ตอนที่ 190-4
องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เคยก้มหัวให้ใคร!
เจียงหลีเอาแผนที่ในมือของมู่ชิงเกอกวาดตามองไปรอบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ช่องว่างแห่งนี้ จริงๆ แล้วก็ใหญ่ขนาดไหนกันแน่นะ? ถึงทำให้ตอนนี้นอกจากคนของตระกูลจิ่งกับสตรีของตระกูลฮวาไม่กี่นางพวกนั้นไม่พบเจอใครอีกแม้แต่น้อย”
ตรงจุดนี้มู่ชิงเกอก็ไม่สามารถตอบกลับได้
ความลึกลับของช่องว่างแห่งการทดสอบแห่งนี้ก็ทำให้นางรู้สึกไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในตอนนี้ไปจำกัดความกับมันได้
“บนแผนที่ก็บอกเอาไว้ชัดเจนว่าด้านนอกของป่าอู๋ถง เป็นสุสานเทวะ ที่แห่งนี้กว้างมาก ทั้งยังเก็บซ่อนไว้ด้วยแผ่นป้ายสี่สิบอัน” สายตาของฟ่งอวี๋เฟยขยับขึ้นมาจากตัวแผนที่ กล่าวกับกลุ่มคน
“หุบเหวมารโลหิตห้าชิ้น ป่าอู๋ถงยี่สิบชิ้น สุสานเทวะสี่สิบชิ้น รวมเข้าด้วยกันก็หกสิบห้าชิ้น ก็ได้ครอบคลุมจำนวนส่วนมากไปแล้ว ส่วนอีกสามสิบห้าชิ้นที่เหลือก็กระจัดกระจายกันไปตามที่ราบหมอกขาวทางทิศตะวันตก เขาวงกตทางทิศเหนือ หุบเหวลึกทางทิศใต้” จ้าวหนานซิงกล่าวกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากพลางเอ่ยขึ้น “พวกเราตกลงมาในช่องว่างแห่งการทดสอบกันแบบสุ่ม กับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เผชิญหน้ากันมาช่วงหนึ่ง บางทีก็อาจจะตกลงไปยังสถานที่แห่งอื่นๆ แผ่นป้ายที่เหลืออื่นๆ แน่นอนว่าจะต้องถูกหาเจอบ้างแล้ว รอจนเวลาห่างจากตอนที่จะถูกส่งตัวออกไปไม่มากแล้ว ทุกคนก็จะต้องเคลื่อนสายตาไปจับจ้องที่ต้องของคู่แข่งกลุ่มอื่นๆ เริ่มทำการแย่งชิงแผ่นป้าย พอถึงตอนนั้นก็ถึงเป็นการเริ่มต้นของศึกใหญ่ที่แท้จริง!”
“ตรงจุดนี้ก็ถือว่าแน่นอน พวกเขาเหล่านั้นที่สามารถยืนขึ้นมาสู่จุดๆ นี้ได้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่พวกสุภาพชนอะไรพวกนั้น” เจียงหลียิ้มเยาะขึ้นเสียงเย็น
มู่ชิงเกอก็พยักหน้าขึ้นอย่างเห็นด้วย “เช่นนั้นก็ตกลงกัน เช่นนี้พวกเราเดินทางไปยังสุสานเทวะ พยายามเก็บรวบรวมแผ่นป้ายให้มากที่สุด หลังจากนั้นถ้าไม่พอ ก็มีแต่ต้องไปแย่งชิงแล้ว!”
ในตอนที่กล่าวคำว่า ‘แย่งชิง’ ในแววตาของมู่ชิงเกอก็พลันฉายแววเหี้ยมเกรียมขึ้น
ในวังหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวน หวงฝู่ฮ่วนก็ไม่ได้นอนมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว
ช่องว่างแห่งการทดสอบปิดผนึกนานเท่าไร เขากับจักรพรรดิหยวนก็ยิ่งเป็นกังวลมากเท่านั้น
หลังจากจักรพรรดิหยวนออกว่าราชการเช้าเสร็จ เขาก็รุดไปหาจักรพรรดิหยวนอีกครั้ง ในแววตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังเหนื่อยล้า
“ฮ่วนเอ๋อร์ เจ้า…” จักรพรรดิหยวนพอเห็นเขา ในใจก็ตกใจไปครู่หนึ่ง
“เสด็จพ่อ ลูกก็รู้สึกว่าพวกเราไม่อาจนั่งรอความตายเช่นนี้ต่อไปได้” หวงฝู่ฮ่วนกล่าวไปจักรพรรดิหยวน หวงฝู่เฮ่าเทียน
จักรพรรดิหยวนถอนหายใจออกมาสายหนึ่ง กล่าวกับหวงฝู่ฮ่วนว่า “ความร้ายแรงของเรื่องราว พ่อก็รู้ชัดเจนดี แต่ว่าตอนนี้องค์มหาปราชญไม่อยู่ ที่พักรับรองของสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราก็เหลืออยู่แค่เพียงลูกศิษย์ลูกหาหนึ่งคนสองคนที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้ฝ่าย ตระกูลหลานที่นั้นก็ยิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเล็ดลอดออกมา แล้วนี่เจ้าจะให้พ่อทำอย่างไร?”
“ยิ่งเป็นเช่นนี้การคาดเดาของพวกเราก็ยิ่งจะเป็นจริง!” หวงฝู่ฮ่วนกล่าวน้ำเสียงร้อนรน “หรือว่าเสด็จพ่อจะรอให้ชีวิตของคุณชายมู่จบสิ้นลงในช่องว่างแห่งการทอสอบแล้วค่อยออกไปทวงถามความเป็นธรรม?”
“ฮ่วนเอ๋อร์ เจ้าทำไมจะต้องตื่นตูมเช่นนี้ด้วย? หลานเฟยเยว่ของตระกูลหลานผู้นั้นก็อยู่ในช่องว่างแห่งการทดสอบด้วย ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น การสูญเสียของ ตระกูลหลานก็นับว่าไม่น้อย หรือว่าบางทีเรื่องราวอาจจะไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่พวกเราคาดคิด ตระกูลหลานฝั่งนั้นเจิ้นก็ได้ผู้อาวุโสหกไปเฝ้าจับตามองแล้ว ไม่มีทาง ปล่อยให้พวกเขาเล่นลูกไม้อะไรได้ แต่ถ้าหากมีอันตรายจริงๆ คุณชายมู่ก็ยังสามารถอาศัยยันต์เคลื่อนย้ายหนีออกมาอย่างปลอดภัยได้” หวงฝู่เฮ่าเทียนขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น
หวงฝู่ฮ่วนกลับเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “เสด็จพ่อท่านกำลังปลอบประโลมข้าหรือว่ากำลังปลอบประโลมตัวท่านเองกัน? ตระกูลหลานที่กล้าทำเช่นนี้ก็จะต้องมีความมั่นใจที่จะทำสำเร็จส่วนหนึ่ง พวกเขาคิดเอาเองว่าถ้าหากสังหารคุณชายมู่ลงในช่องว่างแห่งการทดสอบได้ ก็น่าจะสามารถโยนเอาความรับผิดชอบไปให้อันตรายต่างๆ นานา ในช่องว่างแห่งการทดสอบ ถึงแม้ว่าองค์มหาปราชญ์อาจจะทรงกริ้วในภายหลัง แต่ก็ไม่มีทางเพราะคนตายเพียงคนเดียว มาเอาความถือสากับตระกูลใหญ่เช่นพวกเขา แต่พวกเขาก็คงลืมไปแล้วว่าคนที่เข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบก็ไม่ได้มีเพียงอัจฉริยะของตระกูลอื่นๆ เพียงเท่านั้น แต่ยังมีฮ่องเต้เจียงของแคว้นกู๋วู่! ความสำคัญของแคว้นกู่วู่ต่อหลินชวนเสด็จพ่อก็น่าจะชัดเจนยิ่งกว่าลูก ถ้าหากฮ่องเต้เจียงเกิดเรื่องขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร? อีกอย่างลูกก็รู้สึกสงสัยว่าแผ่นยันต์ของคุณชายมู่พวกเขาน่าจะมีปัญหา!’’
หวงฝู่เฮ่าเทียนดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่เล็กลง กล่าวว่า อย่างตกตะลึง “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
ที่หวงฝู่เฮ่าเทียนกล่าวไว้ก็ไม่ผิด ในเวลาที่เรื่องราวยังไม่กระจ่างชัด ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือยันต์เคลื่อนย้าย ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลานก็ดี สำนักหมื่นอสูรหรือหอหลอมศาสตราก็ดี ขอเพียงมู่ชิงเกอสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย เขาก็ยังสามารถหาโอกาสจัดการกับพวกเขาอย่างช้าๆ ได้
แต่ว่าถ้าหากมู่ชิงเกอตายอยู่ในนั้นจริงๆ…
หวงฝู่เฮ่าเทียนอยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา
“ยันต์เคลื่อนย้ายก็ได้ผ่านการตรวจสอบจากสี่ตระกูลใหญ่และราชวงศ์เป็นการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางมีปัญหาได้!” หวงฝู่เฮ่าเทียนกล่าวอย่างมั่นใจ
แต่หวงฝู่ฮ่วนกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดพลางกล่าวว่า “เสด็จพ่ออย่าได้ลืมว่า ตระกูลหลานที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิชาอาคม พวกเขาถ้าอยากจะทำอะไรบางอย่าง กับยันต์เคลื่อนย้าย ทำให้ยันต์เคลื่อนย้ายใช้การไม่ได้ในช่วงสำคัญ นี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยากอันใดนัก เรื่องเรื่องนี้ในเมื่อมีตระกูลหลานเข้ามาร่วมด้วย พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะส่งคนเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร!”
คำกล่าวของหวงฝู่ฮ่วนก็ทำเอาหวงฝู่เฮ่าเทียนนิ่งขรึมไป
ยันตเคลื่อนย้ายนั้นถูกสร้างขึ้นร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างจับตามองซึ่งกันและกัน ยันต์เคลื่อนย้ายที่จัดสร้างสำเร็จแล้วก็ผ่านการตรวจสอบจากผู้อาวุโส หลังจากผ่านการยืนยันแล้วก็ถึงจะถูกปล่อยออกไป แต่ว่าถ้าหากเรื่องเรื่องนี้มีตระกูลหลานทั้งตระกูลร่วมมือเข้ามาด้วย ผู้อาวุโสของตระกูลหลานที่ตรวจสอบยันต์เคลื่อนย้ายหากมีการกระทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ นั้นก็ยังเพียงพอที่จะสามารถซ่อนเร้นปิดบังเอาไว้ได้ ในเมื่อยันต์เคลื่อนย้ายที่จัดสร้างเสร็จแล้ว จากคนภายนอกที่มองเข้ามา โดยพื้นฐานแล้วก็จะมองไม่ออกถึงแตกต่างอันใด
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่การคาดการณ์ของเจ้า…” หวงฝู่เฮ่าเทียนกล่าวด้วยสีหน้าไม่น่าดู
หวงฝู่ฮ่วนเดินบีบเข้าไปทีละก้าวพลางเอ่ยขึ้น “ดังนั้นถึงต้องดำเนินการสอบสวนตระกูลหลาน เค้นถามแผนการของพวกเขาทั้งหมดออกมา ถ้าทำเช่นนั้นพวกเราถึงจะสามารถหาแผนรับรองได้อย่างถูกจุด”
พอกล่าวจบเขาก็สูดลมหายใจลึกเข้าไปสายหนึ่ง กล่าวกับจักรพรรดิหยวน “ลูกรู้ว่าประวัติศาสตร์ของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ดำเนินมาอย่างยาวนาน รากฐานมั่นคง ถ้า หากทั้งสองฝ่ายเกิดปะทะกันขึ้นมา เกรงว่าที่สูญเสียก็จะไม่ได้มีแค่ตระกูลหลาน ขุมกำลังของราชวงศ์ก็จะเสื่อมถอยลงไปด้วย ตระกูลใหญ่อื่นๆ อีกสามตระกูลก็ จะอาศัยจังหวะนั้นผงาดขึ้นมา พอถึงตอนนั้นตระกูลหวงฝู่ก็อาจจะถูกสะกดข่มลงไป หากไม่ถึงที่สุดเสด็จพ่อก็ไม่อยากไปแตกหักกับตระกูลหลาน พวกของผู้อาวุโสหกของท่านที่ไปจับตาตระกูลหลาน อย่างมากก็แค่ทำพอเป็นพิธีถ้าหากองค์มหาปราชญ์มีคำถามลงมา…”
สีหน้าของหวงฝู่เฮ่าเทียนภายใต้เสียงเอ่ยวาจาของหวงฝู่ฮ่วน ก็ค่อยๆ กลายเป็นไม่น่าดูมากยิ่งขึ้น
หวงฝู่ฮ่วนยังคงกล่าวต่อไป “แต่ว่าท่านพ่อเคยคิดหรือไม่ว่า องคมหาปราชญ์ที่ให้ความสำคัญกับมู่ชิงเกอถึงขนาดนี้ ถ้าหากเขาได้รับบาดเจ็บอะไรไปจริงๆ เกรงว่า สุดท้ายแล้วที่ถูกทำลายก็จะไม่ใช่แค่ตระกูลหลาน พวกเราตอนนี้ก็ต้องรีบจัดการให้เด็ดขาด ทำการช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ถึงแม้ว่าอาจจะนำพาตระกูลหวงฝู่เข้าสู่ เส้นทางอันยากลำบาก แต่ว่านั้นก็ยังสามารถรักษาตระกูลทั้งตระกูลเอาไว้ได้ เพลิงโทสะขององค์มหาปราชญ์ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหลานตระกูลเดียวจะสามารถ รับมันได้?”
“เจ้าคิดว่าควรจะทำเช่นไร?” เสียงของหวงฝู่เฮ่าเทียนค่อนข้างไร้เรี่ยวแรงราวกับว่าจะยอมร่วมมือแล้ว
หวงฝู่ฮ่วนกล่าวเสียงขรึม “รีบเรียกประมุขตระกูลหลานเข้าวังหลวง เค้นถามแผนการทั้งหมดของพวกเขา ถ้าหากเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือพวกเราก็คงทำได้แค่ใช้กำลังสะกดข่ม ในเวลาเดียวกันก็ต้องติดต่อกับตระกูลที่เหลืออีกสามตระกูล บอกถึงผลได้ผลเสียให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจน ลากเอาตัวพวกเขาเข้ามาในขบวนด้วย ทำการสะกดข่มตระกูลหลาน!”
นัยน์ตาของหวงฝู่เฮ่าเทียนทอแวววาววับไปมา ก่อนที่ในที่สุดจะตัดสินใจขึ้น “ได้ก็ไปจัดการตามที่เจ้าว่า!”
ช่องว่างแห่งการทดสอบ
“ข้างหน้าก็คือสุสานเทวะงั้นรึ” ฟ่งอวี๋เฟยชี้ไปทางหมอกสีขาวตรงหน้า พร้อมกับกล่าวกับมู่ชิงเกอ
ในตอนที่กลุ่มคนจะก้าวเท้าเข้าไปนั้น มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็ร้องเรียกให้หยุดขึ้น
นางคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะกล่าวกับกลุ่มชนว่า “เนื่องจากเหตุการณ์ของพวกเราเมื่อตอนก่อนหน้า ทุกคนก็ควรเขยิบเข้ามาหากันใกล้ๆ หน่อย ระมัดระวังภูมิประเทศรอบด้าน ถ้าหากเกิดอะไรผิดปกติก็ให้รีบร้องเตือนโดยเร็ว”
กลุ่มคนรับปาก
“เจ้าช่างรอบคอบนัก” เจียงหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างมู่ชิงเกอกล่าวเสียงกดต่ำ
แต่มู่ชิงเกอกลับกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สิงโตจะจับกระต่ายก็ต้องใช้แรงสุดกำลัง คำกล่าวนี้ก็ใช้เลือดเนื้อมากมายยืนยันมาแล้ว”
เจียงหลีพยักหน้าท่าทางเหมือนจะเข้าใจ นางก็ราวกับจะเข้าใจอยู่เล็กน้อยว่ามู่ชิงเกอนั้นใช้อะไรจึงสามารถทำให้จอมเสเพลไร้ค่าคนหนึ่งสามารถก้าวทีละก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ เหมือนในตอนนี้ได้
นางไม่เคยดูถูกศัตรูคนไหน ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็จะวางแผนก่อนทำ ไม่เคยกระทำการมุทะลุ
เข้าไปในหมอกสีขาว ตรงหน้าของกลุ่มคนก็กลายเป็นพร่ามัว
ในตอนที่หมอกขาวตรงหน้าค่อยๆ จางหายไป ซากปรักหักพังที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏเข้าสู่สายตาของพวกเขา
กำแพงหักพังกับซากหินที่กองนิ่งสงบอยู่กับพื้นพวกนั้นราวกับว่ามันกำลังถ่ายทอดเรื่องราวในอดีต…
ในหมู่สิ่งปลูกสร้างโบราณพวกนี้ก็ได้รกร้างจนยากจะมองออกถึงรูปลักษณ์ก่อนหน้าของมันได้อีก หนึ่งเดียวที่ยังสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของมันได้อยู่บ้าง ก็คือ เจดีย์สูงตระหง่านที่อยู่ท่ามกลางของเศษซากเมืองหักพังพวกนี้ เจดีย์สูงนั้น ตั้งตรงดุจกระบี่ พุ่งสูงขึ้นไปยังหมู่เมฆ ให้ความรู้สึกราวกับว่ามันกำลังประชันหน้าท้าทายฟ้า
เพียงแต่ว่าบนตัวเจดีย์ได้ผุพังและเต็มด้วยรอยแตกหักที่บ่งบอกถึงการผ่านพ้นวันเวลามานานปี ให้ความรู้สึกเหมือนกับกระบี่อ่อนล้าที่ปลดระวางแล้วเล่มหนึ่ง
“ใครกัน!” อยู่ๆ ก็มีคนร้องเรียกตกใจขึ้นมา
พวกของมู่ชิงเกอก็พลันดึงสายตากลับมาพร้อมกัน ก่อนที่ค้นพบว่าที่ด้านข้างขบวนของพวกเขาอยู่ๆ ก็มีกองกำลังเพิ่มมาอีกกองหนึ่ง…