ตอนที่ 148-3
บอกว่าจะสั่งสอนเจ้า ก็ไม่มีทางไว้หน้าเจ้า!
“เพียงแต่ว่า ศิษย์พี่จิ่งเทียนก็เป็นถึงนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณแล้ว ไปประลองโอสถกับศิษย์ที่มาจากสาขาย่อยเช่นนี้ ก็จะดูไม่เป็นธรรมไปหน่อยหรือไม่?” เพียงแต่ คำกล่าวนี้ก็ดูขาดเขลาขี้กลัวไปหน่อย ราวกับเกรงว่าจะไปกระตุ้นให้จิ่งเทียนเกิดโมโห แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
แต่ถึงอย่างนั้น คำกล่าวนี้ก็ยังลอยไปเข้าหูของเขาอยู่ดี
เขาพลันโมโหขึ้นมาคิดอยากจะหาตัวคนที่เปิดปากกระชากออกมา
เพียงแต่ว่ากลุ่มคนที่มุงดูก็มีมากมายหลายร้อย เขาจะไปหาตัวเจอได้อย่างไร ความนัยในคำกล่าวนั่นก็ราวกับจะบอกว่าเขารังแกคนอ่อนแอ นี่ก็ทำให้คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเขาไม่มีทางยอมรับได้
เขาสบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง หันไปทางฝูงชนกล่าวว่า “ศิษย์น้องที่มาจากสาขาย่อยผู้นี้ก็เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณตัวจริงเสียงจริง การประลองโอสถระหว่างนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณกับนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ มีตรงไหนที่ไม่เป็นธรรมกัน?”
“อะไรนะ! ถึงกับเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณ?”
“สวรรค์! กลับมีนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณที่อายุน้อยขนาดนี้ แล้วทีนี้จะให้พวกเราเอาหัวไปไว้ที่ไหน?”
“ไม่ใช่กระมัง! ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณถึงกับร้ายกาจเกินคนขนาดนั้น ทั้งยังมีฝีมือการปรุงยาที่แกร่งกล้าตามไปด้วย นี่ก็ยังเป็นคนอยู่อีกหรือไม่?”
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ในพวกเราเหล่าศิษย์ก็ได้ปรากฏนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณสองคนแล้วน่ะสิ?”
ข้อมูลที่จิ่งเทียนประกาศก้องออกมาก็พลันทำให้มู่ชิงเกอกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันใด จนถึงขนาดกดจิ่งเทียนจนด้อยลงไป ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จิ่งเทียนต้องการ
เขานั้นอยากจะบอกกับฝูงชนว่าพวกเขาเป็นนักปรุงยาระดับเดียวกัน รอเขาชนะแล้วจะได้ไม่มีใครกล่าวหาว่าเขารังแกคนอ่อนแอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า สิ่งที่คำพูดของเขานำมาจะเป็นการเพิ่มค่าให้กับมู่ชิงเกอไปเสียอย่างงั้น
ชั่วขณะนั้น จิ่งเทียนก็รู้สึกโมโหตัวเองยิ่งนัก
“คนผู้นั้นก็ดูจะไร้ความอดกลั้นเสียจริง” จ้าวหนานซิงกล่าวกระซิบกระซาบที่ข้างหูของมู่ชิงเกอ
คนที่เขากล่าวถึงแน่นอนว่าต้องเป็นจิ่งเทียน
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ กล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ใช่น่ะสิ ดังนั้นการที่ถูกคนเช่นนี้เพ่งเล็งเข้าก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่สนุกเอาเสียเลย”
คำพูดของนางก็ค่อนข้างอวดดีจนทำให้จ้าวหนานซิงยิ้มขันขึ้น แต่ว่าก็ยังกล่าวอย่างนึกสนุกที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ว่า “ยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้สร้างชื่ออีกครั้ง”
มู่ชิงเกอแย้มยิ้ม ‘นี่ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่นางอยากได้
นางจริงๆ แล้วก็อยากจะมาอย่างเงียบๆ แล้วก็จากไปอย่างเงียบๆ
พอข่าวการเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณของมู่ชิงเกอหลุดรอดออกไป ด้านนอกหอสติปัญญาชั่วขณะนั้นก็พลันอื้ออึงขึ้นมา ในหมู่ศิษย์ การประลองโอสถระหว่างนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณกับนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณก็ถือเป็นเรื่องยากนักที่จะได้พบเจอในรอบร้อยปี!
ชั่วขณะนั้น ข่าวเรื่องนี้ก็ราวกับติดปีกอย่างไรอย่างนั้น แพร่กระจายออกไปตามมุมต่างๆ ของโรงโอสถกลางอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ก็ราวกับว่าจะหลุดออกจากการควบคุมของจิ่งเทียน เขาก็ไม่ยินยอมให้มู่ชิงเกอถูกผู้คนกล่าวถึงอีกต่อไป ซึ่งมันอาจส่งผลให้เขาต้องกลายเป็นการคงอยู่ของตัวประกอบ พลันกล่าวเร่งออกไป “เจ้ากล้าหรือไม่กล้า?”
“ทำไมจะไม่กล้า?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วพลางกล่าวขึ้น ก่อนหน้านางก็กล่าวเอาไว้แล้วถ้าหากจิ่งเทียนมาสร้างปัญหาให้นาง นางก็จะรับเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่น่าสนใจ เท่าไรนัก แต่ความรู้สึกได้ลากคนลงจากที่สูง ก็ยังถือว่าน่าเย้ายวนนัก
“ตกลง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ตกลงกันตามนี้!” จิ่งเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก หลังจากนั้นเขาก็ทำเป็นกล่าวขึ้นอย่างใจกว้าง “เห็นแก่เจ้าที่เพิ่งมา ข้า สามารถให้เจ้ากำหนดวันเองได้”
“ไม่จำเป็น ตอนนี้ก็สามารถประลองได้” มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นอย่างสบายๆ
ซี๊ด—–!
ประโยคพอหลุดออกจากปากนาง ก็ทำเอารอบด้านสูดลมหายใจ เข้าไปพร้อมกัน
สีหน้าของจิ่งเทียนกลายเป็นดำทะมึนขึ้นมา “อวดดี”
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นางก็ไม่ได้คิดว่าเวลาที่ตัวเองจะข่มเหงอะไรใครแล้วยังจะต้องไปสนใจฤกษ์ยามด้วย
รีบข่มรีบจบเรื่อง นางก็จะได้ออกจากโรงโอสถกลางเสียที แล้วเดินทางไปที่แคว้นหรง
นางก็พูดออกไปอย่างจริงใจนัก แต่ว่าพอไปถึงในใจของจิ่งเทียนกับศิษย์ของโรงโอสถกลางแล้ว ก็ถือว่าเป็นการ อวดดีอย่างถึงที่สุด!
“อวดดีเกินไปแล้ว! ศิษย์พี่จิ่งเทียนจะต้องสั่งสอนเขาให้หนักๆ!”
“ใช่แล้ว! ศิษย์พี่จิ่งเทียนท่านจะต้องสั่งสอนศิษย์น้องผู้นี้ให้ดีๆ แล้ว ในเมื่อเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณแล้ว อวดดีเกินไป ถ้าหากถูกหักหน้าแน่นอนว่าจะต้องเจ็บแสบมาก”
“ศิษย์พี่จิ่งเทียน สั่งสอนเขา!”
“ศิษย์พี่จิ่งเทียนจะต้องชนะแน่นอน! นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณอะไรกัน เกรงจะเป็นแค่สาขาย่อยฝั่งนั้นที่กุเรื่องขึ้นมาเองกระมัง! ”
“ไม่ผิด ไม่ผิด โรงโอสถกลางของพวกเราหลายปีมานี้ก็มีแค่ศิษย์พี่จิ่งเทียนที่มากด้วยพรสวรรค์ปรากฏขึ้นมาแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น สาขาย่อยนับว่าเป็นอันใด? ก็แค่ที่บ้านนอกทุรกันดานก็เท่านั้น ทำไมถึงปรากฏนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณขึ้นมาได้?”
การตอบสนองของรอบด้านก็ขจัดความดำทะมึนบนใบหน้าของจิ่งเทียนจนหายไป ทำเอามุมปากของเขายกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
เขายกมือขึ้น เสียงต่อว่ารอบด้านก็ค่อยๆ ทยอยหายไป จนกลายเป็นเงียบลงในที่สุด
จิ่งเทียนมองไปทางมู่ชิงเกอ เห็นนางมีสีหน้าปกติ ท่าทางราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอย่างไรอย่างนั้นในใจก็อดไม่ได้ที่จะสบถขึ้นเสียงหนึ่ง ‘เสแสร้งแกล้งทำ’ ต่อจากนั้นเขาก็พลันเอ่ยขึ้น “ในเมื่อศิษย์น้องมู่มีความมั่นใจขนาดนั้น ข้าก็จะเติมเต็มปรารถนาให้เจ้า แต่ถ้าหากข้าศิษย์พี่ไม่ทันระวังชนะเข้า เจ้าก็อย่าได้มาร้องไห้ กล่าวหาว่าศิษย์พี่รังแกเจ้าก็แล้วกัน”
คำพูดของจิ่งเทียนก็ทำให้เกิดเสียงหัวเราะขำขันระเบิดขึ้นตามมา
ราวกับว่ามู่ชิงเกอในสายตาของพวกเขาตอนี้ ก็กลายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ได้แต่ปากดีอวดดีคนหนึ่งก็เท่านั้น
จ้าวหนานซิงแววตาเยียบเย็น เตรียมจะเดินขึ้นไปโต้แย้ง แต่กลับถูกมู่ชิงเกอรั้งข้อมือเขาเอาไว้ กล่าวอย่างนึกขันว่า “ทำไมจะต้องไปเปลืองนํ้าลายกับพวกเขาด้วย?” ใช้ความจริงตีแสกหน้าไม่ดีกว่ารึ?
จ้าวหนานซิงพอได้ฟังก็ถอยกลับไป มองไปยังสายตาหยามหยันจากรอบด้าน ก่อนที่สีหน้าแววตาจะกลายเป็นดูแคลนขึ้นมา
เขาก็ราวกับว่าอยากจะรอดูท่าทางของคนพวกนี้เวลาที่ถูกมู่ชิงเกอทำให้ตกใจจนต้องตกตะลึง
ช่วยไม่ได้ มู่ชิงเกอสำหรับเขาแล้วก็ถือว่ามีความเชื่อมั่นนัก!
“ในเมื่อศิษย์น้องมู่มั่นใจว่าไม่ต้องเตรียมตัว เช่นนั้นพวกเราก็ไปยังสนามประลองเลยก็แล้วกัน” จิ่งเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน
ศิษย์สาขาหลักแต่เดิมที่ล้อมอยู่ด้านนอกของหอสติปัญญาก็พากันอื้ออึงขึ้นมา การประลองโอสถครั้งนี้ก็เหมือนกับเป็นการขจัดความเจ็บปวดที่ต้องเสียเงินทองไป ราวกับขอแค่จิ่งเทียนสามารถเอาชนะมู่ชิงเกอได้ ก็จะสามารถระบายแค้นให้กับพวกเขาได้
กลุ่มคนพอเตรียมจะทยอยกันออกไป
จู่ๆ ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็พลันมีเสียงนกกระเรียนดังลอยมาเสียงหนึ่ง ฝูงชนแหงนหน้าขึ้นมองไป แม้แต่พวกมู่ชิงเกอสามคนก็ไม่มีข้อยกเว้น
นกกระเรียนตัวหนึ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้า บนหลังของมันก็นั่งอยู่ด้วยคนผู้หนึ่ง ไอเซียนแผ่คลุมไปทั่วอย่างชัดเจน
มู่ชิงเกอก็มองดูอย่างนึกอิจฉานัก ในใจเกิดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ความรู้สึกของการมี ‘เครื่องบินส่วนตัว’ ก็คงดูเท่ไม่หยอก!
นกกระเรียนร่อนลงมาบนพื้น คนที่อยู่บนหลังของมันก็พลันกระโดดลงมา
มู่ชิงเกอสายตาจับจ้องมองไป คิ้วเรียวเลิกสูง ก็ยังจะเป็น คนคุ้นหน้า!
เซี่ยเทียนอู๋มองไปทางมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองจิ่งเทียน สีหน้าเรียบเฉยเคร่งขรึม ท่าทางเหมือนกับเป็นคนละคนกับเมื่อตอนก่อนหน้า
“คารวะผู้อาวุโสเซี่ย”
“คารวะผู้อาวุโสเซี่ย”
ศิษย์ของสาขาหลักพากันทยอยกล่าวคารวะขึ้น
เซี่ยเทียนอู๋โบกมือขึ้นพลางกล่าวว่า “ประกาศของท่านหัวหน้า การประลองระหว่างมู่ชิงเกอกับจิ่งเทียนให้กำหนดเป็นวันพรุ่ง การประลองครั้งนี้จะถูกกำหนดให้เป็นเหมือนการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ”
ระหว่างที่พูดเขาก็หันไปมองจิ่งเทียน ก่อนจะค่อยๆ ประกาศประโยคหลังออกมา “ผู้ชนะ เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ ผู้แพ้สูญเสียคุณสมบัติในการเลื่อน ขั้นเป็นผู้อาวุโสตลอดกาล”