Skip to content

พลิกปฐพี 135-1

ตอนที่ 135-1

ศิษย์น้องมู่เจ้าจงใจ!

ในตอนแรก บรรยากาศก็เงียบมากอยู่แล้ว

แต่กลับมีคนมาขัดจังหวะการประกาศของหัวชางซู่ ทันใดนั้น สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนก็หยุดอยู่ตรงร่างของผู้ที่ ‘กล้าบ้าบิ่น’ นั้น

“ศิษย์น้องมู่!”

“ดูสิ ศิษย์น้องมู่จริงๆ ด้วย!”

“เขาถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เขาอยากจะประลองกับคนอื่น ๆ หรือ”

“แต่ว่า จากความสามารถของศิษย์น้องมู่แล้ว ถูกจัดให้อยู่อันดับที่แปดนั้นถือว่า เขาเสียเปรียบ!”

“หึๆ ข้ายังคิดว่า จะได้เห็นการแย่งชิงครั้งยิ่งใหญ่ที่แท้จริงเมื่อการแข่งขันของการจัดอันดับเริ่มขึ้นเสียอีก แต่ว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ การแข่งขันที่จะเกิดขึ้นต้องมีสีสันมากเป็นแน่”

บนอัฒจันทร์ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ล้วนกดเสียงให้ต่ำอย่างรู้ตัว บนแท่นชั้นสามตรงกลาง สีหน้าของหัวชางซู่ฉายความเคร่งขรึม มองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่แฝงความเย็นเยียบ บนแท่นชั้นที่สอง ท่านผู้อาวุโสทั้งสี่ที่มาจากโรงโอสถกลางก็เงยสายตาขึ้นและมองมู่ชิงเกอด้วยความไม่ชอบใจแวบหนึ่ง

ราวกับว่า ไม่พอใจกับการที่นางพูดแทรกขึ้นมา

“นี่เป็นลูกศิษย์ของใคร” ท่ามกลางท่านผู้อาวุโส อาวุโสที่ชื่อหลี่เหรินถามอย่างไม่ใส่ใจนัก

โหลวชวนป่ายที่นั่งอยู่ชั้นที่ตํ่ากว่าจึงยืนขึ้น แล้วหันไปโค้งคำนับ “เรียนท่านผู้อาวุโสหลี่ ลูกศิษย์ที่พูดเป็นลูกศิษย์ของข้าน้อยเอง อายุยังน้อยจึงทำเรื่องไม่สมควร ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสา”

ท่านผู้อาวุโสหลี่เงยสายตาขึ้นเล็กน้อย พลันถามว่า “แล้วเจ้าเป็นใคร”

โหลวชวนป่ายทำหน้าไม่ถูกในทันที นํ้าเสียงของท่านผู้อาวุโสท่านนี้ชักจะดูถูกกันเกินไปแล้ว แต่หัวชางซู่ที่ยืนอยู่อีกข้าง กลับแอบหัวเราะเยาะโหลวชวนป่ายในใจ เกรงว่าในแคว้นอันดับสามนี้ โหลวชวนป่ายไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว โหลวชวนป่ายตอบกลับอย่างโอนอ่อนในทันที “ข้าน้อย โหลวชวนป่าย เป็นปรมาจารย์ของโรงโอสถย่อย”

“เจ้าคือโหลวชวนป่ายหรือ” ท่านผู้อาวุโสหลี่เหรินยังไม่ทันได้พูดอะไร ท่านผู้อาวุโสที่ชื่อเซี่ยเทียนอู๋ก็พูดขึ้นอย่างรู้สึกสนใจ

เขาหันไปมองโหลวชวนป่าย ในสายตาแฝงความชื่นชม โหลวชวนป่ายสัมผัสได้ถึงนํ้าเสียงที่แฝงความชื่นชมของเขา จึงรีบหันไปพูดกับเขาว่า “ข้าน้อยเอง”

เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าในโรงโอสถอยู่บ้าง ได้ข่าวว่าความสามารถการปรุงยาของเจ้านั้นไม่เลว เหตุใดถึงไม่ไปโรงโอสถกลางเล่า”

โหลวชวนป่ายพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเป็นคนป่าเขา คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในตอนนี้หากไปโรงโอสถกลาง เกรงว่าจะไม่เหมาะและอาจทำให้โรงโอสถกลางต้องผิดหวัง”

“ที่ๆ ทุกคนล้วนอยากไป เจ้ากลับไม่อยาก น่าสนใจๆ หลังจากการแข่งขันจบลงแล้ว เราค่อยมานั่งคุยกัน” ท่าทางของเซี่ยเทียนอู๋เป็นกันเองมาก คำพูดที่พูดกับโหลวชวนป่าย ทำให้บรรยากาศอึดอัดก่อนหน้านี้หายไป ในขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนทุกคนว่า การแข่งขันคือ เรื่องหลัก อย่าได้ทำให้เสียเวลา อย่าลืมว่าด้านบนของทุกคนยังมีท่านเทพใหญ่อีกท่านหนึ่งอยู่ด้วย

ท่านผู้อาวุโสที่มาจากโรงโอสถกลางเป็นคนแบบใดกันเล่า ล้วนเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม

แอบสบสายตากันครู่หนึ่ง หลังจากนั้นต่างก็เงียบไป

“ชวนป่ายยินดีเสมอ” โหลวชวนป่ายโค้งคำนับเล็กน้อย พลันหันหลังและนั่งลง

หัวชางซู่รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจึงทั้งโกรธและแค้น สามารถโจมตีโหลวชวนป่ายได้แล้วเซียว แต่กลับทำให้เขาได้แสดงตัวตนกับท่านผู้อาวุโสจากโรงโอสถกลางเสียได้

แต่ว่า สถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้

เขาหันสายตาไปเล็กน้อย ใช้หางตาในการแอบมองปฏิกิริยาของผู้ที่นั่งอยู่ข้างบนสุด แต่กลับไม่ได้ความอะไร

‘ท่านประมุข คุณชายคิดจะทำอะไร’ กู่หยามองท่านประมุขที่ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ท่านนั้นปรากฏตัว เขาไม่หยุดยิ้มเลย ตนเองจึงได้ใช้วิธีส่งเลียงลับในการถาม

ผู้น่าสงสารอย่างเขา กลับไม่ได้รับคำตอบจากซือมั่ว ราวกับว่าในตอนนี้สมาธิทั้งหมดของซือมั่ว ถูกรวบรวมเอาไว้บนเวทีตรงผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างเย่อหยิ่ง

หัวชางซู่เก็บความโกรธเอาไว้ในใจและถามว่า “มู่เกอ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร เพียงแค่อยากถามให้แน่ใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมา ขอถามท่านหัวหน้าว่า ผู้ที่รักษาตำแหน่ง สามารถท้าประลองผู้รักษาตำแหน่งด้วยกันได้หรือไม่”

หัวชางซู่ขมวดคิ้ว ความรู้สึกของเขากำลังบอกเขาว่า จะต้องปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงพูดเสียงดังว่า “แน่นอนว่าไม่ได้หากจะท้าประลองกับผู้รักษาตำแหน่งด้วยกันเอง การแข่งขันก็จะวุ่นวายและผิดกติกามิใช่หรือ”

การรักษาตำแหน่งนั้นถือว่าเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง หากสามารถรักษาไว้ได้สามรอบก็ถือว่าชนะ ใครจะบ้าท้าประลองกับผู้ที่รักษาตำแหน่งด้วยกันเล่า ต้องรู้เอาไว้ว่า ความสามารถของผู้รักษาตำแหน่งและผู้ประลอง ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!

“ได้ เข้าใจแล้ว” มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก

ราวกับว่า นางได้คลายข้อสงสัยในใจแล้ว นางจะไม่ ‘เรียกร้องความสนใจ’ อีก

ใช่ ในสายตาของท่านผู้อาวุโสแห่งโรงโอสถ การกระทำของมู่ชิงเกอเมื่อครู่นี้ เป็นการเรียกร้องความสนใจและใช้คำพูดในการสร้างความประทับใจและอยากให้จดจำหน้านางเอาไว้

วิธีการเช่นนี้ เขาเคยเห็นจากที่โรงโอสถกลางมามากแล้ว คิดว่าจะสามารถตบตาพวกเขาได้หรือ

ท่านผู้อาวุโสทั้งสี่ล้วนยิ้มอย่างไม่ชอบใจ

จำหน้าได้แล้วอย่างไร ใครจะรู้ว่าเป็นความประทับใจในด้านที่ดีหรือไม่ดี แม้ว่าเจ้าคนที่พูดนี้จะรูปลักษณ์ภายนอกงดงาม น่าเย้ายวน แต่ว่า โรงโอสถของพวกเขาไม่ใช่ที่ที่ขายหน้าตา ใครจะสนใจว่ารูปลักษณ์ของเขาเป็นอย่างไร ความสามารถต่างหากที่สำคัญที่สุด!

ความคิดของทั้งสี่ หากซือมั่วรู้ ไม่รู้ว่าท่านเทพผู้นี้จะสังหารพวกเขาต่อหน้าทุกคนไปเลยหรือไม่

กล้าประเมินค่าเสี่ยวเกอเอ๋อ์ของเขาเช่นนี้ช่าง รนหาที่ตายโดยแท้!

“เอาเถิด กติกาการแข่งขันจบลงเท่านี้ อันดับทั้งสิบขึ้นเวทีการแข่งขันก่อน” หัวชางซู่ประกาศ

ผู้ท้าประลองทั้งหลายล้วนถอยหลังไปเตรียมตัวและรอคอยเวลา

เหมยจื่อจ้งที่เป็นอันดับหนึ่ง กลับไม่ได้รีบร้อนขึ้นเวทีที่หนึ่ง

แต่เตียวหยวน กลับรีบขึ้นบนเวทีที่สองไป แล้วก็ยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางอันสูงส่ง ดวงตาอันโหดเหี้ยมกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ข้างล่างเวที เพียงแต่ว่า เมื่อหันมองมู่ชิงเกอ สายตาของเขาพลันเปลี่ยนไป

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาจึงรู้สึกว่า คำพูดเมื่อครู่ของคนผู้นี้ เกิดขึ้นเพราะตนเอง

เตียวหยวนหยุดสายตาที่มู่ชิงเกอ ไม่นานนักจึงเคลื่อนสายตาออก

ในขณะนี้เองจ้าวหนานซิงพูดกับมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง เราต้องพยายามให้ดีที่สุด”

หลังจากที่ทั้งสี่พยักหน้า จ้าวหนานซิงก็กระโดดขึ้นบนเวทีที่สี่

“ท่านนั้น ราวกับจะเป็นองค์ชายแคว้นอวี๋” ท่านผู้อาวุโสที่ชื่อชางเอ๋อร์จื่อมองจ้าวหนานซิงแล้วพูด ท่าทางของหลี่เหรินฉายความเย่อหยิ่ง นํ้าเสียงแฝงความยโส “องค์ชายแล้วอย่างไร”

ชางเอ๋อร์จื่อมองเขาแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้ม แล้วเงียบไป หลังจากที่จ้าวหนานซิงขึ้นเวทีไปแล้ว จูหลิงเองก็ขึ้นไปบนเวทีที่ห้า รูปร่างของนางงดงามได้รูป เมื่อขึ้นเวทีไปแล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยบนที่นั่งชมล้วนตาเป็นประกาย แม้กระทั่งท่านผู้อาวุโสทั้งสี่ที่มาจากโรงโอสถกลางก็แอบมองหลายที

“ไม่คิดว่าโรงโอสถย่อยจะมีลูกศิษย์หญิงที่งดงามหยาดเยิ้มถึงเพียงนี้” ดวงตาของอาวุโสหยวนหูหรี่ลง พร้อมพูดอย่างคลุมเครือ

เซี่ยเทียนอู๋ที่นั่งอยู่ข้างเขารีบส่งเสียงไอเบาๆ พลางใช้สายตาเตือนเขาว่าอย่าลืมว่าข้างบนมีใครนั่งอยู่

สีหน้าของหยวนหูเปลี่ยนไปในทันทีรีบนั่งลงอย่างรู้ระวัง และไม่กล้าพูดอะไรอีก

แม้กระทั่งในขณะที่ซางจื่อซูผู้งดงามปานหยาดฟ้าขึ้นเวทีที่สามไป ในสายตาของเขาแม้จะมีความตะลึงแฝงอยู่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

บนห้าเวทีแรก นอกจากเวทีแรกแล้ว ล้วนมีคนยืนอยู่

เหมยจื่อจ้งไม่ได้เร่งรีบที่จะขึ้นเวที แต่กลับเดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ ดวงตาอันแนบนิ่งดั่งสายนํ้าจ้องนาง “มู่เกอ ไม่ว่าเจ้าจะกระทำอันใด จะต้องมั่นใจว่าตนเองจะได้ไปต่อ อย่าใช้ตนเองไปเดิมพันกับคนที่ไม่มีค่า”

ตรงมุมปากของมู่ชิงเกอแฝงรอยยิ้มจางๆ “ขอบคุณ ศิษย์พี่ที่เตือน” เหมยจื่อจ้งพยักหน้า ในดวงตาราวกับมีคำพูดมากมาย แต่เขากลับเม้มปาก หันกลับไปอย่างแนบนิ่ง แล้วเดินไปยังเวทีแรกไป

“บุคคลต้นแบบอันดับหนึ่งนี้ถือว่าบริสุทธิ์สูงส่งทีเดียว” เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าอย่างชมเชย ราวกับว่า เขาชื่นชมความนิ่งสงบและความท่าทางอันงดงามเป็นสง่าของเขา

ซือมั่วที่นั่งอยู่บนสุดหรี่ตาลงและมองไปยังเหมยจื่อจ้ง รอยยิ้มตรงมุมปากมีอะไรบางอย่างแอบแฝง

กู่หยาแอบมองกู่เย่ พลางใช้สายตาในการพูดว่า ‘สัมผัส ได้ถึงไอสังหารบางอย่างหรือไม่’

กู่เย่หยักหน้าอย่างเฉยชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version