ตอนที่ 143-5
ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน
เวลาสองวัน มู่ชิงเกอก็พำนักอยู่ในที่พักอย่างสุขสบาย ปิดประตูไม่รับแขก
ในระหว่างนั้น ฟ่งอวี๋กุยก็มาส่งเทียบขอเข้าพบอยู่สองครั้ง ราวกับว่าอยากจะไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์กับนาง ทว่า มู่ชิงเกอก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นเสแสร้งกับเขาแล้ว ดังนั้นก็เลยบอกปัดไม่พบไปตรงๆ
ช่วงสองวันนี้ ก็เหมือนกับที่ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวเอาไว้ คณะทูตของแคว้นอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยมาถึง
แคว้นถู แคว้นอวี๋ ยังมีแคว้นปา
รวมกับแคว้นฉินที่มาถึงก่อน ทั้งสี่แคว้นก็แบ่งกันอยู่คนละสี่จวนพัก ถึงแม้จะอยู่ในเขตรับรองทูตแห่งเดียวกัน แต่ก็ยังห่างกันไกลนัก ระหว่างกันจึงยังไม่ได้พบหน้ากันเท่าใด
เวลาล่วงเลยไปไม่ทันไร วังหลวงก็ส่งเทียบเชิญงานเลี้ยงยามคํ่ามาให้
ในมือถือราชโองการ แววตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววนึกสนุก นางก็รอจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ไม่ไหวแล้ว
จวนพำนักของฟ่งอวี๋กุย สีหน้าของเขาไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง ที่ปรึกษาด้านข้างก็มองหน้าสบสายตากัน แลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด ผ่านไปครู่หนึ่ง หนึ่งคนในนั้นก็ เดินออกมากล่าววาจากับฟ่งอวี๋กุย “องค์ชายสาม คืนนี้ก็เป็นคืนที่ฝ่าบาทจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากแคว้นต่างๆ พระองค์จะต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ดี พยายามสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าของคณะทูตพวกนี้”
ฟ่งอวี๋กุยพลันตอบกลับอย่างหงุดหงิดใจ “ข้ารู้น่า! แคว้นอื่นๆ ก็ไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ว่าทางฝั่งแคว้นฉินนั่น ” พอนึกถึงมู่ชิงเกอ เขาก็รู้สึกปวดหัว คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม เหล่าที่ปรึกษาก็ขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้น “ทำไมรึ คุณชายมู่ของแคว้นฉินผู้นั้นยังคงไม่ยอมพบองค์ชายอีกรึ?”
อารมณ์ของฟ่งอวี๋กุยก็ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง “ก่อนหน้าข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนผู้นั้นของแคว้นฉิน เคยไปมีปัญหากับเขา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ ไม่ยอมให้ข้าพบ”
เหล่าที่ปรึกษาส่งสายตาให้กัน ก่อนจะพากันนิ่งเงียบลง
ที่ปรึกษาที่เป็นผู้เอ่ยปากก็กล่าวขึ้นอย่างกังวลใจ “แคว้นฉินในตอนนี้มีบารมีสูงส่งนัก แคว้นถูหลังจากพ่ายแพ้ไป เรื่องราวทั้งหมดก็ถือแคว้นฉินเป็นจ้าวเหนือ หัว เกรงว่าหากไปล่วงเกินคนผู้นั้นเข้า แล้วเขาจะไปฆ่าล้างที่วังหลวงของแคว้นถูอีกครั้ง ถ้าหากคุณชายมู่ไม่ยอม ยอมความกับองค์ชาย เกรงว่าฝั่งแคว้นถู…”
ไม่ทันไรก็สูญเสียแรงสนับสนุนจากทั้งสองแคว้นไป อีกสองแคว้นที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะมีสภาพการณ์เป็นเช่นไร?
เหล่าที่ปรึกษาก็ครุ่นคิดกันไปต่างๆ นานา นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
ส่งผลจนความชื่นชมที่แต่เดิมพวกเขามีต่อฟ่งอวี๋กุย บัดนี้ก็กลายเป็นลดน้อยถอยลงไปไม่น้อย
ฟ่งอวี๋กุยกล่าวขึ้นอย่างหงุดห่งิดใจ “แคว้นฉินฝั่งนั้นก็ไม่ต้องไปคิดถึง ข้าก็ไม่มีทางยินยอมจะไปลดเกียรติขอร้องคนแซ่มู่ผู้นั้น แต่ว่าสำหรับแคว้นอื่นๆ ก็จะต้องลงแรงให้มากหน่อย พอถึงเวลาแคว้นอวี๋กับแคว้นปายืนอยู่ฝั่งข้า ข้าก็มีอันใดให้ต้องกลัวกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคว้นอวี๋ก็ยังมีเขตแดนติดกับแคว้นลี่ ท่าทีของแคว้นอวี๋พอเปรียบกับท่าทีของแคว้นที่ถูกขวางกั้นไว้ด้วยภูเขาแม่นํ้านั่นแล้วก็สำคัญกว่ามากมายนัก”
เหล่าที่ปรึกษามองหน้าสบตากันก่อนจะพากันพยักหน้าขึ้น เอ่ยว่า “ตอนนี้ก็ทำได้เพียงพยายามให้แคว้นอวี๋ออกท่าทีสนับสนุนแล้ว”
“คณะทูตของแคว้นอวี๋ฝ่ายนั้นเป็นใครที่นำขบวนมา?” ฟ่งอวี๋กุยอยู่ๆ ก็กล่าวถามขึ้น
เหล่าที่ปรึกษากลับไม่มีคนรู้ข่าว ในขณะที่ฟ่งอวี๋กุยจะระเบิดอารมณ์นั่น ถึงได้มีคนหนึ่งกล่าวออกมา “แคว้นอวี๋มาช้าที่สุด หลังจากถึงเมืองฮ่วนแล้วก็ไปพักผ่อนยังที่พักทันที พวกเรายังไม่ทันได้สืบความว่าผู้นำขบวนนั้นเป็นใคร”
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์!” ฟงอวี๋เฟยกล่าวขึ้นอย่างโมโห
เหล่าที่ปรึกษาล้วนพากันนิ่งขรึมลง ตามองจมูก พากันก้มหน้าลง
พอเห็นท่าทีของพวกเขาแต่ละคน ความคิดสังหารของฟ่งอวี๋กุยก็พลันปรากฏแวบขึ้นมา
เพียงแต่พอคิดถึงเรื่องสำคัญ เขาก็ทำได้เพียงข่มกลั้นไฟโกรธไว้ รอไว้ตอนที่งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น ค่อยรับมือไปตามสถานการณ์
ยามค่ำเข้ามาเยือน
วังหลวงของแคว้นลี่ มู่ชิงเกอก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจริงๆ แล้วนอกจากวังหลวงแคว้นฉิน ก็มีแค่การไปเยือน วังหลวงแคว้นถูยามคํ่าคืนแล้วลักพาตัวฮ่องเต้ของพวกเขาเท่านั้น
วังหลวงแคว้นลี่ก็นับว่าเป็นวังหลวงแห่งที่สามที่นางได้มาเยือน
วังหลวงของแคว้นลี่พอเปรียบกับวังหลวงของแคว้นฉิน แล้วก็ดูเหมือนว่าจะวิจิตรงดงามกว่า ทิวทัศน์ก็ถือว่าจัดวางเอาไว้ได้ค่อนข้างลงตัวนัก ให้ความรู้สึกรื่นรมย์เป็นช่วงๆ ไป ทำเอาผู้คนรู้สึกมหัศจรรย์ใจเป็นที่สุด การจัดวางที่เลิศลํ้างดงามเช่นนี้ ก็ทำให้วังหลวงเพิ่มความมีซีวิตีชีวาขึ้นหลายส่วนนัก
ขันทีนำทางคณะของมู่ชิงเกอไปด้านข้างของตำหนักใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยง ก่อนจะโค้งคำนับแล้วถอยจากไป ที่แห่งนี้ก็เป็นตำหนักย่อยหลังหนึ่ง ด้านในโชยกลิ่นหอมของกำยานออกมา ผลไม้ ของว่าง น้ำ เครื่องชาก็ตั้งไว้ อย่างครบครัน
ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นสถานที่ที่เตรียมเอาไว้ให้คณะทูตพักผ่อนก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม
ในขณะที่มู่ชิงเกอเดินเข้ามาด้านในก็มีคนของแคว้นหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาสวมใส่ชุดที่ค่อนข้างเรียบง่าย ด้านบนปักเอาไว้ ด้วยลวดลายของสัตว์อสูรชนิดต่างๆ
‘คนของแคว้นถู’ มู่ชิงเกอดวงตากระจ่างวาบ แววตาฉายแววนึกสนุกขึ้นมา
ทูตจากแคว้นถูที่กำลังกินอย่างตะกละตะกลาม พลันสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามา เงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็น เงาร่างของมู่ชิงเกอ ทันใดก็ตกใจจนอาหารในปากพวกนั้นติดคอ
ไออย่างรุนแรงขึ้นหลายเสียง หลังจากไอจนอาหารที่ติดคอออกมาได้แล้ว เขาถึงค่อยนำผู้คนเดินไปยังด้านหน้าของมู่ชิงเกอ คุกเข่าทั้งสองข้างลง “ข้าน้อยเฮ่อเหลี ยนถัวถัวคราวะคุณชาย!”
มู่ชิงเกอริมฝีปากปิดสนิท ก้มหน้ามองไปยังคณะทูตแคว้นถูที่หมอบกราบอยู่ด้านหน้าตน ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงเรียบ “ลุกขึ้นเถอะ”
พอพูดจบก็ไม่สนใจเขาอีก เดินผ่านด้านข้างไป เดินไปยังเขตที่พักของคณะทูตอีกแห่งหนึ่ง
รอจนมู่ชิงเกอเดินไปไกลแล้ว เฮ่อเหลียนถัวถัวถึงค่อยเร่งรีบเช็ดเหงื่อที่กายของตนแล้วลุกยืนขึ้น
ทว่า เขาก็ยังไม่กล้ากลับไปที่เขตพักของแคว้นถู แต่เดินอย่างนอบน้อมไปยืนอยู่ด้านข้าง แม้แต่ลมหายใจก็กลายเป็นแผ่วเบาจนเกือบจะสัมผัสไม่ได้
ท่าทางระมัดระวังตนเช่นนั้น ก็ทำเอามู่ชิงเกอรู้สึกว่าตัวเองเป็นราชาปีศาจไปแล้วจริงๆ นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะกล่าวไปทางเฮ่อเหลียนถัวถัว “สมควรจะทำสิ่งใดก็ทำไป”
เฮ้อเหลียนถัวถัวหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพาคนกลับไปยังเขตพักของแคว้นถู กลับลงไปนั่งดังเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ เวลาหยิบจับรับประทานสิ่งใด ก็จะกลายเป็นมาก มารยาท มองดูจนมู่ชิงเกอหลุดหัวเราะออกมา
ขณะนั้น ด้านนอกก็มีคณะทูตเข้ามาอีกขบวนหนึ่ง มู่ชิงเกอหันมองไปทางผู้นำของขบวนก่อนที่นัยน์ตาจะฉายแววแย้มยิ้มออกมาจางๆ หลังจากจ้าวหนานซิงเดินเข้ามาก็พลันหันมองซ้ายขวาไปมา หลังจากเห็นเข้ากับมู่ชิงเกอแล้ว เขาก็ยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาสายหนึ่ง เตรียมจะเดินเข้าไป กลับสัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคนเดินเข้ามาก็เลยหยุดหยุดเท้าลง หันมองไปด้านหลัง
ผู้ที่มาในครั้งนี้ คนก็ยังมาไม่ถึง แต่กลับได้ยินเสียงสะท้อนของกระดิ่งและลูกปัดต่างๆ นำมาก่อน
อึดใจหนึ่ง คณะทูตของแคว้นปาก็เดินมาถึง
คนที่นำอยู่ด้านหน้าสุดกลับเป็นต้าอูคนปัจจุบันของแคว้นปา
ต้าอูของแคว้นปาก็จะคล้ายกับฮ่องเต้ของแคว้นอื่นๆ เช่นนั้น แต่ว่าก็ยังมีส่วนที่ต่างกัน ถ้าหากอิงตามความเข้าใจของมู่ชิงเกอ ต้าอูผู้นั้นก็เหมือนกับเลขาธิการของสหประชาชาติ
มู่ชิงเกอลุกยืนขึ้นก่อนจะเดินไปทางต้าอูของแคว้นปา
จ้าวหนานซิงคิดแล้วก็เดินตามไป ตาทั้งสองของเฮ้อเหลียนถัวถัวที่จ้องมองทุกการกระทำของมู่ชิงเก่อ เห็นนางเดินไปทางคณะทูตของแคว้นปา เขาก็เร่งรีบพาคนตามติดไปด้วย
“มู่ชิงเกอคารวะต้าอู” มู่ชิงเกอเดินไปด้านหน้าต้าอูของแคว้นปา ก่อนจะค่อยๆ กล่าวคารวะขึ้น
ต้าอูแคว้นปามองไปทางมู่ชิงเกอหนหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จดหมายของเทียนหลง ข้าได้รับแล้ว คุณชายวางใจเถิด”
“ลำบากต้าอูแล้ว” มู่ชิงเกอกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มจางๆ
คำพูดของทั้งสองคนก็เหมือนม่านหมอก ยากจะเข้าใจ
แต่ว่าขณะที่มู่ชิงเกอกับจ้าวหนานซิงสบสายตากัน พวกเขากลับเข้าใจในความหมายของคำกล่าวเมื่อครู่
สี่แคว้นมาถึงครบ งานเลี้ยงก็เป็นอันเริ่มต้นขึ้น
ในเวลาที่ทางตำหนักมีเสียงประกาศการมาเยือนของแคว้นทั้งสี่ คณะคนของทั้งสี่ฝ่ายก็เดินออกจากตำหนักย่อย ทั้งยังนำโดยแคว้นฉินอยู่เป็นนัยๆ
ความนัยนี้หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว ก็พลันตกเข้าสู่สายตาของขุนนางแคว้นลี่ ทำเอาแววตาของขุนนางแคว้นลี่ไปจนฟ่งหลันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แววตาไหววูบ
ฟ่งอวี๋เฟยกับฟ่งอวี๋กุยแยกกันทั้งอยู่ฝั่งซ้ายขวาของฟ่งหลัน
ที่ด้านบนของทั้งสองคน ในตำแหน่งที่เกือบจะเสมอเท่ากับบัลลังก์ของฟ่งหลัน ก็เป็นที่นั่งของคณะทูตทั้งสี่
ทั้งสองข้างของตำหนักใหญ่ ก็เป็นที่นั่งของขุนนางแคว้น
ทั้งตัวตำหนักใหญ่ก็จุคนอยู่หลายร้อยคน!
ในขณะที่ฟ่งอวี๋กุยมองเห็นว่าผู้นำของแคว้นอวี๋เป็นจ้าวหนานซิงที่นำมา แววตาของเขาก็กลายเป็นฉายแววเย็นยะเยือก สีหน้าก็พลันกลายเป็นไม่น่าดูขึ้นมา