ตอนที่ 132-4
โชคชะตาของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเก็บยาเอาไว้ตรงหน้าอก สำหรับยาระดับจิตแล้ว นางไม่ได้มีความต้องการมากนัก เพราะฉะนั้นนางก็เลย ไม่ได้เสียเวลากับการเลือกยาระดับจิตที่สามารถรักษาชีวิตได้ดั่งที่โหลวชวนป่ายแนะนำ เมื่อนางเก็บยาระดับจิตไปแล้ว ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป อีกครั้ง
จุดวงแสงที่ส่องแสงสว่างเหล่านั้นขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อย
พร้อมกับจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
“หรือว่าในวงแสงเหล่านี้มีหม้อหลอมยาที่มาจากโรงโอสถกลางซ่อนอยู่” มู่ชิงเกอเดา
หลังจากความผิดพลาดก่อนหน้านี้ มู่ชิงเกอคิดว่ามี ความเป็นไปได้สูงมาก
แต่ทว่า———-
“ทำอย่างไรจึงจะสามารถหาหม้อหลอมยาที่มีทั้งวาสนา เหมาะสมและถูกชะตากับตนเองมากที่สุดได้” มู่ชิงเกอจ้องวงแสงที่ลอยไปลอยมา พลางคิดหาวิธี
ใครจะรู้ไม่ทันที่นางจะคิดถึงวิธีอันใด ในมุมที่อยู่ไกลที่สุด พลันมีวงแสงวงหนึ่งพุ่งเข้าหานางในทันที
ท่าทางเช่นนั้น———-
ในระหว่างการพุ่งตรงเข้ามา ก็ชนวงแสงวงอื่นๆ ที่ ขวางอยู่จนกระจัดกระจาย เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเอาแต่ใจที่ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา!
มู่ชิงเกอตกใจจนอ้าปากค้าง นัยน์ตาเติมไปด้วยความนับถือที่มีต่อวงแสงวงนั้น
เพียงชั่วพริบตา วงแสงก็พุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้านางและใกล้กับนางเพียงเอื้อมมือ
สายตาของมู่ชิงเกอค่อย ๆ เคลื่อนสายตาไปทางซ้ายเล็กน้อย วงแสงวงนั้นก็ขยับไปทางซ้ายเช่นกัน จากนั้นนางเคลื่อนสายตาไปทางขวา วงแสงก็ได้เคลื่อนไปทางขวาเล็กน้อยเช่นกัน
มู่ชิงเกอครุ่นคิด แล้วเคลื่อนสายตาไปข้างบน วงแสงก็ลอยขึ้นไปอย่างไม่ยอมแพ้
อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็เบี่ยงร่าง วงแสงนั้นก็พุ่งเข้าหานางอย่างกะทันหัน ชนเข้ามาที่ตรงหน้าอกของนาง
นางยื่นมือออกไปรับตามสัญชาตญาณ รู้สึกเพียงแค่ว่ามือหนักอึ้ง ทำให้มือของนางลดตํ่าลงอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อถูกมู่ชิงเกอรับเอาไว้ แสงวงนั้นราวกับกะพริบอย่างได้ใจทีหนึ่ง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “อยากติดตามข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าเลือกเจ้า”
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงจุดนั้นก็ถอยออกไป ตรงหน้ามู่ชิงเกอวูบวาบทีหนึ่ง จากนั้นก็ได้มาอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยม ดูโครงสร้างของกำแพง น่าจะยังอยู่ในหอโอสถ แต่ในชั้นนี้ กลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดวางอยู่เลย
มู่ชิงเกอก้มหน้าลงมอง พลันขมวดคิ้ว
ก้อนสีดำดังถ่านที่ถูกนางกอดเอาไว้ในอกนี่คือหม้อหลอมยาที่นางเลือกอย่างนั้นหรือ
อย่าล้อกันแล่นแบบนี้จะได้โหม!
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากในทันที อยากจะถามท่านผู้ อาวุโสในหอโอสถว่า นางสามารถเลือกใหม่ได้หรือไม่
เพราะว่า หม้อหลอมในมือของนาง ดูอย่างไรก็เป็นหม้อที่ไม่สมประกอบ!
เจ้าเคยเห็นหม้อหลอมที่เป็นหลุมเว้าลงไปหรือไม่เล่า?
แล้วเจ้าเคยเห็นหม้อหลอมสีดำมะเมื่อม ที่ราวกับถูกหยิบออกมาจากขี้เถ้าหรือไม่?
และหม้อหลอมนี้ยังเป็นหม้อที่แม้กระทั่งลวดลายเรียบง่ายก็ยังไม่มี
เอาเถอะ นางเองก็ไม่ใช่คนที่ดูคนจากภายนอก แต่ว่า แต่ว่า…นี่มันขี้เหร่เกินไปแล้ว!
มู่ชิงเกออยากร้องไห้แต่ไร้ซึ่งนํ้าตา ความเหมาะสมเข้ากันที่ยอดเยี่ยม วาสนาที่ว่าล่ะ สิ่งที่นางเหมาะสมและมีวาสนาด้วยคือสิ่งนี้หรือ ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังโศกเศร้าเป็นอย่างมากนั้น แสงข้างตัวนางก็กะพริบทีหนึ่ง พร้อมกับพวกเหมยจื่อจ้ง สี่คนปรากฏอยู่รอบตัวนาง ทันทีที่ทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้น นางก็ได้ยินจ้าวนานชิงชื่นชม หม้อที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับทั้งดูสูงค่าและสะดุดตาอย่างได้ใจ “หม้อของข้ามีชื่อว่ารวมเพลิงทองสุริยะ หากใช้มันปรุงยาจะสามารถควบคุมระดับเพลิงและเพิ่มอัตราความสำเร็จที่ยาจะกลายเป็นเม็ดได้”
หลังจากที่ชื่นชมเสร็จแล้ว เขาก็หันมองเหมยจื่อจ้ง ซางจื่อซูและจูหลิง พลันถามว่า “ศิษย์พี่ จื่อซู ศิษย์น้องจู พวกเจ้าได้หม้อหลอมแบบใดมา”
“ของข้าชื่อว่าหม้อกระเรียน” เหมยจื่อจ้งพูดอย่างเรียบเฉย หม้อหลอมที่เขาได้มา ช่างมีชื่อที่เหมาะกับเขานัก
มู่ชิงเกอแอบเหลือบมอง เห็นในมือของเหมยจื่อจ้งอุ้ม หม้อหลอมยาสีขาวบริสุทธิ์โปร่งใสดั่งหยกขาวอยู่ ช่างเป็นหม้อหลอมยาที่ดูสูงส่งราวกับเซียนโดยแท้ เก็บสายตากลับมา มู่ชิงเกอรู้สึกน้อยใจมากกว่าเดิม
ซางจื่อซูพูด “เดือนเย็น”
“ข้าได้หม้อตามดารามา” จูหลิงยิ้มอย่างร่าเริง
‘ชื่อหม้อหลอมของพวกเขาช่างดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามยิ่งนัก’ มู่ชิงเกอก้มลงมองเจ้าดำในมือของตนเอง ในใจ รํ่าไห้จนมืดฟ้ามัวดิน
“ศิษย์น้องมู่ เจ้ามีความสามารถลํ้าเลิศเช่นนี้ คงจะได้รับหม้อหลอมที่ร้ายกาจเป็นอย่างมากมาแน่ มาให้เรา ชื่นชมเสียหน่อยสิ” สุดท้าย จ้าวหนานซิงก็มองมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอย
ไม่เพียงแค่เขา ทั้งเหมยจื่อจ้ง ซางจื่อซูและจูหลิงก็หันมามองนางเช่นกัน
มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก เพียงโยนเจ้าดำในมือออกไป
“เอาไป”
“นั่นอะไรน่ะ” จ้าวหนานซิงยื่นมือไปรับ พลันก้มหน้าลงมอง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปในทันที เขาฝืนยิ้มและหันมองมู่ชิงเกอ “ศิษยํน้องมู่ นี่เป็นหม้อหลอมยาของเจ้าหรือ”
“อย่างที่ท่านเห็น” มู่ชิงเกอปล่อยวางกับมันไปแล้ว
ทั้งสี่ เงียบลงในทันที
ครู่หนึ่ง จ้าวหนานซิงจึงพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูกระอักกระอ่วนว่า “หม้อของศิษย์นองมู่ดูมีเอกลักษณ์แปลกตาดีนะ” พูดจบ เขาก็คืนหม้อที่มีโครงสร้างประหลาด และดำสนิทให้กับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรับไป สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพราะคำพูดของ จ้าวหนานซิง
เหมยจื่อจ้งหันมองมู่ชิงเกอ และพูดอย่างตั้งใจว่า “มู่เกอ ดูคนอย่าดูจากภายนอก บางทีหม้อหลอมยาก็เช่นกัน”
“ขอบคุณที่ปลอบใจ” มู่ชิงเกอรับ ‘เจ้าดำ’ มาเก็บอย่างไม่แสดงสีหน้า
ในขณะนี้เอง ประตูหอโอสถก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน โหลวชวนป่ายยืนรออยู่ข้างนอก
ทั้งห้าเดินออกจากหอโอสถ หลังจากที่พบกับโหลวชวนป่ายแล้วจึงจากไปพร้อมกันในทันที
เขาไม่รู้เลยว่า หลังจากที่พวกเขาจากไปไม่นาน หัวชางซู่ก็เร่งรีบเข้ามา เข้าสู่หอโอสถ และเรียกท่านผู้อาวุโสที่ดูแลหอโอสถออกมา
“ทางโรงโอสถกลางส่งจดหมายด่วนมาว่า หม้อผลาญสวรรค์หายไป สงสัยว่าถูกส่งมาที่โรงโอสถย่อย ให้พวกเราเข้าไปหาดูหน่อย” ท่าทางของหัวชางซู่ดูหนักใจ
ท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้ดูแลพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “อะไรนะ! หม้อผลาญสวรรค์หายไปอย่างนั้นหรือ”
เพิ่งจะพูดจบ เขาก็หายตัวไป หัวชางซู่รออยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงปรากฏตัวอีกครั้งและพูดด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มว่า “ในโรงโอสถย่อยไม่มี”
“ไม่มีอย่างนั้นหรือ แล้วหม้อผลาญสวรรค์จะไปไหนได้?” หัวชางซู่เคร่งเครียดขึ้นมาในทันที
หม้อผลาญสวรรค์เป็นสมบัติล้ำค่าของโรงโอสถ หากหายไปจริง ไม่รู้ว่าจะทำให้คนจำนวนเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ต้องเดือดร้อน รวมทั้งตัวเขาด้วย
“ท่านหาดีหรือยัง ขาดตกไปหรือไม่” หัวชางซูรีบพูดด้วยความร้อนรน
ท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้ดูแลส่ายหน้า “ข้าหาห้าหกรอบแล้ว ไม่พบและแน่นอนว่าไม่มีขาดตก”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าลูกศิษย์จะได้ไป” หัวชางซู่เสนออีกความเป็นไปได้
ท่านผู้อาวุโสผู้ดูแลโรงโอสถหยุดคิด แต่กลับส่ายหน้าปฏิเสธ “หม้อผลาญสวรรค์มีจิตวิญญาณของตัวเอง มีเงื่อนไขในการเลือกเจ้าของที่สูงลิบ มิเช่นนั้นจะถูกเก็บ เอาไว้ที่หอโอสถของโรงโอสถกลางมาตลอดได้อย่างไร แม้กระทั่งอัจฉริยะในโรงโอสถกลางยังไม่อาจได้รับความสนใจจากหม้อผลาญสวรรค์ท่านคิดว่าในโรงโอสถย่อยจะมีหรือ”
อัจฉริยะ!
หัวชางซู่หรี่ตาลง อยู่ๆ ก็คิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา เขาถามทันทีว่า “วันนี้พวกของมู่เกอมาเลือกหม้อหลอมยาหรือไม่”
“เพิ่งกลับไป” ท่านผู้อาวุโสที่ดูแลหอโอสถพูด
“แล้วท่านเห็นหรือไม่ว่ามู่เกอได้หม้ออะไรไป” หัวชางซู่ ยังคงตั้งคำถาม
ท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้ดูแลไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบตามความจริง “เป็นแค่หม้อหลอมสีดำธรรมดาๆ” เขาอธิบายลักษณะของ ‘เจ้าดำ’ ย่อๆ
หัวชางซู่ขมวดคิ้ว เม้มปากไม่พูดอะไร
รูปลักษณ์ของหม้อผลาญสวรรค์เขาเคยเห็นครั้งหนึ่ง มันอยู่ในระดับที่มีความน่าเกรงขามจนทำให้คนตื่นตระหนก ไม่ใช่อย่างที่ท่านผู้อาวุโสอธิบายมาเป็นแน่
คิดทบทวนครู่หนึ่ง หัวชางซู่ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ “ตอนนี้คงทำได้เพียงแค่ตอบกลับไปว่าหม้อผลาญสวรรค์ไม่ได้อยู่ในโรงโอสถย่อย”
พูดจบ เขาก็ออกจากหอโอสถ
ร่างกายของท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้ดูแลก็หายไปเช่นกัน
โหลวชวนป่ายและพวกของมู่ชิงเกอ มาส่งจูหลิงนอกห้องปรุงยา พร้อมพูดกับนางว่า “ช่วงนี้ พยายามให้มาก และจงเชื่อมั่นใจตัวเอง”
จูหลิงพยักหน้า พูดด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณท่านปรมาจารย์โหลวมาก”
มู่ชิงเกอพูดกับจูหลิงว่า “ศิษย์พี่จู จำคำพูดของข้าเอาไว้ หากไม่ใช่พวกเรามาหา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกมา”
หลังจากที่จูหลิงพยักหน้าอย่างแรง ก็หันหลังแล้วเดินเข้าห้องปรุงยาของตนเองไป ปิดประตูสนิทและแขวนป้ายกักตนเอาไว้
หลังจากที่ห้องปรุงยาปิดลงจะสามารถเปิดจากข้างในได้เท่านั้น
นอกจากจูหลิงจะออกมาด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้วใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้
สำหรับความปลอดภัยของนาง ในตอนนี้ก็ถือว่าวางใจได้ชั่วคราว
ระหว่างทางกลับ โหลวชวนป่ายจึงถามทุกคนว่าได้อะไรมาจากหอโอสถด้วยความใส่ใจ ทำให้ยิ่งซํ้าเติมความเจ็บปวดของมู่ชิงเกอ นางจึงหาข้ออ้างจากไปก่อนและกลับที่พักของตนเองไป
เข้าห้องไป นางก็เอาหม้อหลอมสีดำสนิทออกมาอีกครั้ง พลันพินิจดูอย่างละเอียด และพึมพำว่า “เจ้าเป็นของประหลาดพิสดารอะไรกันแน่นะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา ทำให้มู่ชิงเกอสะดุ้งตกใจ
“คุณชาย มั่วหยางพาฟ่งเหนียงมาถึงเมืองซางจื่อแล้ว” มู่ชิงเกอหยิบแผ่นป้ายหยกออกมา นี่เป็นสิ่งที่ยึดมาจาก ป๋ายซีเยวี่ย ซึ่งเป็นของลํ้าค่าที่ฉินจิ่นห้าวให้นางเอาไว้แอบฟังความลับของจวนตระกูลมู่
หลังจากที่มู่ชิงเกอได้มาแล้วก็ทิ้งไว้ในช่องว่าง วันหยุดที่กลับไปครั้งก่อน เพื่อให้ตนเองสามารถติดต่อกับพวกโย่วเหอได้อย่างสะดวก นางจึงทิ้งตัวส่งสารเอาไว้ แล้วเอาตัวรับสารติดตัวมา
เช่นนี้ เพียงแค่พวกเขาพูดในตัวส่งสาร นางก็สามารถฟังจากตัวรับสารได้
“มั่วหยางพาฟ่งเหนียงมาแล้วหรือ ดูเหมือนว่าจะ ต้องออกจากโรงโอสถสักรอบแล้ว!” มู่ชิงเกอหรี่ตา พูดเสียงทุ้ม