ตอนที่ 135-3
ศิษย์น้องมู่เจ้าจงใจ!
ความฮือฮาที่มู่ชิงเกอขึ้นเวทีค่อยๆ สงบลงและการแข่งขันก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว เวทีที่หนึ่งถึงเวทีที่ห้า มีคนขึ้นมาท้าประลองน้อยมาก ราวกับว่า พวกเขารู้ดีว่าขึ้นไปอย่างไรก็ต้องแพ้ แต่บนเวทีที่หกถึงสิบ เวทีที่แปดที่มู่ชิงเกออยู่ กลับไม่มีผู้ท้าประลองมาต่อแถวเลยแม้แต่คนเดียว เห็นภาพนี้แล้ว มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองยังมีอีกคำถามที่ไม่ได้ถาม
นั้นก็คือ—–หากไม่มีคนมาท้าประลองต้องทำอย่างไร โชคดีที่ว่า คำถามนี้ของนางถือว่าไม่จำเป็น หลังจากที่อดทนรอครู่หนึ่ง ก็เห็นกับตาว่าตรงเวทีที่สอง มีผู้แพ้การประลองเดินลงมาคนหนึ่ง ในที่สุดหน้าเวทีของนาง ก็มีลูกศิษย์หญิงที่มีท่าทางเขินอายคนหนึ่ง
มู่ชิงเกออึ้งและพบว่า ตอนนี้หน้าเวทีของนางมีลูกศิษย์หญิงยืนอยู่เต็มไปหมด
หลังจากที่ลูกศิษย์หญิงผู้นั้นขึ้นเวทีมา ก็อธิบายกับมู่ชิงเกอทันทีว่า “ศิษย์น้องมู่เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้จะมาแย่งตำแหน่งของเจ้า ข้า…ข้าสู้เจ้าไม่ได้หรอก ข้า เพียงคิดว่า…เพียงคิดว่าหากข้าเห็นเจ้าใกล้ๆ และได้ประลองการปรุงยากับเจ้าสักครั้งถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของข้า”
มู่ชิงเกอฟังแล้วอึ้งไป นางสัมผัสได้ว่ามุมปากของตนเองกระตุกเล็กน้อย
นางมองเหล่าลูกศิษย์หญิงหน้าเวทีที่มีท่าทางตื่นเต้น แล้วพูดอะไรไม่ออก แอบคิดในใจว่า “พวกเจ้าคงไม่ใช่คิดเช่นนี้กันทุกคนหรอกนะ!”
ยิ้มอย่างจำใจทีหนึ่ง มู่ชิงเกอพูดกับลูกศิษย์หญิงคนนั้นว่า “เชิญศิษย์พี่”
ลูกศิษย์หญิงต่างหน้าแดงด้วยความเขินอาย พูดกับมู่ชิงเกอว่า “ข้า…อย่างมากข้าก็ปรุงได้เพียงแค่ยาระดับกลาง”
มู่ชิงเกอกลับพูดอย่างใจเย็น “ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นก็ปรุงยาระดับกลางเถิด”
ความอบอุ่นเช่นนี้ ท่าทางเช่นนี้ ทำให้ลูกศิษย์หญิงข้างล่างเวทีใจละลายอีกครั้งและตื่นเต้นเป็นที่สุด
เป็นความดุเดือดที่ต่างจากเวทีอื่นๆ เวทีของมู่ชิงเกอนั้นช่างชุ่มชื่นและคึกคักเป็นอย่างมาก
แม้บนเวทีอันดับหนึ่งของเหมยจื่อจ้ง ก็มีลูกศิษย์หญิงมายืนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ดุเดือดเหมือนดั่งเวทีที่แปด
ชีอมั่วเห็นแล้วสายตาเย็นเชียบขึ้นมา กู่หยาและกู่เย่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ล้วนถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อสัมผัสได้ว่า ท่านประมุขของตนเองจะควบคุมไอสังหารเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป กู่หยาจึงรีบพูดว่า “ท่านประมุข พวกนั้นล้วนเป็นหญิง เป็นหญิง”
“เป็นหญิงอย่างนั้นหรือ” ซือมั่วขยับปากเบาๆ นํ้าเสียงอันเย็นเยียบแฝงการต่อต้าน “เป็นหญิงก็ไม่ได้”
กู่หยาและกู่เย่อยากร้องไห้แต่ไร้ซึ่งนํ้าตา พลางแอบคิดในใจว่า “ท่านประมุขนะท่านประมุข ท่านรู้อยู่แล้วว่า คุณชายท่านนี้เป็นดอกไม้ที่ล่อผีเสื้อเข้าหาได้ง่าย เหตุใด จึงต้องมาหาเรื่องให้เจ็บใจด้วย”
ในขณะที่พวกเขาเป็นกังวลกลัวว่าท่านประมุขของตนเองจะระเบิดออกมา อยู่ๆ บริเวณเวทีที่แปดก็มีเสียงร้องตื่นตระหนกตังขึ้น
ทั้งสองจึงหันไปมองในทันที เห็นว่าบนเวทีที่แปด หม้อยาที่อยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอมีควันสีดำกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าการปรุงยาล้มเหลว
หญิงสาวที่ประลองกับนางงุนงง แล้วมองหม้อยาของมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าของเหล่าลูกศิษย์หญิงที่รออยู่ข้างล่างเวทีก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ถึงขั้นที่ว่า ผู้ชมทั้งหลายล้วนมองเวทีที่แปดอย่างตื่นตระหนก
“มู่เกอเป็นอะไรไป พลาดได้อย่างไร” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างไม่เข้าใจ
เว่ยฉียังถือว่าใจเย็น พลันพูดกับนางว่า “รอดูก่อน มู่เกอจะต้องมีแผนการของตนเองแน่”
การที่มู่ชิงเกอพลาด ดึงดูดความสนใจจากเวทีอื่นๆ พวกของเหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงต่างก็แปลกใจ ส่วนเตียวหยวนก็เยาะเย้ยด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ
หลี่เหรินยิ้มเยาะ “เจอกับลูกศิษย์หญิงก็เสียสมาธิ จนไม่สามารถปรุงยาได้ ความสามารถจะมากเพียงใด ก็ยังถือว่าเด็กเกินไป!”
ในสาย ตาของหัวชางซู่ดูสะใจอยู่ไม่น้อย
มู่ชิงเกอแพ้ไปแล้วหนึ่งครั้ง และถึงขั้นเสียตำแหน่งไป
ส่วนเตียวหยวน ชนะสองครั้งติด หากชนะอีกรอบ ก็จะได้รับสิทธิ์
เขามองโหลวชวนป่ายที่ใบหน้าแนบนิ่งและพูดอย่างแฝงความนัยว่า “ปรมาจารย์โหลวยังนั่งนิ่งอยู่ได้”
โหลวชวนป่ายกลับยิ้มอย่างนิ่งเฉย “นี่เป็นโชคชะตาของพวกเขา ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็ไม่สำคัญ”
ความนิ่งสงบของเขา ทำให้ท่าทางได้ใจของหัวชางซู่กลายเป็นเรื่องตลกอย่างชัดเจน สายตาของหัวชางซู่เย็นเยียบขึ้นและไม่พูดอะไรอีก
“ข้าแพ้แล้ว” มู่ชิงเกอพูด
จากนั้นก็เอามือไพล่หลัง เงยหน้าและยืดหลังตรงเดินลงจากเวทีไป
ท่าทางเช่นนั้น ไม่เหมือนผู้แพ้เลยแม้แต่น้อย สำหรับเวทีที่แปด นางยิ่งไม่มีความอาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย
ลูกศิษย์หญิงยืนอยู่บนเวทีด้วยความอึ้ง แสดงให้เห็นว่า ยังไม่สามารถรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้
มู่ชิงเกอเดินลงเวทีไป เหล่าลูกศิษย์หญิงที่ล้อมกันอยู่รอบเวทีก็หลีกทางให้
หลังจากที่นางเดินลงจากเวทีแล้ว ยังไม่ทันได้ยืนรออยู่ที่เดิมก็เดินมุ่งไปยังเวทีที่สองในทันที
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนมองตามนาง จนกระทั่ง นางเดินขึ้นเวทีที่สองไปอย่างผ่อนคลาย บนเวทีอื่นๆ ที่ ยังไม่เริ่มการประลองก็พลันหยุดลงทั้งหมด ทุกคนล้วนมองไปยังเวทีที่สองท่ามกลางความเงียบสงบ
มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าเตียวหยวน สบกับสายตาอันโหดเหี้ยม พลันเผยรอยยิ้มบางๆ “ศิษย์พี่เตียว มู่เกอมาขอคำชี้แนะ”
ทันใดนั้น ทุกคนก็กระจ่าง การประลองเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดการผิดพลาด แต่ว่าจงใจ!
มู่เกอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้ทิ้งการรักษาตำแหน่ง เพื่อไปท้าประลองกับเวทีที่สองอย่างเตียนหยวน!
“เหอะๆ รอมาตั้งนาน ในที่สุดก็มีละครสนุกๆให้ดูแล้ว” มีคนถูฝ่ามือแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม
พวกของจ้าวหนานซิงเองก็กระจ่างและเข้าใจจุดประสงค์ของมู่ชิงเกอ
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้คุยกันแล้วว่าจะสั่งสอนเตียนหยวนอย่างไร ตอนนี้มู่ชิงเกอได้ใช้การกระทำในการบอก พวกเขาว่าสั่งสอนอย่างไรจึงจะระบายความแค้นได้ดีที่สุด
มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจ อยู่ๆ จ้าวหนานซิงก็ทำโอสถหกเพราะ ‘พลาด’ ท่ามกลางความอึ้งของคู่ประลอง จ้าวหนานซิงก็เดินลงจากเวทีไปอย่างผ่อน คลายและมุ่งไปยังเวทีที่สิบที่นั้นเป็นเวทีที่ซ่งอวี้เพิ่งจะชนะการประลองและขึ้นมายืนจากการโค่นล้มเจ้าของตำแหน่งคนเก่า เมื่อเขาเห็นว่าจ้าวหนานซิงมองเข้ามาทางเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขมขื่นในทันที
เมื่อมีจ้าวหนานซิงเป็นผู้นำ ซางจื่อซูเองก็ ‘พลาด’ และถอยออกจากเวที เดินมุ่งไปยังอีกเวทีที่มีลูกศิษย์ของหัวชางซู่รักษาตำแหน่งอยู่
จากนั้น จูหลิงก็เองพลาดและเดินขึ้นไปบนเวทีของผู้ที่เคยอยู่ในสำนักเดียวกับตนเอง
สุดท้าย แม้กระทั่งเวทีที่หนึ่งอย่างเหมยจื่อจ้งก็พลาด เดินลงจากเวทีอย่างนิ่งสงบและมุ่งไปยังเวทีที่หก ซึ่งเจ้าของเวทีนันก็เป็นลูกศิษย์ในสำนักของหัวชางซู่ เหตุการณ์เช่นนี้ สร้างความฮือฮาให้กับทั้งสนาม
“พวกเขาต้องการทำอะไรกันแน่” เซี่ยเทียนอู๋พูดด้วยความแปลกใจ
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนดูออกว่า คนเหล่านี้ล้วนจงใจ
หัวชางซู่มองโหลวชวนป่ายด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่นัก พลางพูดเบาๆ ว่า “โหลวชวนป่ายเจ้าคิดจะทำอะไร”
โหลวชวนป่ายยกมือขึ้นอย่างผู้บริสุทธิ์ “ข้าก็เหมือนท่าน ไม่รู้อะไรเลย”