ตอนที่ 174-3
หากไม่ได้เอาคืน ข้าก็คงต้องอัดอั้นจนตาย!
“คุณชายมู่อายุยังน้อย ทั้งยังมาจากแคว้นระดับสาม แต่กลับกลายเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถสาขาหลักได้ ทุกผู้ทุกคนล้วนต่างทราบดีว่าการรับศิษย์ของโรงโอสถสาขาหลักนั้นเข้มงวดมาก ผู้ที่สามารถเลื่อนชั้นเป็นผู้อาวุโสได้ ก็ยิ่งต้องเป็นนักปรุยาระดับจิตวิญญาณอีกทั้งยังต้องสามารถผ่านการทดสอบถึงจะเป็นได้หรือว่าคุณชายมู่จะเป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณแล้ว?” อยู่ๆ ตรงที่นั่งของฝั่งตระกูลฮวาฝั่งนั้น ประมุขตระกูลฮวาที่ดูมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ แต่เสน่ห์ยังคงอยู่ครบครันผู้นั้นก็พลันยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นป้องรอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้พลางหันมองมาทางมู่ชิงเกอ
คำกล่าวของนางถึงแม้จะดูเหมือนพูดขอคำยืนยัน แต่หากฟังดีๆ แล้วก็จะสามารถสัมผัสได้ว่านางกำลังยกย่องฐานะของมู่ชิงเกอ
เกี่ยวกับว่าทำไมถึงทำเช่นนี้นั้น อืม ก็ลองดูๆ หญิงสาวด้านข้างนางผู้นั้นที่กำลังส่งยิ้มหยาดเยิ้มจ้องมองมาทางมู่ชิงเกอก็จะสามารถคาดเดาได้แล้ว
คำกล่าวของประมุขฮวาก็ชัดเจนว่ากำลังถามมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอก็ไม่รู้ว่าทำไมตาเฒ่าหัวหน้าโรงโอสถอยู่ๆ ถึงได้เปิดเผยสถานะของตนออกมา แต่ในเมื่อพูดมันออกมาแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปปิดบังอีก
ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำกล่าวของประมุขตระกูลฮวา นางก็เลยพยักหน้าขึ้นอย่างไม่ถือตน “แค่เพียงโชคช่วยเท่านั้น”
“คิก คิก คุณชายมู่ก็ช่างถ่อมตนนัก นักปรุงยาระดับจิตวิญญาณไหนเลยจะใช้โชคได้ ดูท่าพรสวรรค์ในการปรุงโอสถของคุณชายมู่จะต้องร้ายกาจยิ่งนัก!” ประมุข ตระกูลฮวากล่าวพลางยิ้มหยาดเยิ้ม
มู่ชิงเกอเพียงแต่แย้มยิ้มมิได้กล่าววาจา
“เจ้าถึงกับเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ? แต่กลับปิดบังไม่ยอมเล่า! ช่างน่าโมโหนัก!” เจียงหลีขมวดคิ้วพลางต่อว่า
เพราะว่าเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นเจียงหลีก็เลยไม่เคยไปตรวจสอบข้อมูลของมู่ชิงเกอ
และที่มู่ชิงเกอตอนนี้กระโดดไปเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถอย่างกะทันหันนั้น ปากนางถึงจะบอกว่าโมโห แต่ในใจกลับดีใจแทนสหายยิ่งนัก!
มู่ชิงเกอเบ้มุมปาก นางก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ยังพากัน กล่าวโทษนางอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นยกย่องชื่นชมกับนางได้กัน?
หรือว่านี่ก็คือสาเหตุที่ตาเฒ่าหัวหน้าของโรงโอสถตั้งใจบอกสถานะผู้อาวุโสของนางออกไป
มู่ชิงเกออดหันไปมองทางตาเฒ่าหัวหน้าโรงโอสถไม่ได้ แต่ตาเฒ่าผู้นั้นกลับส่งรอยยิ้มขี้เล่นมาให้นางพร้อมกับขยิบตาให้นี่ก็ทำเอานางอดยิ้มขำไม่ได้อยู่ก็สัมผัสได้ว่า ตาเฒ่าร้ายกาจผู้นี้มีความน่าสนใจยิ่งนัก
“คุณชายมู่อายุยังน้อยก็สามารถกลายเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถสาขาหลักได้ ลูกชายข้าจิ่งเทียนก็คงต้องเรียนรู้กับท่านให้มากๆ แล้ว!” คำกล่าวของประมุขจิ่งประโยคนี้ ก็ทำให้สายตาของมู่ชิงเกอร่วงตกไปที่เขา
ประมุขตระกูลจิ่งใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูสง่างาม หน้าตาก็เหมือนกับจิ่งเทียนมาก แต่ความปราดเปรื่องที่ซ่อนเอาไว้ในสายตาสายนั้นกลับเป็นสิ่งที่จิ่งเทียนไม่มีมัน
หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ในแววตาของจิ่งเทียนที่มีมากกว่าก็คือความหยิ่งทะนงถือว่าตนเองเป็นหนึ่ง
จากสีหน้าของจิ่งเทียน ก็ไม่ยากที่คาดเดาได้ว่าพวกเขาเคยมีข้อบาดหมางต่อกัน และจิ่งเทียนแต่ไหนแต่ไรมาก็ถูกนับว่าเป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งทางด้านหลอมโอสถ แต่มาตอนนี้กลับมีนางที่ผงาดขึ้นสู่ฟ้า จนมันส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของจิ่งเทียนโดยตรง ผู้ที่เป็นประมุขตระกูลจิ่งกลับยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยนสีกล่าววาจาพูดคุยกับตน ถ้าหากไม่ใช่จิตใจของประมุขตระกูลจิ่งผู้นี้กว้างขวางสามารถยอมรับผู้คนที่คนอื่นไม่สามารถยอมรับได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องมีจิตใจที่ลํ้าลึก สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกและอารมณ์ที่แท้จริงของตนเอาไว้ได้อย่างมิดชิด แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มู่ชิงเกอก็ล้วนแต่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลจิ่งมากเกินไปนัก
ดังนั้นนางก็เลยทำเพียงแค่กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ประมุขจิ่งกล่าวชมไปแล้ว”
ไม่ได้กล่าวคำพูดมากมายจนเกินไป แล้วก็ไม่ได้โอนอ่อนตามวาจาของประมุขตระกูลจิ่งที่เอาหัวข้อสนทนาดึงไปที่ตัวของจิ่งเทียน ที่หลังจากนั้นเตรียมจะใช้วิธีการไกล่เกลี่ย ทำให้ความบาดหมางระหว่างพวกเขาจบสิ้นกันไป
การตอบกลับของนางก็เหนือไปจากการคาดเดาของประมุขตระกูลจิ่ง เขานิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มจางๆ ที่แขวนบนใบหน้าพลันแข็งทื่อไป แต่ไม่ทันไรก็กลับคืนสู่ความปกติ
ตระกูลจิ่ง ตระกูลฮวาก่อนหลังทำการทักทายกับมู่ชิงเกอก็ถือเป็นการให้เกียรติโรงโอสถอย่างถึงที่สุด และแน่นอนที่มากกว่านั้นก็คือผลประโยชน์ที่มู่ชิงเกอนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณกับตำแหน่งผู้อาวุโสโรงโอสถของเขา จะนำมาให้
ตระกูลเฉินกับตระกูลหลานที่เหลือก็ไม่น้อยหน้า
ตระกูลเฉินมีชื่อเสียงเพราะการค้าขาย การเป็นคนในสายการค้าตระกูลเฉินนอกจากเฉินปี้เฉิงที่บ้าฝึกยุทธ์แล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นพวกงำประกายฉลาดลํ้าลึก
ประมุขตระกูลเฉินยกจอกเหล้าตรงหน้าขึ้น พร้อมกับส่ายมันคารวะไปทางมู่ชิงเกอ “คิดไม่ถึงว่าคุณชายมู่จะมีความสามารถเช่นนี้ไว้วันหลังจะต้องมาเยือนตระกูลเฉินให้ได้ ให้จวนตระกูลเฉินได้ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี เหล้าจอกนี้ข้าก็ขอคารวะก่อนจอกหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นการยืมสุราของฝ่าบาทอวยพรให้คุณชายมู่!” พอกล่าวจบ เขาก็ดื่มมันรวดเดียวหมดจอก ไม่ได้วางมาดของประมุขตระกูลใหญ่แต่อย่างใด
เขาที่ทำถึงขั้นนี้ มู่ชิงเกอก็แน่นอนว่าไม่อาจทำให้เขาต้องเสียหน้าได้ ดังนั้นก็เลยยกสุราตรงหน้าขึ้น ก่อนจะดื่มหมดในรวดเดียวเช่นเดียวกัน
คำกล่าวของประมุขตระกูลเฉินก็ทำเอาจักพรรดิหยวนรู้สึกพอพระทัยยิ่งนัก
เสียงหัวเราะเบิกบานใจลอยมาจากด้านบนบัลลังก์มังกร ก่อนจะกล่าวไปทางเจ้าสำนักหอหลอมศาสตราที่มีสีหน้าติดๆ ขัดๆ เดี๋ยวดำเดี๋ยวเขียวขึ้นว่า “งานเลี้ยงในคืน นี้แต่เดิมก็จัดการขึ้นอย่างสบายๆ เจ้าสำนักโหลวก็อย่าได้เข้มงวดเกินไปเลย”
จักพรรดิหยวนที่มอบทางลงให้โหลวเสวียนเถี่ยก็ไม่อาจไม่ลงได้ อีกอย่างตอนนี้ฝูงชนกำลังถูกเรื่องที่มู่ชิงเกอเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถกับนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณดึงดูดความสนใจอยู่ หากเขายังพูดมากอีกก็คงกลายเป็นตัวทำลายบรรยายกาศ
“พ,ะย่ะค่ะ จัดพรรดิหยวน” โหลวเสวียนเถี่ยนั่งลงอย่างเจ็บใจ เฮยมู่ก็อาศัยจังหวะ นั้นกล่าวว่า “เจ้าสำนักโหลว เจ้าโจรแซ่มู่ผู้นี้ก็นับว่าร้ายกาจนัก อีกทั้งยังต่อกรด้วยไม่ง่าย พวกเราตอนนี้ก็อดกลั้นไว้ก่อนเถิด รอผ่านคืนนี้ไปค่อยคิดแผนการระยะยาว”
โหลวเสวียนเถี่ยสีหน้าดำทะมึน แววตาที่จ้องมองมู่ชิงเกอก็แหลมคมดุจใบมีด
คำกล่าวของเฮยมู่เขาก็ฟังเข้าไปในหัวแล้ว ในใจได้แต่กลํ้ากลืนความโกรธเอาไว้คืนนี้สังหารมู่ชิงเกอไม่ได้นั้น เขารู้ดี แต่ว่าก็ทำให้เขาต้องอับอาย ทำให้เขาต้องขายหน้านั้นไม่ใช่ว่าไม่ได้?
“ในเมื่อทุกคนล้วนแต่ออกหน้ากล่าววาจากันหมดแล้วเช่นนี้ เช่นนั้นข้าตระกูลหลานก็คงต้องขอแสดงท่าทีหน่อยแล้วกัน” ประมุขตระกูลหลานยกจอกเหล้าของตัวเองขึ้น ก่อนจะคารวะง่ายๆ ไปทางมู่ชิงเกอ ท่าทางหยิ่งทะนงนัก
คุณหนูตระกูลหลานที่ใส่ผ้าคลุมหน้า หญิงงามอันดับหนึ่งของเทียนตูผู้นั้นก็เพียงจ้องมองมาทางมู่ชิงเกออย่างเย็นชาสายตาหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับไป
ราวกับว่ามู่ชิงเกอนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณผู้นี้ไม่มีค่าพอให้นางต้องไปใส่ใจยุ่งเกี่ยวด้วย
ท่าทีขอไปทีของตระกูลหลานก็เหมือนกับว่าถูกผู้คนบีบคั้นอย่างไรอย่างนั้น ไม่อาจไม่ทำได้ท่าทางไม่ค่อยเต็มใจนั้น ทำเอามู่ชิงเกอลอบยิ้มเยาะขึ้นในใจ
แต่ก็ยังยกจอกเหล้าขึ้นดื่มลงไปอีกจอกหนึ่ง
พอผ่านพ้นฉากทักทายต่างๆ นานา ในงานเลี้ยงก็ราวกับ กลับไปมีบรรยายแช่มชื่นอีกครั้ง
เสียงท่วงทำนองดังสะท้อนขึ้นพร้อมเพรียงกัน นางรำร่ายรำประชันท่วงท่ากันไปมา ดุจดังพระราชวังบนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
มู่ชิงเกอที่นั่งอยู่บนที่นั่ง ก็สัมผัสได้ถึงแววตามุ่งร้ายเป็นระยะๆ แววตาเหล่านี้ก็ไม่ได้มาจากเจ้าของคนเดียวกัน แต่ว่าความชิงชังที่มีต่อนางกลับมีเหมือนกัน
คิดแล้วคิด มู่ชิงเกอก็ยกจอกสุราที่กำลังควงเล่นอยู่ในมือส่งคารวะไปยังทิศทางของโหลวเสวียนเถี่ย เฮยมู่ ไท่สื่อเกา แล้วก็จิ่งเทียน มุมปากยกขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะดื่มสุราในจอกกลืนลงไป
เกลียดเข้าไป เกลียดเข้าไปให้มากกว่านี้อีก มีปัญญาก็มาฆ่านางสิ!
ท่าคารวะอันสง่างามของนางเมื่อครู่ ก็ทำเอาไม่กี่คนนั้น ชิงชังจนต้องขบเขี้ยว เคี้ยวฟัน
ไท่สื่อเกาวาดมือตบโต๊ะด้วยความโมโห เตรียมจะลุกขึ้นไป แต่กลับถูกเฮยมู่ดึงเอาไว้ได้ทันเวลาเสียก่อน “นายน้อยโปรดระงับอารมณ์! อย่าได้ไปติดกับของเจ้าโจรผู้นั้นเป็นอันขาด!”
ไม่อาจไม่พูดได้ว่าอุปกรณ์ในการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ค่อนข้างแข็งแรงนัก
ถูกไท่สื่อเกาฟาดมือตบเช่นนี้กลับไม่ได้แตกละเอียด แล้วก็ยิ่งไม่ได้ส่งเสียงดังแต่อย่างไร ดังนั้นก็เลยไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ไท่สื่อเกาที่ถูกเฮยมู่รั้งดึงเอาไว้ แววตาอันเกรี้ยวกราดทั้งสองข้างก็ยังคงจ้องเขม็งไปทางมู่ชิงเกอ “ผู้อาวุโส เขาอวดดีถึงขนาดนี้ แล้วท่านจะให้ข้าอดกลั้นได้อย่างไร? คืนนี้ข้าก็จะต้องสังหารเขาให้ได้!”
“อย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่!” เฮยมู่กล่าวเตือนขึ้น
เขาไหนเลยจะไม่อยากสังหารมู่ชิงเกอ? แต่ว่านั่นก็ต้องมีโอกาสถึงจะถูกต้อง!
ถ้าหากเขาเป็นเพียงนายน้อยของแคว้นระดับสามคนหนึ่ง นั่นก็ถึงค่อยสามารถจัดการได้ง่ายๆ ฆ่าแล้วก็แล้วกันไป แต่ว่าในตอนนี้ก็กลายมาเป็นรับรู้กันว่าเขาเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์อย่างยิ่ง เป็นนักปรุงยาระดับจิตวิญญาณที่มีอนาคตรุ่งโรจน์รออยู่ นี่ก็กลายเป็นจัดการยากแล้ว
ไม่เห็นรึว่ามีขุมกำลังไม่น้อยที่คิดจะสานสัมพันธ์ด้วย? ถ้าหากกระทำการอย่างอุกอาจแล้วเกิดไปล่วงเกินขุมกำลังอื่นๆ เข้าโดยไม่รู้ความแล้วจะทำเช่นไร
ก่อนอื่นใดด้วยนิสัยของตาเฒ่าโรงโอสถ หลังจากนี้ไป สำนักหมื่นอสูรก็อย่าได้หวังจะหาซื้อยาโอสถจากโรงโอสถได้อีก!
“ก็ไม่ใช่จะไม่มีโอกาสไปเสียหมด” อยู่ๆ โหลวเสวียนเถี่ยก็ส่งเสียงเข้ามา
เฮยมู่กับเขาพลันจ้องมองไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
โหลวเสวียนเถี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “ถ้าหากประลองกันซึ่งๆ หน้า แล้วเกิดสังหารเขาไป ก็คงกล่าวได้แค่ว่าอาวุธไม่มีตาก็เท่านั้นใครจะมาถือสาเอา ความได้?”
คำกล่าวของเขาก็ทำเอาดวงตาของไท่สื่อเกากลายเป็นกระจ่างวาบขึ้น กล่าวกับเฮยมู่ “ข้อเสนอนี้ก็ไม่เลว ข้าสามารถใช้ข้ออ้างเรื่องการประลองทำการประลอง ตัดสินกับเขา หลังจากนั้นหากสังหารเขาไป อย่างมากก็เป็นแค่การพลั้งมือเพียงเท่านั้น”
เฮยมู่ขมวดคิ้วขึ้นมา มองไปทางไท่สื่อเกา ก่อนกล่าวเตือนขึ้นเป็นนัยๆ “นายน้อย ท่านแน่ใจรึ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของไท่สื่อเกาพลันกลายเป็นแข็งทื่อ คำกล่าวของเฮยมู่ก็ทำให้เขาที่อยู่ภายใต้ความเกรี้ยวกราดนึกขึ้นได้ถึงความทรงจำที่ตนเองเคยแพ้ให้แก่มู่ชิงเกอ จนไม่อาจไม่ใช้วิธีการแกล้งตายถึงได้หนีรอดมาได้
“ข้ากับเจ้าโจรชั่วนั่นประมือกันมาสองครั้ง ระดับการฝึกฝนของเขาอย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับสีม่วงขั้นกลาง นายน้อย ท่านไม่ใช่คู่มือของเขา ถ้าหากขึ้นไปประลองกันบนสนามประลองจริงๆ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสให้สังหารเขา แต่เป็นมอบโอกาสสังหารห่านให้เขา” เฮยมู่เกรงว่าจะเป็นคนที่มีสติแจ่มชัดที่สุดในคนเหล่านี้ไม่ได้ถูกความเคียดแค้นบดบังสติปัญญา
คำกล่าวของเฮยมู่ก็ทำให้โหลวเสวียนเถี่ยกลายเป็นนิ่งขรึมลง