ตอนที่ 140-3
คนนอกแดน พวกเจ้าคิดจะก่อเรื่องหรือ
เล่อเทียนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแต่เจ้า”
ในขณะที่ได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอ ฉินจิ่นเฉินก็มองออกไป บนท้องฟ้าที่ไกลออกไปอย่างอึ้งๆ เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับเขาอีก แต่ก็เหมือนกับจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องปรากฏตัว
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ล้วนคิดไปต่างๆ นานา ในขณะที่กำลังรอคอยการปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมา
การสั่นสะเทือนที่ไม่มากนี้ไม่ถือว่าชัดเจนมากนัก แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้
ทันใดนั้น ในบริเวณที่ไกลออกไป ก็มีบางสิ่งสีขาวและมีขนาดใหญ่กระโดดพุ่งมาที่กำแพงวังหลวง สิ่งที่พุ่งลงมานี้ทำให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นประชาชน ทหารป้องกันเมือง หรือองครักษ์ส่วนพระองค์ล้วนแยกออกจากกันเป็นสองข้าง เว้นพื้นที่อันแสนกว้างเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ตูม—–!
เสียงการตกกระทบลงพื้นของสิ่งนั้นดังสนั่นและเกิดเป็นควันมากมาย ก่อนที่ทุกคนจะเห็นชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ทว่า เมื่อเห็นชัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร แทบทุกคนล้วน สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ!
สัตว์ตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า รูปลักษณ์คล้ายจิ้งจอก แต่ขนาดประมาณเรือนหลังหนึ่ง ร่างกายเป็นสีขาวหิมะ ล้วนไม่มีการแปดเปื้อนของสีใดเลยแม้แต่น้อย ขนส่องประกายสีทองออกมา ข้างหลังมีหางเก้าหางชี้ชูขึ้นฟ้า หางทุกหางล้วนมีอักขระลึกลับประทับเอาไว้ปลายหาง ส่องประกายเจ็ดสีออกมา
จิ้งจอกตัวใหญ่สีขาวมีสี่ขายืนอยู่บนพื้น กรงเล็บอันแหลมคมส่องแสงประกาย มันอ้าปากออก เผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม ประจันหน้ากับกำแพงวังหลวงด้วยท่าทางอันโหดเหี้ยมดุร้าย ในดวงตาทั้งคู่แฝงไอสังหารอันรุนแรง
“สวรรค์ช่วย! นั้นมันอะไรกัน”
“นี่เป็นสัตว์วิญญาณหรือ”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! ลั่วตูมีสัตว์วิญญาณได้อย่างไร! แถมยังเป็นสัตว์วิญญาณที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้!”
ทันใดนั้น ร่างกายของจิ้งจอกก็ส่องประกายแสงสีม่วงออกมา
ทุกคนล้วนตื่นตระหนก!
“สัตว์วิญญาณระดับสายม่วง!”
“สัตว์อสูรเทวะลวง!” เล่อเทียนหรี่ตาลง เผยความโลภออกมา
“พี่รอง ไม่คิดว่าที่เช่นนี้จะมีสัตว์อสูรเทวะลวง!” ใบหน้าของชายที่ท่าทางนิ่งเรียบเต็มไปด้วยความโลภ
ชายร่างกำยำก็ถูฝ่ามือ ความโลภในสายตาปิดไม่มิดเช่นกัน “สัตว์อสูรเทวะลวงนี้เป็นของข้าแล้ว”
คำพูดของเขา ทำให้สายตาของเล่อเทียนสาดฉายความเย็นเยียบออกมาทันที
“สัตว์…สัตว์อสูรเทวะลวง” เป็นครั้งแรกที่ฉินจิ่นหยางได้ยินคำคำนี้
เล่อเทียนอธิบายให้เขาอย่างอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก “สัตว์อสูรเทวะลวงเป็นสัตว์ที่ใกล้เคียงกับสัตว์สัตว์อสูรเทวะแค่เพียงขั้นเดียวเท่านั้น หากมันทะลวงอีกครั้งมันก็จะอยู่เหนือสายม่วง สัตว์อสูรเทวะลวงนี้เป็นสายเลือดที่วิเศษมาก หากเติบโตขึ้น จะมีพลังที่ยากจะประเมินออกมาได้”
ฉินจิ่นหยางฟังอย่างมึนงง รู้เพียงว่าสัตว์อสูรเทวะลวง เป็นสัตว์ที่เก่งกาจมาก
ทว่า เมื่อเขาเห็นร่างในชุดสีแดงที่ยืนอยู่บนศีรษะของจิ้งจอกชัดแล้ว กลับลืมทุกสิ่ง ทำได้เพียงตะโกนเสียงหลงว่า “มู่ชิงเกอ!”
หางจิ้งจอกทั้งเก้าที่ส่ายไปมาอยู่กลางอากาศค่อยๆ กางออก เผยให้เห็นสีแดงดั่งพระอาทิตย์อันเจิดจ้าที่ยืนอยู่บนศีรษะของจิ้งจอก
ทันใดนั้น ความตื่นตระหนกที่หยินเฉินนำพามา ก็ค่อยๆ หายไป ทุกคนจึงหยุดสายตาที่ร่างในชุดสีแดงอันงดงามไร้ที่เปรียบ
ฉินจิ่นเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปข้างหน้าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งสัมผัสกับกำแพงวังหลวงเขาจึงหยุด ดวงตาที่เห็นแจ้งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ราวกับกำลังจ้องมองเขา จนไม่สามารถละสายตาได้อีกต่อไป
“ท่านพ่อ เป็นชิงเกอ!” มู่เหลียนหรงเงยหน้าขึ้นมองบนศีรษะของจิ้งจอกที่ยืนอยู่ เห็นชายหนุ่มเสื้อผ้าปลิวไปตามสายลม ยืนเอามือไพล่หลังรับลมอยู่ จึงพูดอย่าง ตะลึง
มู่ซงพยักหน้าอึ้งๆ
พบกับหลานสาวสุดที่รัก เขาจึงพบว่าตนเองอ่านความคิดของนางไม่ออกอีกต่อไป
วินาทีที่เจ้าอ้วนเช่าเห็นมู่ชิงเกอ แววตาก็ร้อนแผ่วขึ้นมา และพูดอย่างเคารพว่า “ลูกพี่! ท่านช่างหล่อเหลาเหลือเกิน!”
ออกไปรอบนี้ กลับมาพร้อมกับสัตว์วิญญาณสายม่วง ช่างสมกับการเป็นบุคคลตัวอย่าง!
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนหัวหยินเฉินด้วยใบหน้าอันเย็นเยียบ ท่าทางสง่าราวกับมีดดาบที่บันดาลจากฟากฟ้า สาดความเกรี้ยวกราด ส่วนสูงของหยินเฉิน ทำให้นาง สามารถมองป้อมปราการสูงของวังหลวงได้ในระดับสายตา
สายตาที่นางมองทั้งสามเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ
กลับไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย ราวกับว่าในสายตาของนาง ทั้งสามเป็นแค่คนธรรมดา
กวาดสายตามองทั้งสามอย่างแนบนิ่ง นางมองฉินจิ่นเฉินแวบหนึ่ง สุดท้ายก็หยุดสายตาที่ฉินจิ่นหยาง
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ของนาง ร่างกายของฉินจิ่นหยางเกร็งขึ้นมาทันที ราวกับถูกบีบคอจนไม่สามารถหายใจได้
“ฉินจิ่นหยาง เจ้าดูสบายดี” นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอแนบนิ่ง
ทว่า ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบจากคำพูดของนาง
ฉินจิ่นหยางขาอ่อนจนแทบจะคุกเข่าลงไป อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ความกดดันและความหวาดกลัวที่ท่าทางของมู่ชิงเกอนำพามาให้กับเขามากขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้วเป็นอย่างมาก ทำให้เขาไม่กล้าตอบโต้!
แต่ทว่า มู่ชิงเกอพูดเพียงเท่านี้ก็หันกลับไป เผชิญกับประชาชนแคว้นฉิน แล้วพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ทุกท่าน ข้ากลับมาแล้ว”
พูดจบ นางก็หันมองแท่นประหาร กวาดสายตาจากเจ้าอ้วนเช่าผู้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและหยุดสายตาที่ท่านปู่และท่านอาของตนเอง “ท่านปู่ ท่านอา ข้า กลับมาแล้ว”
“เย้—–! ลูกพี่ของข้ากลับมาแล้ว!” อยู่ๆ เจ้าอ้วนเช่าก็ตะโกนขึ้นมา
ในสายตาของมู่ชิงเกอแฝงรอยยิ้มจางๆ มีเจ้าอ้วนเช่าเป็นผู้ริเริ่ม ประชาชนและทหารที่ได้สติจากความตื่นตระหนกล้วนอดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างพร้อม
เพรียงกันว่า “คุณชายจงเจริญ!คุณชายจงเจริญ!คุณชายจงเจริญ!”
พวกของโย่วเหอที่เร่งเดินทางกลับมาจากชายแดน ตอนนี้ก็มาถึงพอดี
จูหลิงมองร่างอันสง่าในชุดสีแดงที่ยืนอยู่บนศีรษะของราชาจิ้งจอกหิมะและฟังเสียงชื่นชมที่ดังจนแสบหู แล้วพูดอย่างตะลึงจนหาที่สุดไม่ได้ “ศิษย์น้องมู่มีชื่อเสียงในแคว้นฉินมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
ในตอนนี้ วินาทีนั้น นางราวกับรู้สึกว่าสีแดงอันเจิดจ้านั้น เป็นสีที่มีหนึ่งเดียวในโลก เมื่อพบกับนาง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถสู้ได้
คำพูดของจูหลิง ทำให้โย่วเหอพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน!”
“เจ้ากลัวอะไร!” บนกำแพงวังหลวง คำพูดของเล่อเทียน ทำให้ฉินจิ่นหยางสะดุ้ง และหลุดออกจากความกลัว
ใช่! ข้างๆ เขามียอดฝีมือสายม่วงถึงสามคน เหตุใดเขาต้องกลัวมู่ชิงเกอด้วย ฉินจิ่นหยางให้กำลังใจตนเอง พลันชี้มู่ชิงเกอและยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “มู่ชิงเกอ เจ้ากล้ามาคนเดียวเชียวหรือ!”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ พร้อมพูดอย่างขบขันว่า “เจ้าเตรียมการใหญ่โตเพื่อข้ามาขนาดนี้ ข้าไม่เตรียมตัวให้ดีเสียหน่อยจะออกมาได้อย่างไร”
ทันทีทีสินเสียงของนาง ก็มีคนเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบ “ฝ่าบาท—-! ฝ่าบาทแย่แล้ว—–! ฝ่าบาท—–! ฝ่าบาทแย่แล้ว—–!”
ฉินจิ่นหยางจ้องเขม็ง พูดด้วยความโกรธว่า “บังอาจ! เรายังสบายดี!”
ผู้มาเยือนตื่นตระหนกขึ้นมา และรีบพูดว่า “แนวหน้าแจ้งข่าวมาว่า ทหารตระกูลมู่หนึ่งแสนนายที่เฝ้าอยู่ที่เมืองอี้ไม่สนใจคำสั่งทหารและออกจากการบังคับบัญชา และกำลังมุ่งหน้ามายังลั่วตู”
“ว่าอย่างไรนะ!” ฉินจิ่นหยางเสียงหลง
“ไม่เพียงเท่านั้น ค่ายทหารอื่นๆ ก็ล้วนปิดค่ายและไม่รับคำสั่งจากราชวงศ์”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ฉินจิ่นหยางขาอ่อน ทหารของเขา องครักษ์ของเขา กลับขัดคำสั่งของเขาในเวลาเช่นนี้!
“รายงาน—–!”
ในขณะนี้เองก็มีคนวิ่งเข้ามาอย่างกระเซอะกระเซิง “รายงานฝ่าบาท นอกเมืองมีทหารจำนวนหนึ่งแสนนาย เข้าสู่ประตูเมืองและกำลังมุ่งหน้าเข้ามาในวังหลวงแล้ว”
ฉินจิ่นหยางขาอ่อนอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีด
“ทหารหนึ่งแสนนายอันใดกัน มาจากไหน เหตุใดข้าจึงไม่รู้” เสียงของฉินจิ่นหยางดูกระวนกระวาย
รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่ชิงเกอฉายความขบขันมากขึ้นเรื่อยๆ นางเสพสุขกับท่าทางตื่นกลัวของฉินจิ่นหยาง ราวกับเขายิ่งกลัวมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
“ทหารแสนนาย!” มู่เหลียนหรงมองท่านพ่อของตนเองด้วยความแปลกใจ
มู่ซงพยักหน้าอย่างสับสน “กองทหารพันเพลิงที่ข้าให้กับเกอเอ๋อร์ก่อนหน้านี้”
นี่เป็นสิ่งที่เขายกให้มู่ชิงเกอเพื่อเอาตัวรอด ไม่คิดว่าจะมาใช้ในวันนี้
“เจ้า! เจ้าใช่ไหม!” ฉินจิ่นหยางชี้มู่ชิงเกอด้วยท่าทางอันโหดเหี้ยมและพูดด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม “เจ้าริบังอาจควบคุมกำลังทหารโดยพลการ เจ้าไม่กลัวข้าศึกบุกรุกเข้ามาในแคว้นหรืออย่างไร”
มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาที่แฝงการเย้ยหยัน แล้วยิ้มเยาะ “เหตุใดข้าจึงต้องกลัว ในใจของฮ่องเต้แคว้นฉินอย่างเจ้ายังมิรักประชาชน ข้าเป็นเพียงแค่ชายเสเพล ของแคว้นฉิน เหตุใดจึงต้องเป็นห่วงประชาชนเหล่านี้”
“ตระกูลมู่ของพวกเจ้าให้ความสำคัญกับประชาชนที่สุด และมีหน้าที่อันสำคัญในการรักษาสงบสุขของแคว้นฉิน มิใช่หรือ” ฉินจิ่นหยางตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
สายตาของมู่ชิงเกอฉายความเคร่งขรึม พลันพูดอย่างเย็นเยียบ “ที่เจ้าหมายถึงคือมู่ซง มู่เหลียนเชิงและทหารตระกูลมู่จำนวนนับไม่ล้วนที่ต้องสละชีวิตเพื่อแคว้น เพื่อพวกเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นราชวงศ์ ไม่ใช่ข้า มู่ชิงเกอ! มู่ชิงเกอไม่ได้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่เพียงนั้น สิ่งที่ต้องการคือความปลอดภัยของครอบครัว แคว้นของเจ้าจะเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”
“ไม่ ไม่ควรเป็นเช่นนี้!” ฉินจิ่นหยางมองประชาชนที่อยู่ข้างล่างอย่างตื่นตระหนก และตะโกนสุดเสียงว่า “พวกเจ้าเห็นหรือยัง วีรบุรุษที่พวกเจ้ารอคอย เขาก็เป็นแค่คนเลวที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น!”