงตอนนี้ ตลอดมาเขาไม่เคยนึกออกว่าวงศ์ตระกูลใดกันแน่ที่สอนสั่งสาวน้อยเช่นนางออกมาได้ แต่ในเวลานี้ เขาเข้าใจอย่างท่องแท้แล้ว
ไม่ใช่เพราะนางอยากแข็งแกร่ง แต่ถูกบังคับให้ต้องแข็งแกร่ง หากไม่โหดเหี้ยม ก็มีชีวิตต่อไปไม่ได้แน่
“แม้ใบหน้าเสียโฉม ทว่าหลายวันก่อนที่พบท่านปู่บนถนน เขากลับมองข้าออกในแวบเดียว” เมื่อนึกถึงท่านผู้เฒ่าเฟิ่งที่ติดเหล้าเท่าชีวิต เธอก็ผุดรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
พอเก็บรอยยิ้ม ในใจก็มีความกังวลอยู่เลือนรางน้อยๆ ตอนนี้เขาถูกขังไว้ ไม่รู้ว่าสถานนการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?
………………………………