ตอนที่ 150-5
สวรรค์! นี่มันปีศาจอะไรกัน
ในหมู่เมฆสีขาวไม่ทราบตำแหน่งแอบซ่อนเรือนขนาดเล็ก ดูร่มรื่นหลังหนึ่งไว้
ที่นี่ก็เป็นที่พักของไป๋หลี่เถิง
เขาหลังจากพามู่ชิงเกอมาถึงแล้วก็ส่งป้ายบางอย่างให้แก่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรับเอาไว้ก่อนจะก้มหน้ามองไป เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “ป้ายประจำตัวผู้อาวุโส?”
คิ้วของไป๋หลี่เถิงขยับขึ้นมาน้อยๆ เอ่ยว่า “เด็กน้อย เจ้าชนะแล้ว ตามที่ตกลงกันไว้ เจ้าหลังจากนี้ก็จะเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถกลาง เจ้าก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสหนึ่งเดียวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ คนที่จับจ้องเจ้าแน่นอนว่าจะต้องไม่น้อย เจ้าก็ต้องตั้งใจให้มากๆ เล่า!”
มู่ชิงเกอเป้ปาก ก่อนจะโยนป้ายประจำส่งกลับไป “ไม่ต้องการ”
ไป๋หลี่เถิงเร่งรีบรับป้ายประจำตัวเอาไว้ก่อนจะถลึงตา ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องการ” มู่ชิงเกอทวนคำตอบของตัวเองขึ้นอีกครั้ง
ไป๋หลี่เถิงพอแน่ใจว่าตนไม่ได้ฟังผิดแล้ว ก็พลันก้าวเท้ากระแทกลงมาด้านหน้าอย่างมีอารมณ์ชี้ด่าว่าไปทางมู่ชิงเกอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดต้องการแผ่นป้ายแผ่นนี้? รู้หรือไม่ว่าป้ายแผ่นนี้นำพามาซึ่งอะไร? เจ้าถึงกับบอกว่าไม่ต้องการมันกับข้า!”
มู่ชิงเกอกล่าวว่าอย่างนิ่งขรึม “เวลาของข้ามีจำกัด แล้วก็ยังยุ่งมาก สำหรับการเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถแล้วก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอันใด”
ที่นางกล่าวก็ล้วนแต่เป็นความจริง แต่สำหรับไป๋หลี่เถิงแล้วกลับฟังเป็นคำบ่ายเบี่ยง
เขาพยามยามสกัดกั้นความโกรธในใจก่อนจะกล่าวชี้นำขึ้น “เจ้าถ้าหากกลายเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถทุกปีก็สามารถเบิกตัวยาจากสาขาหลักและสาขารองของโรงโอสถได้ แล้วก็ยังมีทรัพยากรอื่นๆ อีก อีกทั้งคนที่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่อาณาจักรเซิ่งหยวนหรือว่าแคว้นอื่นๆ ก็ล้วนแต่จะได้รับความเคารพนับถือ ต่อให้ประมุขของแคว้นพบเจอเจ้า ก็ยังต้องนอบน้อมสุภาพด้วย เพราะสิ่งที่ตั้งอยู่ด้านหลังของเจ้าก็คือโรงโอสถทั้งสำนัก ตำรา บันทึกโบราณต่างๆ รวมถึง ต้นฉบับหายากในโรงโอสถพวกนั้นก็ยิ่งสามารถเปิดอ่านได้ตามใจ เช่นนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่คิดตอบตกลง?”
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ ยังคงกล่าวว่าอย่างนิ่งขรึม “อำนาจก็ตามมาด้วยภาระหน้าที่”
คำตอบถึงจะมีเพียงเท่านั้น แต่ไป๋หลี่เถิงก็จับใจความบางอย่างได้
เจ้าเด็กนี่ชัดเจนว่ากลัวจะต้องรับภาระ กลัวว่าจะถูกมัดมือมัดเท้าให้อยู่แต่ในโรงโอสถ
พอรู้ถึงสาเหตุแท้จริงที่มู่ชิงเกอปฏิเสธ ไปหลี่เถิงก็พลันกลายเป็นผ่อนคลายลง เขาจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “ถ้าหากข้าบอกว่าไม่ต้องการให้เจ้าทำอะไร?ไม่ต้องการให้เจ้ารั้งอยู่ที่โรงโอสถ และก็ไม่ต้องการให้เจ้าทำอะไรเพื่อโรงโอสถ เจ้าก็ยังคงสามารถไปจัดการเรื่องราวตามที่เจ้าวางแผนเอาไว้ ยังคงมีอิสระไม่ถูกกะเกณฑ์เจ้าจะยังปฏิเสธอยู่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น หรี่ตามองไปทางเขา “ในใต้หล้านี้มีเรื่องอันใดกันที่จะง่ายดายเช่นนั้น?”
ไป๋หลี่เถิงหัวเราะขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ในใต้หล้าเรื่องราวที่ง่ายดายก็มีตั้งมากมายจะตายไป เพียงแต่ว่าเจ้า แต่ก่อนไม่เคยพบก็เพียงเท่านั้น”
มู่ชิงเกอส่ายหน้า แววตาทั้งสองข้างกระจ่างชัด “ข้าไม่เชื่อ”
คำสั้นๆ สามคำแต่กลับทำเอาไป๋หลี่เถิงต้องลอบกัดลิ้นตัวเอง กล่าวอย่างนึกเจ็บใจ เจ้าเด็กนี่ก็หลอกล่อไม่ง่ายนัก
หลังจากทอดถอนใจเสร็จ ไป๋หลี่เถิงก็พลันกล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน “เอาเถิด ใต้หล้านี้ก็ไม่มีเรื่องราวที่ง่ายดายเช่นนั้นจริงๆ แต่ว่าที่ข้ากล่าวไปก็เป็นความจริง หากเจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถก็สามารถได้สิทธิ์ต่างๆ ของผู้อาวุโสของโรงโอสถได้ทั้งหมด และอะไรก็ไม่ต้องทำ เจ้าเพียงแค่ศึกษาศาสตร์การปรุงยาของเจ้าต่อไป พัฒนาระดับชั้นของตัวเองไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว”
“เพราะอะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วกล่าวว่า
ไป๋หลี่เถิงมองดูนางก่อนจะค่อยๆ ส่ายหน้าขึ้น “มีบางเรื่องนอกจากเจ้าจะรับแผ่นป้ายแผ่นนี้ไปแล้วข้าถึงจะสามารถบอกเจ้าได้ เจ้าเพียงแค่เชื่อมั่นว่าข้าไม่มีทางคิด ร้ายต่อเจ้า กลับกันหากเจ้ายอมรับมันแล้วเจ้าก็จะมีแต่ได้ผลดี”
มู่ชิงเกอนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นํ้าเสียงเกิดลังเลขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านหัวหน้ากล่าวคลุมเครือเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่ปิดบังเอาไว้นั้นร้ายแรงนัก”
ไป๋หลี่เถิงโบกมือไปมา กล่าวว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรง ข้าจะกล่าวกับเจ้าเช่นนี้ก็แล้วกัน หลังจากเจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถแล้ว หนึ่งเดียวที่ต้องทำเพื่อโรงโอสถ ก็คือการเข้าร่วมการแข่งขันในการหลอมโอสถสนามหนึ่ง”
“แข่งขันหลอมโอสถ?” คิ้วของมู่ชิงเกอขมวดแน่นเข้าหากัน
จากที่นางรู้มา ขุมกำลังหลักในด้านการปรุงยาของหลินชวนก็คือโรงโอสถ ยังจะมีการแข่งขันปรุงยาอะไรอีกที่ทำให้โรงโอสถต้องให้ความสำคัญถึงขนาดต้องเอา ตำแหน่งผู้อาวุโสมาแลกเปลี่ยนกับนาง?
“ที่สามารถบอกได้ก็มีเพียงแค่เท่านี้ เจ้าเพียงแค่เลือกว่าจะตกลงหรือไม่ตกลง” ไป๋หลี่เถิงมองไปทางมู่ชิงเกอ รอคอยการเลือกของนาง
มู่ชิงเกอก็พลันครุ่นคิดขึ้นมา
การแข่งขันหลอมโอสถที่โรงโอสถให้ความสำคัญ ถ้าหากนางรู้แล้ว เกรงว่าก็คงจะต้องไปลองดูสักหน่อยแล้ว เหมือนกับว่าการตอบตกลงหรือไม่ตกลงกับไป๋หลี่เถิง สำหรับทิศทางในอนาคตของนางแล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนัก
“ได้ ข้าตกลง” มู่ชิงเกอให้คำตอบของตนออกไปอย่างรวดเร็ว
คำตอบนี้ก็ทำเอาไป๋หลี่เถิงยิ้มเบิกบานใจขึ้นมา เขาหยิบแผ่นป้ายส่งไปให้มู่ชิงเกออีกครั้ง พร้อมกับกล่าวกับนางว่า “เจ้าตอนนี้ขอเพียงแค่ภายในสามปีเข้าสู่ระดับ สมบัติได้ก็เพียงพอแล้ว พอถึงตอนนั้น ข้าแน่นอนว่าจะเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟังเอง”
“สามปี? นักปรุงยาระดับสมบัติ?” มู่ชิงเกอนัยน์ตาหดเล็กลง
ไปหลี่เถิงก็ยิ้มขึ้นราวกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “ทำไม เจ้าไม่มีความมั่นใจในตัวเองรึ?”
สามปี จากนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณเข้าสู่นักปรุงยาระดับสมบัติ
เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วชัดเจนว่าเป็นภารกิจที่ไม่สามารถทำสำเร็จได้ แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ที่นางไม่รู้ก็คือ ก่อนหน้านางนั้นไป๋หลี่เถิงก็คิดจะเลือกจิ่งเทียนให้จัดการกับภารกิจในครั้งนี้ ถึงแม้ว่านิสัยของเขาจะนับว่าไม่ได้ดีอะไร แต่พรสวรรค์ของเขาก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้
แต่ เซี่ยเทียนอู๋กลับเอาข่าวเกี่ยวกับมู่ชิงเกอนำกลับมาให้เขาเสียก่อน
จากวันนั้นมาจิ่งเทียนก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวอีก มู่ชิงเกอก็กลายเป็นตัวเลือกของไป๋หลี่เถิงด้วย
การท้าประลองโอสถของจิ่งเทียนในครั้งนี้ก็เป็นโอกาสให้ไป๋หลี่เถิงสามารถตัดสินใจได้อย่างพอดี
และก็เป็นมู่ชิงเกอที่เอาชนะได้จริงๆ!
มีความมั่นใจหรือไม่ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ใช้คำพูดกล่าวออกมา นางเก็บแผ่นป้ายลงไปก่อนจะหันไปกล่าวกับไป๋หลี่เถิง “เป็นการแข่งขันหลอมโอสถเช่นไร”
ไป๋หลี่เถิงเพียงกล่าวแค่ว่า “การแข่งขันนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่หลินชวน”
แค่ตัวอักษรไม่กี่ตัวนั่นก็เผยข้อมูลออกมามากมายแล้ว นี่ก็ทำเอามู่ชิงเกอแววตาไหววูบขึ้น พริบตาก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมา
แม้ว่านางจะตกลงไปในหลุมกับดักของไป๋หลี่เถิงจริงๆ นางก็ขอยอมรับแล้ว!
“ใช่แล้ว หม้อผลาญสวรรค์…” ไป๋หลี่เถิงอยู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อ ทำเอาแววตาของมู่ชิงเกอฉายแววระแวดระวังขึ้นมา
สัมผัสได้ถึงสายตาระแวดระวังของนาง ไป๋หลี่เถิงก็พลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้าก็เห็นข้าเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยรึ? ในเมื่อหม้อผลาญสวรรค์เป็นคนเลือกเจ้าเอง ข้าแน่นอนว่าไม่มีทางเอามันกลับมา อีกทั้งหากมีหม้อผลาญสวรรค์คอยช่วยเจ้าอีกแรง ความสามารถของเจ้าก็คงจะก้าวหน้าไปเร็วขึ้น ข้าที่กล่าวถึงหม้อผลาญสวรรค์ก็เพียงแค่อยากบอกเจ้าว่า มันไม่ได้มีไว้แค่หลอมโอสถง่ายดายเช่นนั้น แต่เกี่ยวกับว่ามันมีความสามารถอะไรอีกนั้นก็คงอาศัยได้เพียงเจ้าที่จะค่อยๆ ไปค้นพบมัน ตัวข้านั้นก็ไม่รู้”
พอกล่าวจบ เขาก็แบมือออก ท่าทางช่วยอะไรไม่ได้
“ความสามารถอื่น?” ดวงตาทั้งสองข้างมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ครุ่นคิดถึงคำพูดของไป๋หลี่เถิง
“เอาล่ะ ที่ควรบอกก็บอกไปหมดแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” ไป๋หลี่เถิงโบกมือขึ้น ส่งมู่ชิงเกอกลับออกไป มู่ชิงเกอมองไปทางเขาหนหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง”
“ตามสบาย ตามสบาย” ไป๋หลี่เถิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ขอเพียงแค่ว่าตอนที่เจ้ากลายเป็นนักปรุงยาระดับสมบัติแล้ว กลับมาสักครั้งก็พอแล้ว”
“ข้ายังต้องการสัตว์บินได้อีกหนึ่งตัว” มู่ชิงเกอคิดแล้ว ก็เสนอความต้องการของตัวเองออกมา
นางก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสของโรงโอสถรึ? เช่นนั้นทรัพยากรของโรงโอสถก็ควรจะมีให้ใช้พร้อมสรรพถึงจะถูก!
ไป๋หลี่เถิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมองไปทางนาง เบิกตาขึ้น ดูไม่ออกว่ากำลังโกรธ สุดท้ายแล้วกล่าวว่าอย่างหมดความอดทน “เอาไปเถอะ เอาไปเถอะ แต่ว่าข้าขอกล่าวเตือนเจ้า สัตว์บินได้จะเอาไปที่ไหนก็เอาไปได้แต่ว่าไปที่แคว้นหรงไม่ได้”
“ทำไม?” มู่ชิงเกอแววตาไหววูบถามขึ้นมา
ไป๋หลี่เถิงกล่าวอย่างนึกโมโหว่า “สำนักหมื่นอสูรที่แคว้นหรงล้วนเป็นพวกป่าเถื่อนกลุ่มหนึ่ง เป็นโจรขโมยทรัพย์!” พอกล่าวจบเขาก็เดินเข้าไปในด้านในของเรือนหลังเล็ก มอบแผ่นหลังไม่ยินยอมให้กับมู่ชิงเกอ
สำนักหมื่นอสูร?
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน เดินออกจากที่พักของไป๋หลี่เถิง
หลังจากกลับมาถึงตำหนักย่อยแล้ว นางก็เพียงแค่ทำการอำลาง่ายๆ ไม่กี่ประโยคก่อนจะพาซางจื่อซูเดินทางจากไป มุ่งตรงไปยังโรงเลี้ยงสัตว์บินของโรงโอสถ ใช้ ป้ายของผู้อาวุโสนำตัวสัตว์บินขนาดเล็กมาตัวหนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหลังมันแล้วบินไปทางเมืองกู่ซีเชิงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอาณาเซิ่งหยวน
บินเดินทางมาได้ห้าวันห้าคืน มู่ชิงเกอกับซางจื่อซูในที่สุดก็มาถึงเมืองกู่ซีเชิง
ที่นี่ก็ถือเป็นเมืองชายแดนเมืองสุดท้ายของอาณาจักรเซิ่งหยวน หากผ่านเขตชายแดนไปก็จะสามารถเข้าสู่แคว้นหรง
ปล่อยสัตว์บินส่งกลับไป มู่ชิงเกอก็พาซางจื่อซูเดินข้ามผ่านเขตชายแดน มาถึงยังเมืองเยว่เชิงของแคว้นหรง
จนถึงตอนนี้ ซางจื่อซูถึงเพิ่งรู้ว่าเป้าหมายของมู่ชิงเกออยู่ที่แคว้นหรง
“หลายวันมานี้ศิษย์พี่เร่งรุดเดินทางตามข้ามาก็คงเหนื่อยมากแล้ว พวกเราพักผ่อนกันที่นี่สักสองวันแล้วค่อยออกเดินทางต่อเถอะ” พอเห็นใบหน้างดงามของ ซางจื่อซูมีแววอ่อนล้า มู่ชิงเกอก็กล่าวอย่างรู้สึกผิด ซางจื่อซูส่ายหน้าเบาๆ บอกว่าตัวเองไม่เป็นไร แต่อยู่ๆ ก็พลันมีเสียงหยอกเย้าสายหนึ่งดังแทรกเข้ามา “คุณหนูบ้านไหนกันถึงได้มีโฉมงามหมดจนเช่นนี้?”