Skip to content

พลิกปฐพี 133-1

ตอนที่ 133-1

เจ้าโจรใจกล้าขโมยโอสถ!

ณ เมืองซางจื่อที่เรือนที่มู่ชิงเกอซื้อเอาไว้ ร่างอันสง่างามในชุดสีขาวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าที่เงยขึ้นราวกับ กำลังดูใบไม้บนกิ่งไม้ และกำลังมองใบไม้เพื่อคิดอะไรบางอย่าง…

มู่ชิงเกอถือหมายที่โหลวชวนป่ายเขียนขึ้น เมื่อกลับจากโรงโอสถ สิ่งที่เห็นคือภาพนี้

นางเดินช้าลง ราวกับไม่อยากรบกวนฟ่งเหนียงที่กำลังใช้ความคิด

เข้าเรือนไปอย่างเงียบๆ ในเรือนมีโย่วเหอและฮวาเยวี่ย ที่กำลังรออยู่ นอกจากทั้งสองสาว มั่วหยางเองก็กลับมาแล้ว ไม่ได้พบกันหลายเดือน กลิ่นอายบนร่างของมั่วหยางดูดุดันขึ้นไม่น้อย ใบหน้าอันหล่อเหลาก็คมเข้ม และแฝงความแข็งแกร่งขึ้นมาก

“คุณชาย”

“คุณชาย”

เมื่อเห็นมามู่ชิงเกอมา โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็รีบลุกขึ้นไปรับ

มั่วหยางก็ยืนขึ้น หันมองนาง พลันเม้มริมฝีปาก แล้วโค้งคำนับ “คุณชาย !”

“กลับมาแล้ว” มู่ชิงเกอกวาดสายตามองเขา แล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนที่ประจำในเรือน มั่วหยางพยักหน้ารับ “เมื่อได้รับคำสั่งจากคุณชาย ข้าได้รวบรวมองครักษ์เขี้ยวมังกรสามร้อยนายอย่างรวดเร็ว และเดินทางมาในทันทีคืนนี้เตรียมจะไปกวาดล้างโจรภูเขา ส่วนอีกสองร้อยนายนั้น เป็นเพราะห่างกันมาก

ข้าน้อยจึงไม่ได้ตามพวกเขากลับมา”

“อึม” มู่ชิงเกอตอบรับคำหนึ่ง พร้อมเงยสายตาขึ้นมองเขา “ภารกิจที่ข้ามอบให้เจ้าคือพาฟ่งเหนียงมาที่นี่ ฆ่าคนไม่ใช่ภารกิจของเจ้า”

“…” มั่วหยางเม้มปากเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร ยิ่งไม่สามารถบอกความคิดของตนเองออกไปได้ เขาเพียงแค่อยากพบนางไวๆ จึงได้

เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน เพื่อไปรับฟ่งเหนียงมาและยังต้องสำเร็จอีกหนึ่งภารกิจของนาง

“ช่างเถิด ในเมื่อกลับมาแล้ว การกวาดล้างในครั้งนี้ก็ให้เจ้าเป็นผู้นำแล้วกัน”

มู่ชิงเกอไม่สาวความ ทำให้มั่วหยางแอบถอนหายใจ

มู่ชิงเกอใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทีหนึ่ง พูดกับมั่วหยางว่า “สำหรับข่าวคราวของศัตรู เจ้าคุยกับโย่วเหอเอง คืนนี้ข้าจะต้องได้ข้อสรุป”

“ขอรับ!”

“เจ้าค่ะ คุณชาย”

มั่วหยางและโย่วเหอพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ พูดกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าทั้งสองไปจัดการ เรื่องนี้ข้าจะไม่ยุ่ง”

มั่วหยางและโย่วเหอออกไปตามคำสั่ง

ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอจึงพูดกับฮวาเยวี่ยว่า “พาฟ่งเหนียงเข้ามา”

ฮวาเยวี่ยเคลื่อนตัวออกจากเรือนไป

ไม่นาน ฟ่งเหนียงก็ยืนอยู่นอกประตูเพียงลำพัง ส่วนฮวาเยวี่ยกลับไม่เห็นแม้กระทั้งเงา

ฟ่งเหนียงยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้เดินเข้ามาโดยพลการ เพียงแต่สบตากับมู่ชิงเกอ ในดวงตาหงส์ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเข้าใจและจริงใจ อีกทั้งยังแฝงความเคร่งขรึม

“เชิญองค์หญิงใหญ่” มู่ชิงเกอที่นั่งไขว่ห้างยิ้มบางๆ และเชิญนางเข้าไป

ฟ่งเหนียงเผยรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย แล้วเดินเข้าเรือนไป

“สุดท้ายคุณชายก็รู้ฐานะของข้าจนได้”

“เชิญนั่ง” มู่ชิงเกอชี้เก้าอี้ที่อยู่ด้านขวา

ฟ่งเหนียงเดินเข้ามาตามคำเชิญ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่มู่ชิงเกอชี้

ข้างเก้าอี้ มีของหวานและชาร้อนเตรียมเอาไว้ ฟ่งเหนียงหันมองเล็กน้อย แต่ไม่ได้แตะต้อง

ไม่ใช่เพราะนางกลัวว่ามู่ชิงเกอจะใส่อะไรลงไปในอาหารพวกนั้น เพียงแค่ว่า ตอนนี้นางกินอะไรไม่ลงจริงๆ

ตอนที่มั่วหยางไปหานาง นางสามารถเลือกที่จะไม่มาได้ แต่ว่านางกลับไม่ยอมทิ้งแม้เศษเสี้ยวโอกาสที่จะได้พบกับมู่ยี่ เพราะฉะนั้น แม้จะเดาออกว่าคุณชายตระกูลมู่ คงจะคาดเดาฐานะที่แท้จริงของตนเองออกแล้ว นางก็ยังคงตามมั่วหยางมาโดยไม่ลังเล

“สำหรับฐานะของท่าน ท่านสบายใจได้ ข้าเป็นคนที่สามารถเชื่อถือได้ ในเมื่อรับค่าตอบแทนจากท่านมาแล้ว แน่นอนว่าจะต้องรักษาคำพูด ข้าเองก็แปลกใจที่สืบเรื่องของมู่ยี่ แต่กลับสืบจนไปถึงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่ได้” มู่ชิงเกอพูดอย่างรู้สึกขัน

ท่าทางของฟ่งเหนียงแนบนิ่ง ดูไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากที่มู่ชิงเกอพูดจบ นางก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ของแคว้นลี่มาตั้งนานแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่

รอคอยสามีกลับบ้าน”

“ที่ข้าตามท่านมา ไม่ได้ต้องการจะยืนยันฐานะของท่าน เป็นความจริงที่ว่าเรื่องของท่านและมู่ยี่ ดึงดูดความสนใจจากข้าเป็นอย่างมาก แล้วคนอย่างข้าก็มีโรคที่ร้ายแรงอยู่โรคหนึ่ง นั่นคือ หากสนใจในตัวบุคคลหรือเรื่องราวใดแล้วก็จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้คำตอบมา” มู่ชิงเกอมองหน้านางแล้วพูด

ฟ่งเหนียงมองนาง เม้มปากไม่พูดอะไร

มู่ชิงเกอพูดต่อว่า “เรื่องของท่านและมู่ยี่ ข้าพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว สิ่งที่ข้าอยากรู้ในตอนนี้คือ เหตุใดจอมยุทธ์ที่มีตบะสูงส่งในเรื่องราวขององค์หญิงใหญ่ผู้นั้น ถึงได้หายตัวไปในผืนป่าลั่วรื่อ”

ฟ่งเหนียงยิ้มเศร้าในทันที แววตาราวกับคล้อยตามคำพูดของมู่ชิงเกอ และตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งอดีต “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง หากไม่ใช่เพราะข้าหาเรื่องเขาก่อน เขาก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพที่เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ดังเช่นทุกวันนี้”

“เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่” มู่ชิงเกอหยุดสายตาที่ฟ่งเหนียง

ฟ่งเหนียงราวกับไม่รู้สึกตัว เล่าเรื่องระหว่างนางและมู่ยี่ตั้งแต่ต้น “ตอนนั้น ข้าอายุสิบแปด รูปโฉมงดงามโดดเด่น ในใจมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ข้าในตอนนั้น ล้วนเป็นที่ชื่นชมของทุกคนที่พบเจอและข้าก็เคยชินกับการตกเป็นเป้าสายตา จนกระที่งเขาปรากฏตัวขึ้น…”

ในเรื่องราวของฟ่งเหนียง ตอนแรกก็เป็นเพียงแค่องค์หญิงเย่อหยิ่งที่ได้พบกับผู้ชายที่ไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตาก็เท่านั้น ชายผู้นี้เป็นคนสอนนางว่า ไม่มีใครควรเป็นตัวเอกและไม่มีใครควรเป็นแค่ตัวรอง

การมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ก็เพื่ออิสระ เพื่อดำเนินชีวิต ไม่ใช่การอยู่ในสายตาของผู้อื่น และมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังของผู้อื่น

พวกเขาเริ่มต้นจากการที่ไม่ชอบหน้ากัน จนเกิดเป็นความรู้สึกอันลึกซึ้งในที่สุด สำหรับฟ่งเหนียงแล้ว มันเหมือนความฝัน

แต่ทว่า ความฝันกลับกลายเป็นความจริงอันไร้ที่เปรียบ

นางตัดสินใจแล้วว่าชายผู้นี้จะเป็นคนที่นางสามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ เพราะฉะนั้น นางจึงไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพื่อบอกการตัดสินใจของตนเอง ว่านางจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา แม้จะต้องสละสิทธิ์ในราชบัลลังก์ก็ตาม

ในตอนแรก นางคิดว่าการอภิเษกสมรสครั้งนี้จะได้รับคำยินดี

แต่ไม่คิดว่า เมื่อเสนอความต้องการของตนเอง กลับถูกปฏิเสธอย่างที่ไม่พบเจอมาก่อน

“…ข้าในตอนนั้นไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จพ่อต้องไม่เห็นด้วยเช่นนั้น ไม่เพียงแค่ท่าน รวมทั้งเสด็จแม่ของข้าก็เข้ามาห้ามข้า ให้ปล่อยมู่ยี่ไป มู่ยี่เป็นคน เก่งกาจเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนชายหนุ่มธรรมดา เหตุใดเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้าจึงดูไม่ออก ข้าไม่เข้าใจ จึงทำได้เพียงแค่ต่อต้านและยืนยันในสิ่งที่ตนเองต้องการ เพราะว่าข้าอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระอย่างที่มู่ยี่เคยกล่าวเอาไว้ หลังจากนั้น เมื่อเสด็จพ่อของข้าเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้ จึงยอมรับ ข้าคิดว่าข้าชนะแล้ว จึงเตรียมงานอภิเษกสมรสอย่างมีความสุข แต่คิดไม่ถึงว่า เสด็จพ่อจะแอบส่งยอดฝีมือของวังหลวงไปลอบฆ่ามู่ยี่ลับหลังข้า”

ฟ่งเหนียงพูดถึงตรงนี้ ในแววตาพลันฉายความสับสนที่แฝงความเกลียดชัง “การต่อสู้ในวันนั้น สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ข้าลองชุดเจ้าสาวอยู่ในวังหลวง รู้สึกกระวนกระวายอย่างไร้สาเหตุ หลังจากที่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายการสู้รบที่แผ่ กระจายมาจากที่ไกลๆ ข้าก็พุ่งออกจากวังหลวงอย่างไม่คิดชีวิต จากนั้น เมื่อข้าไปถึง เห็นเพียงแค่ยอดฝีมือ จำนวนมากของวังหลวงนอนกองอยู่กับพื้น มีเพียงคน เดียวที่ยืนอยู่คือมู่ยี่ แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัส ข้ารู้ว่าด้วยฝีมือของเขาแล้ว แม้จะเจอกับการลอบฆ่าเช่นนี้ก็ไม่มีการบาดเจ็บมากถึงเพียงนี้ แต่เป็นเพราะเขาไม่อยาก

เห็นข้าลำบากใจ เพราะฉะนั้นในตอนแรกจึงไม่ได้ลงมือสังหาร อย่างมากก็แค่ป้องกันตัว ในวินาทีที่ข้าเห็นมู่ยี่ ข้าก็ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว ข้าคิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อที่ข้าเคารพ จะทรงทำเรื่องเช่นนี้ ข้าไม่ได้โทษมู่ยี่ แต่กลับรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะที่จะอยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไป…”

เพราะการรำลึกถึงความหลัง ฟ่งเหนียงราวกับพบเจอเรื่องราวนั้นอีกครั้ง นํ้าตาแห่งความเจ็บปวด หลั่งไหลลงออกจากหางตาหงส์สองข้างนั้น

มู่ชิงเกอไม่ได้ขัดจังหวะ เพียงแค่เงียบนั่งฟังเรื่องที่นางเล่า

ความจริงแล้ว เรื่องของฟ่งเหนียง ส่วนมากแล้วตรงกับที่เล่ากันมา เพียงแค่รายละเอียดเท่านั้นที่ต่างกัน เช่น ตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นลี่อนุญาตให้แต่งงาน ก่อนที่จะลอบฆ่ามู่ยี่ แล้วก็ความจริงที่ว่ามู่ยี่ฆ่ายอดฝีมือของราชวงศ์แต่ตนเองก็บาดเจ็บสาหัส

“หลังจากเกิดเรื่องนั้น ข้าก็ไม่ยอมกลับวังหลวงและไม่มีหน้าอยู่ข้างมู่ยี่อีก ข้าใช้ชีวิตอย่างทุกทรมานจนถึงขั้น คิดฆ่าตัวตาย จนวันหนึ่งมู่ยี่มาพบข้า ถามข้าว่าจะไปอยู่กับเขาหรือไม่ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ใช่องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นลี่อีกต่อไป ทิ้งชื่อเสียงและอำนาจทุกอย่างเอาไว้ และออกท่องโลกไปกับเขา” ฟ่งเหนียงยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดนํ้าตาที่อาบแก้มและเผยรอยยิ้มอันน่าเย้ายวนที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

รอยยิ้มเช่นนั้น มีเพียงแค่หญิงสาวที่ได้รับความรักอย่างหมดหัวใจจากชายหนุ่มเท่านั้นจึงสามารถครอบครองมันได้

วินาทีนั้น มู่ชิงเกอราวกับถูกเรื่องราวความรักของฟ่งเหนียงและมู่ยี่สะกิดใจ ทำให้นางเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาว่า ในโลกนี้จะมีผู้ชายที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ อย่างไรก็เข้าใจนางและอยู่เคียงข้างนางไม่ยอมจากไปไหนอยู่หรือไม่นะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version