ตอนที่ 103-1
ผู้อาวุโส ช่างแปลกคนเสียจริง!
ในยามราตรี ดวงดาราถูกบดบังไปด้วยเมฆอันหนาทึบ
สายตาหลายคู่ที่คอยจับจ้องเรือนรับรองตระกูลเว่ยอย่างไม่ละสายตา เพราะกลัวเป็นอย่างยิ่งว่ามู่ชิงเกอจะหายตัวไป
ภายในเรือนรับรองตระกูลเว่ย ในเรือนที่มู่ชิงเกอเข้ามาพักชั่วคราวนั้น นางกำลังไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โยกและกำลังโยกไปมาอย่างผ่อนคลาย
ท่ามกลางความมืดมิด ชุดสีแดงดั่งโลหิตนั้น ให้ความรู้สึกถึงความอันตรายและไอสังหารที่ไม่ าจจะหลีกเลี่ยงได้
ฮวาเยวี่ยยืนอยู่ข้างหลังและคอยนวดหลังให้กับนางเบาๆ ความนิ่งสงบนั้น ราวกับไม่สนใจและไม่รับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายนอก
โย่วเหอกลับนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม คิ้วทั้งสองข้างที่ฉายความอ่อนโยนมาโดยตลอดมีความแน่วแน่และดุดันแฝงเข้ามา
ตรงหน้ามู่ชิงเกอ คนจำนวน 26 คนกำลังนั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น
พวกเขาอยู่ในชุดสีดำทั้งตัว บนชุดสีดำดั่งหมึกนั้น มีลวดลายที่ปักด้วยเส้นด้ายอันบางเป็นพิเศษสีเทาเงิน ให้ความรู้สึกทั้งลึกลับและงดงาม ในขณะเดียวกัน ลวดลายพวกนี้ก็เป็นมนต์ต้องห้าม ที่มู่ชิงเกอออกแบบด้วยตัวเองและเชิญช่างฝีมือมาเป็นผู้ปักให้
หลักการเดียวกับอาวุธที่นางหลอมขึ้นมาเอง นั่นคือลวดลายที่ปักขึ้นด้วยด้ายเส้นบางพิเศษนี้ก็มีผลลัพธ์ของมนต์ต้องห้ามเช่นเดียวกัน
มันสามารถทำให้คนที่สวมใส่ชุดนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองและการเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็สามารถอำพรางพลังได้อีกด้วย
การเพิ่มพลังนี้แม้จะเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากแต่สิ่งสำคัญคือมันสามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาอันสำคัญ!
องครักษ์เขี้ยวมังกรกลุ่มที่มั่วหยางเป็นผู้นำ คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเจ้านายที่พวกเขาเคารพและนับถือมากที่สุด สายลมในยามคํ่าคืนค่อยๆ พัดผ่านระหว่างช่องว่างของพวกเขา ทำให้ใบไม้สีเหลืองแห้งที่อยู่บนพื้นปลิวเข้าหามู่ชิงเกอ
ในขณะที่ใบไม้แห้งกำลังจะกระทบกับปลายจมูกของมู่ชิงเกอ สายตาของโย่วเหอพลันจับจ้องอย่างจริงจังในทันที ในขณะที่กำลังจะยื่นมือออกไป มู่ชิงเกอที่หลับตาทั้งสองข้างสนิทและกำลังเสพสุขกับความผ่อนคลายจากการนวดของฮวาเยวี่ยอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในสายตาอันสว่างไสวและมองไม่เห็นกันนั่น แฝงความเย็นเยียบ เพียงแค่ลืมตาขึ้น ใบไม้แห้งที่เข้ามาใกล้ก็ได้แตกกระจายกลายเป็นผุยผงต่อหน้าทุกๆ คนและถูกสายลมกลางคืนพัดหวนออกไปอีกครั้งในทันที โดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวที่ร่วงลงบนตัวของมู่ชิงเกอ
ใบไม้แห้งหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ทว่าในส่วนลึกของสายตาของมู่ชิงเกอมีแสงสีนํ้าเงินที่เข้มจนกำลังจะกลายเป็นสีม่วงส่องประกายขึ้นมา เพียงแต่ว่าเพราะความมืดสนิทที่มากเกินไป จึงทำให้ทุกคนไม่สามารถเห็นความจริงประการนี้ได้
มั่วหยางเงยหน้าขึ้น สายตาที่ฉายแววแน่วแน่เคลื่อนมาหยุดบนร่างของมู่ชิงเกอ พลางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณชาย ข้าน้อยได้เตรียมการทุกอย่าง เรียบร้อยแล้วขอรับ”
มู่ชิงเกอก้มสายตาลง สายตาที่แฝงความกระจ่างใสแต่เย็นเยียบจนเย็นชามั่นจ้องไปที่องครักษ์เขี้ยวมังกร จากนั้นก็พูดด้วยนํ้าเสียงที่ทั้งเกียจคร้านและบ้าคลั่งว่า “พวกเจ้าพร้อมแล้วรึ”
“ขอรับ คุณชาย!”
เสียงอันแฝงความเคร่งขรึมและความพร้อมเพรียงนั่น ดังขึ้นจากองครักษ์เขี้ยวมังกรราวกับสัตว์ที่กำลังรอโอกาสเคลื่อนไหวในยามค่ำคืน
ใบหน้าอันอ่อนเยาว์แต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเหล่านี้ ฉายแววเย็นเยียบดั่งมีดดาบ สายตาที่พวกเขามองมู่ชิงเกอล้วนแฝงความแน่วแน่ และความบ้าคลั่งอันแรงกล้า
ราวกับว่า หากมีมู่ชิงเกอเป็นผู้นำ แม้ว่าพวกเขาต้องไปทำลายล้างโลกทั้งใบ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากอันใด
ความบ้าคลั่งนั้น ทำให้ริมฝีปากสีแดงกํ่า ของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ
คนของนาง แน่นอนว่าต้องมีความกล้าอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใดเช่นนี้!
มืออันงดงามทั้งคู่ค่อยๆ วางลงบนพนักวางมือบนเก้าอี้โยก ฮวาเยวี่ยเดินถอยหลังไปสองก้าวอย่างรู้ความ
มู่ชิงเกอสะบัดข้อมือเบาๆ ทีหนึ่ง พลันพยุงตนเองขึ้นมา องครักษ์เขี้ยวมังกรมองตามความเคลื่อนไหวของนาง
ในขณะนี้เอง ลมกลางคืนพัดขี้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ชุดและเส้นผมของมู่ชิงเกอปลิวไปตามสายลม ชุดสีแดงดั่งโลหิตนั้นสะท้อนอยู่บนใบหน้าของนาง ทำให้น่าเย้ายวนมากขึ้นกว่าเดิม
ในสายตาของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร คุณชายของพวกเขา เจ้านายของพวกเขา เป็นดั่งเทพทั้งในสรวงสวรรค์และบนโลกทั้งใบนี้ ร่างอันยืดตรงสง่าผ่าเผยราวกับไม่มีวันที่จะงอลงได้
ประสานมือทั้งคู่เอาไว้ข้างหลัง รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่ชิงเกอแฝงความอันตรายอันเหี้ยมโหด “หากพร้อมแล้ว ถ้าเช่นนั้น…เริ่มเกมได้!”
สายลม พัดแรงขึ้นมาฉับพลัน
สายลมที่พัดผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย เศษใบไม้เหี่ยวแห้ง ปลิวไปมาตามสายลม เศษฝุ่นที่พัดขึ้นตามสายลม บดบังสายตาจนไม่สามารถมองเห็น อะไรได้
“แค่กๆๆ ลมมาจากไหนกัน ฝุ่นเข้าปากข้าหมดแล้ว!”
“ชู่ว เจ้าเบาๆ หน่อย อย่าทำให้สัตว์ที่จะล่าแตกตื่น”
ท่ามกลางผู้คนที่คอยอยู่ข้างนอก มีคนแสดงความไม่พอใจต่อลมที่พัดเข้ามา พลันก็มีคนติงเตือนในทันที
ในตอนนี้ เป็นตอนที่ท้องฟ้ามืดมากที่สุดและก็เป็นตอนที่สติปัญญาของมนุษย์ค่อยๆถดถอยและง่วงมากที่สุดเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งแทบจะทุกคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอก ต่างก็เหน็ดเหนื่อยอย่างเป็นที่สุด แต่เพราะต้องทำตามคำสั่ง จึงจำเป็นต้องตั้งสติและปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
สายลมที่พัดมาพร้อมกับเศษฝุ่นและทรายเหล่านี้ ได้กลายเป็นไฟจุดประกายความไม่พอใจของพวกเขา
“กลัวอะไร ข้าเฝ้ามาทั้งคืนแล้ว ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา เขาอาจจะกำลังหลับสบาย เรากลับมาเฝ้าอยู่ที่นี่ราวกับเป็นคนโง่”
เสียงบ่นพึมพำ ค่อยๆ ดังขึ้นจากเหล่าผู้แข็งแกร่ง
“ก็จริง หากข้าเป็นคนผู้นั้น ก็คงจะไม่คิดหนีในยามวิกาลเช่นนี้หรอก อย่างไรก็ต้องสังเกตสถานการณ์ของที่นี่สัก 2 3 วัน จึงหาโอกาสที่เหมาะ สมในการหนีออกจากเมืองจื้อ” ใครบางคนได้วิเคราะห์อย่างมีประสบการณ์
การเฝ้าสังเกตสถานการณ์อย่างเคร่งครัด กลับค่อยๆ กลายเป็นผ่อนคลายลงเรื่อยๆ
ทันใดนั้น เงาสีดำ 20 กว่าสายที่บินออกจากเรือนรับรองตระกูลเว่ยก็ได้กระโจนเข้าสู่ความมืดยามราตรีราวกับดวงวิญญาณก็ไม่ปานและกระจายตัว ออกไปยังทิศทางที่ต่างกัน