Skip to content

พลิกปฐพี 135-2

ตอนที่ 135-2

ศิษย์น้องมู่เจ้าจงใจ!

กู่หยาพูดอีกว่า “ราวกับจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่เจ้านั้นเดิน เข้าไปหาคุณชาย”

กู่เย่พยักหน้าอีกครั้ง

กู่หยาอยากจะร้องไห้ พลันอุทานในใจว่า ‘ท่านประมุข ท่านอย่าแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของมากถึงเพียงนี้ได้ไหม เขาเพียงแค่คุยกันประโยคเดียวเท่านั้น!’

เหมยจื่อจ้งขึ้นเวทีที่หนึ่งไป ทันใดนั้นก็มีเสียงให้กำลังใจของทุกคนก็ดังขึ้น

การแข่งขันเริ่มขึ้น ราวกับสามารถปลดปล่อยลูกศิษย์โรงโอสถจากความกดดันที่เกิดขึ้นเพราะท่านองค์มหาปราชญ์ได้

หลังจากที่เกือบจะทุกคนขึ้นเวทีไป มู่ชิงเกอจึงเดินไปยัง เวทีที่แปด

ทันทีที่นางขึ้นเวทีไป เสียงจากรอบข้างก็ดังเป็นอย่างมาก เสียงแสดงการให้กำลังใจอันกึกก้องจนน่าตื่นตระหนก แทบจะพลิกแผ่นดินโรงโอสถขึ้นมา!

“ศิษย์น้องมู่! ศิษย์น้องมู่! ศิษย์น้องมู่!”

“มู่เกอ—–! มู่เกอ—–!”

เสียงดังขึ้นอย่างไม่หยุด ราวกับคลื่นทะเล

ความเป็นมิตรไมตรีอันแรงกล้าที่มีให้มากกว่าอันดับหนึ่งอย่างเหมยจื่อจ้ง แต่ว่า เหมยจื่อจ้งกลับไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจ กลับมีรอยยิ้มและความรู้สึกภาคภูมิใจซ่อนอยู่ในสายตาของเขา

ไม่เพียงแค่เขา บุคคลต้นแบบบนเวทีที่สาม สี่และห้า ล้วนมองกันด้วยรอยยิ้มไม่ได้แสดงความอิจฉาเลยแม้แต่น้อย

มีเพียงเตียวหยวนที่ยืนอยู่บนเวทีที่สอง ใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมนิ่งขรึมลงหลายส่วน ท่าทางเย็นเยียบขึ้นในทันที

แต่ว่า การเปลี่ยนแปลงจากเขาไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนบรรยากาศในตอนนี้ได้ถึงขั้นว่า เขาได้กลายเป็นคนที่ถูกมองข้ามไปแล้ว

“ลูกศิษย์ผู้นี้ได้รับการสนับสนุนมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” เซี่ยเทียนอู๋พูดอย่างตื่นตะลึง คนที่เป็นที่ชื่นชมมากถึงเพียงนี้ สำหรับโรงโอสถกลางนั้น พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน อีกสามคนก็ตื่นตะลึงเช่นกัน แต่ก็ยังคงสงสัยในความสามารถของมู่ชิงเกอ เพราะอย่างไรก็ตาม อายุของเขาก็เห็นกันอยู่ แม้จะเก่งกาจเพียงใดก็ตาม อย่างมากก็แค่นักปรุงยาระดับสูงก็เท่านั้น ในโรงโอสถกลาง นักปรุงยา ระดับสูงที่อายุเท่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มี

เสียงให้กำลังใจราวกับคลื่นความร้อน ที่ทำให้อุณหภูมิในสถานที่แข่งขันเพิ่มขึ้นหลายระดับ

ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความฮือฮาเมื่อครั้งมู่ชิงเกอประลองกับซ่งอวี้ ปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดที่ไม่เคยเห็นพวกนั้นทำให้พวกเขาตั้งหน้ารอคอยความตื่นตาตื่นใจที่มู่ชิงเกอจะนำพามาให้พวกเขาอีกหน!

รอยยิ้มตรงมุมปากของซือมั่วแฝงความเอ็นดู ดวงตาของเขาจ้องอยู่บนร่างของคนที่ยืนอยู่บนเวทีที่แปด

ราวกับว่า ในโลกนี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่มีค่าพอที่จะทำให้ตนเองหยุดสายตาได้

เสียงให้กำลังใจที่ดังสะเทือนภูเขานี้ เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติเป็นที่สุด ถึงขั้นที่คิดว่ายังไม่พอ เพราะว่าคนผู้นั้น คือเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา! เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา ไม่มีใครสามารถเทียบได้!

“มู่เกอ—–! มู่เกอ—–!”

“ศิษย์น้องมู่! ศิษย์น้องมู่! ศิษย์น้องมู่!”

มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่บนเวทีที่แปด กวาดสายตาอันสว่างไสว ผ่านใบหน้านิ่งขรึมของหัวชางซู่ มองโหลวชวนป่ายที่ยิ้มอย่างเบิกบานแล้วพลันยกมือขึ้นประสานหมัด

แม้จะเป็นการกระทำง่ายๆ ทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง เสียงให้กำลังใจทั้งหมดเงียบลง ราวกับพร้อมใจกัน ลูกศิษย์โรงโอสถที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ล้วนเงียบพร้อมกับ การกระทำของนาง แต่ทว่า พวกเขายังคงกรีดร้องในใจ เพราะท่วงท่าอันหล่อเหลานั้นแทบจะทำให้คุ้มคลั่ง!

“ศิษย์น้องมู่ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน!” มีลูกศิษย์หญิงบางคนกัดผ้าเช็ดหน้า และพูดด้วยใบหน้าอันเขินอาย

“สวรรค์! ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” และมีลูกศิษย์ชายที่ทนความรู้สึกปั่นป่วนในใจไม่ได้จนต้องคำรามออกมาเสียงต่ำ

เพียงการกระทำอันแสนเรียบง่าย กลับสามารถควบคุมทั่วทั้งบริเวณเอาไว้ได้ พลังแห่งการควบคุมและผลกระทบเช่นนี้ ทำให้ท่านผู้อาวุโสจากโรงโอสถทั้งสี่อดตะลึงไม่ได้!

พวกเขาล้วนแปลกใจว่า มู่เกอเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้รับการชื่นชมและได้รับการสนับสนุนมากถึงเพียงนี้ หรือว่าโรงโอสถย่อยจะมีอัจฉริยะเกิดขึ้น แต่พวก เขาไม่รู้อย่างนั้นหรือ

หลังจากนั้นทั้งสี่ก็มองหัวชางซู่ด้วยสายตาที่ แฝงการสอบสวนในทันที

ทันใดนั้น หัวชางซู่พลันรู้สึกว่า ข้างหลังของตนเองราวกับมีเข็มทิ่มแทงซึ่งมันทรมานเป็นอย่างมาก

“หัวหน้าหัว เหตุใดมู่เกอผู้นี้จึงได้รับการสนับสนุนจากเหล่าลูกศิษย์มากถึงเพียงนี้” เซี่ยเทียนอู๋เป็นตัวแทนของทั้งสี่ในการถามคำถามนี้

หัวชางซู่ทำหน้าไม่ถูก แต่ก็จำเป็นต้องตอบคำถามของเหล่าท่านผู้อาวุโส เขาพูดอย่างยากลำบากว่า “คนผู้นี้ เมื่อครั้งทำการทดสอบเข้าสู่โรงโอสถ ได้ผ่านการทดสอบของหอแห่งสติปัญญาและได้รับผลแห่งการหยั่งรู้ไปเป็นรางวัล”

ทั้งสี่เบิกตาโตในทันที

ผลแห่งการหยั่งรู้คือสิ่งใด คนในโรงโอสถย่อยอาจจะไม่รู้ แต่ในโรงโอสถกลาง ทุกคนย่อมรู้ดี

หากผ่านการทดสอบของหอแห่งสติปัญญา ก็จะได้รับผลแห่งการหยั่งรู้เป็นรางวัล เพื่อเพิ่มระดับสติปัญญาหยั่งรู้ของตนเองให้สูงขึ้นและถึงขั้นก้าวกระโดด

ทว่า ไม่ว่าจะเป็นโรงโอสถกลางหรือโรงโอสถย่อย ก็ยังไม่เคยมีใครผ่านการทดสอบทั้งหมดของหอแห่งสติปัญญาได้

เพราะฉะนั้น ผลแห่งการหยั่งรู้จึงยังไม่เคยมีใครได้ครอบครอง

แต่ว่า ตอนนี้พวกเขาได้ยินอะไร ลูกศิษย์ใหม่คนหนึ่ง กลับผ่านการทดสอบของหอแห่งสติปัญญาและได้รับผลแห่งการหยั่งรู้อย่างนั้นหรือ! ไม่เพียงแค่เป็นคนแรกของโรงโอสถย่อยแต่ยังเป็นคนแรกของโรงโอสถกลางด้วย!

ความตื่นตระหนกยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น

หัวชางซู่พูดอีกว่า “หลังจากที่เข้าโรงโอสถมา นอกจากเขาจะสามารถปรุงยาระดับสูงที่มีคุณภาพระดับสูงสุดในการประลองปรุงยาได้แล้ว ก็ยังมีเมฆาโอสถเกิดขึ้น และเมฆาโอสถยังรวมกันจนกลายเป็นบุษบงโอสถ”

พูดประโยคนี้จบ เขาก็ราวกับกัดฟันของตนเองจนแหลกละเอียดไปแล้ว

“อะไรนะ!” ทั้งสี่พูดด้วยความตื่นตระหนก ผู้ที่ไม่เคยปรุงยา ไม่มีทางรับรู้ได้ว่าการจะเกิดเมฆาโอสถนั้นยากมากเพียงใด และการที่เมฆาโอสถจะกลายเป็นบุษบงโอสถนั้นยากเพียงใด พ่อหนุ่มคนนี้สามารถทำได้ถึงเช่นนี้จริงๆ หรือ

“มีทั้งหมดกี่ดอก” ชางเอ๋อร์จื่อถามอย่างลืมตัว

หัวชางซู่กระตุกมุมปากอย่างแรงทีหนึ่ง และเปล่งเสียงลอดไรฟันออมา “เจ็ดดอก”

สูด——!

เสียงหายใจเข้าของทั้งสี่ พร้อมเพรียงกันเป็นอย่างมาก พร้อมกับความตื่นตระหนกในสายตาที่กักเก็บเอาไว้ไม่อยู่

พวกเขาราวกับเข้าใจบ้างแล้วว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงได้รับการสนับสนุนถึงเพียงนี้

ทันใดนั้น ภาพจำที่พวกเขามีต่อมู่ชิงเกอ ก็เปลี่ยนจากพ่อหนุ่มชอบเอาหน้าเป็นอัจฉริยะพลิกฟ้า!

“ในเมื่อเขาเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงอยู่เพียงตำแหน่งที่แปด” หลังจากตื่นตระหนกไปแล้ว หลี่เหรินจึงถามคำถามของตนเอง

หัวชางซู่ไม่อยากตอบคำถามนี้เลยจริงๆ เพราะอย่างไรก็ ตามคนที่มู่ชิงเกอเอาชนะได้ก็คือลูกศิษย์ของเขา

ท่ามกลางความลังเลของเขา โหลวชวนป่ายกลับตอบคำถามนี้แทนเขา “ลูกศิษย์คนนี้ของข้า เข้าโรงโอสถมาสองสามเดือน ยังไม่ทันได้แข่งขันการจัดอันดับก็ได้อยู่อันดับที่แปด เป็นเพราะว่ามีคนท้าประลองกับเขา เขาโชคดีที่ชนะจึงได้อันดับนี้มา”

สองสามเดือนหรือ

หลี่เหรินกระตุกมุมปากอย่างแรงทีหนึ่งและไม่พูดอะไรอีก

เซี่ยเทียนอู๋พูดกับโหลวชวนป่ายด้วยความชื่นชม “พี่ชวนป่าย ถือว่าได้ลูกศิษย์ที่ดีคนหนึ่ง!”

โหลวชวนป่ายก้มหน้าลงอย่างถ่อมตนและโค้งคำนับให้กับทั้งสี่คน ก่อนที่จะนั่งลงอีกครั้ง

การสนทนาของคนเหล่านี้ ลอยเข้าหูของซือมั่วอย่างไม่ตกหล่น รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาชัดเจนมากกว่าเดิม เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาน่าทึ่งถึงเพียงนั้น ช่างน่าประทับใจ

แม้กระทั่งกู่หยาและกู่เย่ ในสายตาก็ล้วนฉายความตะลึง

พวกเขาเห็นพัฒนาการของคุณชายกับตา ตั้งแต่เป็นร่างที่ไร้ค่าทำอะไรไม่ได้และค่อยๆก้าวขึ้นมาทีละก้าวๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ไม่เพียงแค่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่วนทางด้านการปรุงยายังน่าทึ่งมากถึงเพียงนี้อีกประการหนึ่ง ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงแค่สองปีเท่านั้น

บุคคลเช่นนี้…ยอดฝีมือเบื้องบนหรือพวกปีศาจ หากมาเทียบกับนาง ก็อาจถือได้ว่าเป็นการหาเรื่องอับอายขายหน้า!

พวกเขาหันมองท่านประมุขของตนเองอย่างเข้าใจและชื่นชมสายตาของท่านประมุข! อืม เก่งกาจมากถึงเพียงนี้ อัจฉริยะอันพลิกฟ้านี้ ควรค่าแก่การแย่งกลับไปให้เร็วที่สุด!

ท่านประมุขทำถูกแล้ว! ท่านประมุขช่างปรีชาสามารถนัก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version